เล่ม 1 ตอนที่ 19: แฟนธ่อม ดริฟ
เล่มที่ 1 ตอนที่ 19: แฟนธ่อม ดริฟ
ขณะนี้มู่หรงเสี่ยวเทียนกำลังต่อสู้อยู่ท่ามกลางฝูงมอนสเตอร์หัวม้า เขาใช้ทั้งหมัด เท้า เข่า ศอก หรือแม้แต่ทุกส่วนของร่างกายในการหลบหลีก เคลื่อนไหวและสวนกลับออกไปสอดคล้องกันเป็นอย่างมาก มันดูคล่องแคล่วและเป็นอิสระท่ามกลางฝูงมอนสเตอร์หัวม้า เขาโจมตีพวกมันอย่างรวดเร็ว ความป่าเถื่อนที่ซ่อนอยู่ในใจที่หลับไหลมาเป็นเวลานานได้ถูกปลุกขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ ความว่องไว แม่นยำ และไร้ความปราณี ในการต่อสู้นั้นมันราวกับว่าเขาเป็นนักฆ่าที่กำลังต่อสู้กับฝูงมอนสเตอร์หัวม้าที่เปรียบเสมือนลูกน้องของเจ้าอ้วนหลี่ซู
การโจมตีที่ดุดันของมู่หรงเสี่ยวเทียนนั้นแทบจะไม่เปิดโอกาสให้มอนสเตอร์หัวม้าได้ตอบโต้กลับ เขาโจมตีอย่างต่อเนื่องภายในเสี้ยวพริบตา ทันใดนั้นเองมู่หรงเสี่ยวเทียนก็เดินโซซัดโซเซราวกับว่าล่องลอยอยู่ในอากาศ เขากำลังสูญเสียการทรงตัว จากนั้นก็ล้มลงไปนอนกองอยู่บนพื้น ฝูงมอนสเตอร์หัวม้าจำนวนมากวิ่งกรูเข้าไปล้อมรอบตัวเขา แต่ถึงอย่างนั้นจอบในมือของเขาก็ฟาดฟันพวกมันไปอย่างไร้ความปราณี
เมื่อ 10 ปีก่อนนั้น หมิงหยวนได้สละชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยชีวิตของเขาเอาไว้ ฉากที่เขาเข้ามาป้องกันคมมีดคมขวานจำนวนมากก็ผ่านเข้ามาในความคิดของเขา ดวงตาของมู่หรงเสี่ยวเทียนเปล่งประกายความโศกเศร้าออกมาอีกครั้ง
“โชคชะตาของฉันถูกกำหนดโดยพระเจ้าอีกแล้วหรือ ?” เพียงเสี้ยววินาที ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายขึ้นมา ความมุ่งมั่นอันทรงพลังได้ลุกโชนขึ้นมาในจิตใจ ความดื้อรันและความมุทะลุได้ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง “ประวัติศาสตร์จะไม่มีวันซ้ำรอยเป็นอันขาด !” มู่หรงเสี่ยวเทียนตะโกนออกมา เมื่อสิ้นเสียงตะโกนร่างกายของเขาก็มีแสงสว่างออกมาอย่างน่าอัศจรรย์ หลังจากนั้นก็คล้ายมีกับร่างแยกปรากฎออกมาสองสามร่างห่างออกไปไม่กี่ฟุตจากจุดที่เขายืนอยู่
“ติ๊ง !” ขอแสดงความยินดีกับผู้เล่นที่ชื่อว่าโจร ท่านได้สร้างทักษะขึ้นมาเป็นของตัวเองแล้ว คะแนนโชคลาภเพิ่มขึ้น 2 หน่วย การรับรู้เพิ่มขึ้น 5 หน่วย ค่าชื่อเสียงเพิ่มขึ้นอีก 5,000 หน่วย
“ตึ๊ง !” ขอแสดงความยินดีกับผู้เล่นที่ชื่อว่าโจร คุณคือคนแรกในเกมเดสตินี่ที่สามารถสร้างทักษะขึ้นมาเองได้ รางวัลที่จะได้รับนั้นคือค่าชื่อเสียง 2,000 หน่วย
“ตึ๊ง !” ผู้เล่นโจรได้สร้างทักษะของตัวเองแต่ยังไม่ได้ตั้งชื่อ กรุณาใส่ชื่อของทักษะนั้นด้วย
เมื่อมู่หรงเสี่ยวเทียนได้ยินระบบแจ้งเตือนมาเช่นนั้น เขาก็เปิดหน้าต่างข้อมูลของตัวเขาออกมาดูอย่างรวดเร็ว ตอนนี้มีอีกหนึ่งทักษะเพิ่มขึ้นมา
สกิล : ไม่มีชื่อ
ความแข็งแกร่ง : 5
ความว่องไว : 10
ความเร็ว : 4 เท่า
ความเร็วใจการโจมตี : 5
ค่ามานา 50 หน่วยเมื่อใช้ทักษะนี้
ไม่มีเวลาคูลดาวน์
มีโอกาส 5 % ในการหลบหลีกความเสียหายจากการโจมตีทางกายภาพ
มีโอกาส 1 % ที่จะเทเลพอร์ตไปยังสถานที่อื่น ในระยะรัศมี 2 ไมล์ทันที
“ฮ่าฮ่าฮ่า” เมื่อเห็นว่ามีสกิลที่ยอดเยี่ยมโผล่ออกมา ความหดหู่และเหนื่อยล้าในสองสามวันที่ผ่านมาของมู่หรงเสี่ยวเทียนก็หายไปในทันที
ทั้งเวลาที่สูญเสียไป ความอดทนในหลาย ๆ วันที่ผ่านมา ทั้งการตายที่นับครั้งไม่ถ้วน และประสบการณ์อันขมขื่นมากมายจากการพยายามอย่างหนักหน่วง ในที่สุดมันก็ได้รับการตอบแทนอย่างสาสม แม้ว่าสกิลนี้จะใช้มานามากพอสมควร แต่มันจะสามารถช่วยให้เขารอดชีวิตได้ในสถานการณ์วิกฤต
“ชื่อของมันคือ แฟนธ่อมดริฟ !” มู่หรงเสี่ยวเทียนคิดชื่อแล้วใส่มันลงไป
หมอกในยามเช้าจางหายไป ภูเขาและเมฆจากระยะไกลกำลังปั่นป่วน อากาศก็แปรปรวนคาดเดาไม่ถูกเลยว่าสภาพอากาศในวันนี้จะเป็นอย่างไร มองดูแล้วมันเหมือนกับว่าสวรรค์นั้นจะพังทลายลงมา
มู่หรงเสี่ยวเทียนจ้องมองดูโลกที่กว้างสุดลูกหูลูกตา และไร้ขอบเขตด้วยความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ เขาส่งเสียงตะโกนดังก้องไปไกลสุดขอบฟ้า “28 ปีที่ผ่านมา ! ชะตากรรมของฉันนั้นเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง วันนี้หลังจาก 28 ปีที่ผ่านมา โชคชะตาก็เริ่มเข้าข้างฉันบ้างแล้ว ! ชีวิตของฉัน ฉันเลือกเองได้ !”
...........
หยางซ่งยืนอยู่ตรงทางเข้าโรงอาหาร เขาเงยหน้ามองไปรอบ ๆ และบ่นพึมพำกับเปียวซือที่อยู่ข้าง ๆ ออกมาว่า “เอาจริงนะ ฉันก็เบื่อที่ต้องมารอกินข้าวทีละมื้อ ๆ ต้องออนไลน์ออฟไลน์อยู่อย่างนี้ ทำไมเราไม่กินให้มันจบ ๆ ไปครั้งเดียวเลย ไม่รู้ทำไม อะไร ๆ ก็เพื่อสุขภาพของผู้เล่น”
เปียวซือเม้มปากและยิ้มเบา ๆ ออกมา เธอมองไปที่ใบหน้าของหยางซ่ง “อันที่จริงฉันก็ไม่เห็นนายกินอาหารที่มีประโยชน์หรือผลไม้เลยนะ เช่นองุ่นที่นายบอกว่ามันเปรี้ยวน่ะ”
“ฮึ่ม !” หยางซ่งเงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดด้วยท่าทีไม่ค่อยพอใจ “อาหารเพื่อสุขภาพไม่เห็นมันจะอร่อยตรงไหนเลย ฉันไม่สนใจมันหรอก !”
“จริงหรือ ?” เปียวซือหัวเราะเยาะออกมา “แต่เมื่อวานใครกันนะที่วิ่งเข้าไปหาผู้ช่วยเย่มินแล้วบอกว่าอาหารเพื่อสุขภาพะอร่อยน่ะ ?”
“หา ? เธอรู้เรื่องนี้ด้วยหรือ ?” หยางซ่งยิ้มอย่างกระอักกระอวนและกระทืบเท้าลงไปบนพื้นด้วยความเขินอาย ทันใดนั้นเขาก็ตะโกนออกมาอย่างไม่อดทนว่า “พวกเขาทำอะไรอยู่เนี่ย แม้ว่านี่จะเป็นมื้อสำคัญหรือไม่สำคัญ แต่ทำไมพวกนั้นยังไม่ลงมาอีก นี่ก็รอมานานแล้วนะ !”
เปียวซือส่ายหน้าอย่างฉุนเฉียวและพูดเบา ๆ ว่า “นาย นายจะอยู่เฉย ๆ สักพักไม่ได้เลยรึไง ? ถ้าหากว่านายต้องการจะเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้เล่นมืออาชีพของกลุ่มหนานเทียน นายจะต้องมีความอดทนมากกว่านี้ !”
หยางซ่งกลอกตามองบน ก่อนจะยิ้มท่าทางเจ้าเล่ห์ และพูดออกมาอย่างสนุกสนาน “นี่....ถ้าหากว่าฉันกลายเป็นผู้เล่นหลักแล้ว เธอจะคิดกับฉันมากกว่านี้ไหม แบบ..เรื่องอย่างว่าน่ะ... ฮ่าฮ่า”
“นายกำลังคิดอะไรอยู่ ?” เปียวซือเบิกตากว้างและมองไปที่หยางซ่ง “ปกตินายเป็นคนที่คิดอะไรก็พูดออกมา แต่ทำไมวันนี้ถึงไม่พูดออกมาให้มันชัดเจนล่ะ ?”
“ก็แบบว่า พิจารณาความสัมพันธ์ของเราทั้งสองไง” หยางซ่งจ้องมองไปที่แก้มที่แดงก่ำของเปียวซือ
“ฝันไปเถอะ สุนัขไม่สามารถไปอยู่ดวงจันทร์กับกระต่ายได้หรอก !” เปียวซือหน้าแดงแต่กลับพูดปฏิเสธออกไป
“น้อยชาย นี้นายกำลังพยายามล่อลวงเปียวซือตอนที่พวกเราไม่อยู่หรือยังไง ?” วู่เฟิงยิ้มและเดินเข้ามาพร้อมกับนักฆ่า
“ใช่ ๆ เก่งจริงนะเรื่องเข้าด้ายเข้าเข็มเนี่ย ฮ่าฮ่า” นักฆ่าพูดแซวออกมาเช่นกัน
“แหม ลุง นอกจากจะไม่ช่วยแล้วยังสร้างปัญหาให้ผมอีกนะ” หยางซ่งถอนหายใจออกมาอย่างขมขื่น
เปียวซือกระทืบเท้าด้วยความอาย เธอจ้องมองไปที่คนเหล่านั้นอย่างไม่พอใจก่อนที่จะพูดออกมาเบา ๆ ว่า “พวกนายนี่น่าเกลียดจริง ๆ ฉันจะโกรธแล้วนะ”
“ก็ได้ ก็ได้ ฉันจะไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว” วู่เฟิงพูดด้วยใบหน้าซื่อตรง เขามองที่หยางซ่ง “นายซื้อชุดใหม่ที่เราจะเอาไปให้พี่เทียนรึยัง ?”
“เรียบร้อย” หยางซ่งพยักหน้า
“ถ้าอย่างงั้นก็ไปกินข้าวกันเถอะ ซัมมอนเนอร์กำลังรอพวกเราที่ปากทางเข้าของหมู่บ้าน เดี๋ยวเราไปกินข้าวแล้วเข้าเกมไปหาเขากัน” วู่เฟิงโบกมือของเขาและเดินนำไปทันที
เมื่อพวกเขาไปถึงที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน พวกเขาก็พบกับซัมมอนเนอร์ จากนั้นทั้งหมดก็พากันเดินไปที่ป่าด้านขวาของหมู่บ้าน
“พรุ่งนี้พวกเราน่าจะถึงเลเวล 10 กันแล้ว หลังจากนั้นพวกเราก็จะเดินทางไปเมืองใหญ่ ๆ ได้ ฉันเฝ้ารอให้วันนั้นมาถึงเร็ว ๆ จริง ๆ” ซัมมอนเนอร์รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
“พวกเราน่ะไปได้ แต่พี่เทียนนะสิ” เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ อารมณ์ของหยางซ่งก็หดหู่เล็กน้อย
“ถ้าหากว่ายังเอาชนะมอนสเตอร์หัวม้าไม่ได้ เขาจะไปต่อได้ยังไงกัน ?” วู่เฟิงพูดขึ้นมาขณะที่กำลังมองไปยังภูเขาที่ตั้งอยู่ห่างออกไป
หยางซ่งพยักหน้าให้กับสิ่งที่วู่เฟิงต้องการจะสื่อ เขาขยับปากแต่ไม่ได้พูดสิ่งใดออกมา จากนั้นก็เดินไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง
เมื่อพวกเขามาถึงยังชายป่า ทุก ๆ คนก็ถึงกับต้องตกตะลึง มีเพียงวู่เฟิงเท่านั้นที่ยิ้มออกมา ฉากตรงหน้า ทำให้พวกเขาแทบไม่เชื่อในสายตาของตัวเอง
มู่หรงเสี่ยวเทียนที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วท่ามกลางมอนสเตอร์หัวม้านับฝูงอย่างอิสระ ทุกการเคลื่อนไหวนั้นทั้งเฉียบคมและว่องไว เมื่อใดก็ตามที่มีอันตรายเข้ามาใกล้ ความเร็วของมู่หรงเสี่ยวเทียนก็จะเร็วขึ้นไปกว่านั้นอีกหลายเท่าตัว การเคลื่อนไหวของเขาเร็วมาก สายตาของคนธรรมดาแทบจะไม่สามารถมองตามเขาได้ทัน จะเหลือก็แต่ภาพติดตาเท่านั้น โดยที่ร่างของเขาเคลื่อนไหวไปที่อื่นแล้ว
“ร่างแยกหรือ ? ทำไมถึงมีหลายร่างปรากฏขึ้นมาจากการเคลื่อนไหวของพี่เทียน ?” หยางซ่องร้องอุทานออกมาด้วยความงุนงง
“เขาสร้างทักษะหรือสกิลขึ้นมาด้วยตัวเอง !” วู่เฟิงตอบอย่างสงบ “ถ้าจะให้เดานะ ตอนนี้พี่เทียนน่าจะได้ทักษะเป็นของตัวเองแล้ว”
“อ้ากกก ผมก็อยากได้แบบนั้นเหมือนกัน” หยางซ่งตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น
“นายคิดว่ามันง่ายหรือที่จะสร้างสกิลหรือทักษะขึ้นมาด้วยตัวเองได้ ?” วู่เฟิงพูดออกมาอย่างเย็นชา “นายจะต้องมีความเพียร ความกล้าหาญ และไม่ยอมแพ้ ถ้าหากว่ายังทำไม่ได้ขนาดนั้นก็ลืมมันไปซะเถอะ บางทีนายลองไปถามพี่เทียนดูสิว่าเขายอมอดทนต่อความเจ็บปวดที่เกิดจากคมหอกคมดาบและการถูกฆ่าตายมากี่ครั้งกี่หน บางทีนายอาจจะต้องเผชิญกับความตายที่นับครั้งไม่ถ้วนให้เหมือนกับพี่เทียนเจอ ถึงแม้ว่านายจะมีความทรหดอดทนได้เท่ากับเขา แต่ทว่าเขาก็ยังมีประสบการณ์การต่อสู้ในชีวิตจริงที่ยาวนานไม่ใช่หรือ ?” เมื่อวู่เฟิงกล่าวเช่นนั้น เขาก็จ้องมองไปยังรอยแผลนับไม่ถ้วนบนร่างกายของมู่หรงเสี่ยวเทียน เขากล่าวต่อว่า “แม้ว่าฉันเองจะไม่รู้ถึงอดีตของพี่เทียน แต่ดูจากรอยแผลเป็นบนร่างกายของเขาสิ ฉันคิดว่ามันคงจะไม่เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ” วู่เฟิงกล่าวต่ออีกว่า “แม้ว่านายทำทุกอย่างได้ตามแบบของเขา แต่บางทีนายก็ยังไม่อาจจะสามารถสร้างสกิลของตัวเองขึ้นมาได้ เพราะนอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้มันยังมีสิ่งสำคัญอยู่อีกหนึ่งอย่าง” วู่เฟิงกล่าวอย่างหนักแน่น “มันก็คือ ความบังเอิญยังไงล่ะ !”
To be continued…