ตอนที่ 10 อับอายต่อหน้าผู้คน
ตอนที่ 10 อับอายต่อหน้าผู้คน
ประโยคนั้นทำให้ภายในห้องรับแขกเกิดความเงียบขึ้นมาในทันที สีหน้าของทุกคนดูมิสู้ดีนัก อ๋องมู่กำลังจะตำหนิซูม่อ แต่ถูกมู่จวินฮานชิงตำหนิไปเสียก่อน
“บังอาจ ! นี่เป็นบ้านของท่านโหวเย่มิใช่สถานที่ซึ่งเจ้าจะมาพูดจาเหลวไหลได้ !” แม้น้ำเสียงที่เขากล่าวออกมาจะดูเย็นชา แต่อันหลิงเกอรู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นความตั้งใจของเขา มิแน่ว่าประโยคที่ซูม่อเอ่ยออกมาอาจจะเป็นเขาเองที่เป็นคนสั่งการก็เป็นได้
ในขณะนั้นเองใบหน้าของอันหลิงอีมีสีหน้าที่มิสู้ดีนัก นางบิดผ้าเช็ดหน้าในมืออย่างประหม่า จ้องมองไปทางอันหลิงเกอด้วยความแค้นเคือง
เมื่อมู่จวินฮานเห็นเช่นนั้นก็แสร้งกล่าวออกไปว่า “เจ้าจงไปนำของขวัญที่ข้าเตรียมไว้เข้ามามอบให้คุณหนูอันหลิงอีเพื่อเป็นการขออภัย !” หลังจากซูม่อออกไปแล้ว มู่จวินฮานจึงได้หันไปคารวะอันอิงเฉิง “มู่จวินฮานมิได้อบรมบ่าวรับใช้ให้ดี ขายหน้าท่านโหวเย่แล้ว”
“มิเป็นไร...” อันอิงเฉิงตอบกลับอย่างผ่อนคลาย ในความคิดของเขาทั้งคู่ล้วนเป็นบุตรสาวของเขา มิว่ามู่จวินฮานจะถูกใจผู้ใด สำหรับเขาก็มิได้เสียหายอันใด
อันหลิงอีเดิมทีรู้สึกเสียหน้าและแค้นเคืองอันหลิงเกออยู่ภายในใจ แต่เมื่อได้ยินว่ามู่จวินฮานจะมอบของขวัญให้ จิตใจก็รู้สึกพองฟูขึ้นมาในทันที ผ่านไปครู่ใหญ่ซูม่อก็ได้นำเอาแจกันดอกไม้ที่งดงามเข้ามา
อันหลิงเกอเมื่อมองเห็นแจกันดอกไม้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันที ทั้งหมดล้วนอยู่ในสายตาของมู่จวินฮาน มุมปากของเขาก็ยกยิ้มขึ้นโดยมิตั้งใจ
“ซูม่อ เจ้าช่วยมอบแจกันดอกไม้นี้ให้คุณหนูอันหลิงอีแทนข้าด้วย ถือเป็นการขออภัยที่เจ้าเสียมารยาทไปเมื่อครู่”
อันหลิงอีรู้สึกหัวใจฟองฟูที่ได้รับความใส่ใจถึงเพียงนี้ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองมู่จวินฮานและได้ยินเขากล่าวว่า “นี่เป็นดอกไม้ที่ปลูกได้เฉพาะในต่างแดนมีชื่อว่าดอกลิลลี่ ช่างเป็นดอกไม้ที่เหมาะสมกับคุณหนูยิ่งนัก” เมื่อได้รับฟังใบหน้าของอันหลิงอีก็พลันเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มบาง ๆ รู้สึกจิตใจเบิกบานขึ้นมาทันที ความหดหู่และร้อนรนเมื่อครู่ต่างมลายหายไปจนสิ้น
แต่อันหลิงเกอกลับตกอยู่ในอาการตกตะลึงงัน คนผู้นี้ล่วงรู้ได้เยี่ยงไร ? ที่นางได้โรยบุหลันเหมันต์ไว้บนผ้าไหมเนื้อบางผืนนั้นของอันหลิงอี บุหลันเหมันต์มีฤทธิ์เย็นเป็นยาขจัดพิษชั้นดี แต่หากบุหลันเหมันต์เจอกับดอกลิลลี่จะทำให้เกิดอาการแพ้ขึ้นมาได้ อาการแพ้อย่างเบาก็ทำให้เกิดอาการคันและเป็นผื่น แต่หากแพ้หนักจะเกิดการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัวและหายใจติดขัดขึ้นได้
นางเพียงแค่เตรียมไว้เผื่อหากจำเป็นต้องลงโทษอันหลิงอีเพียงเท่านั้น มิคาดคิดว่าแผนการของตนจะถูกมู่จวินฮานมองออกทั้งหมด นี่เขาจะทำการอันใดกันแน่ ?
ตั้งใจทำให้อันหลิงอีเกิดอาการแพ้ แล้วเปิดเผยเรื่องที่นางทำเยี่ยงนั้นหรือ ?
เป็นครั้งแรกที่อันหลิงเกอรู้สึกว่ามู่จวินฮานผู้นี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก เขาเพิ่งจะปรากฏตัวก็สามารถล่วงรู้แผนการที่ตนได้วางเอาไว้ได้ อีกทั้งยังทำให้นางตกอยู่ในเหตุการณ์ที่มิอาจควบคุมได้เสียแล้ว
“ข้าจะดูสิว่าเจ้าจักรับมือกับฮูหยินรองได้เยี่ยงไร” เสียงพึมพำกับตัวเองของมู่จวินฮานเอ่ยออกมา ขณะสายตาคอยเฝ้ามองอันหลังเกออยู่เมื่อเห็นท่าทีของนาง มู่จวินฮานก็หัวเราะชอบใจอยู่ภายใน พร้อมทั้งยกเหล้าขึ้นดื่มจนหมดจอก รอยยิ้มในดวงตานั้นก็ยิ่งดูเข้มขึ้น
อันหลิงเกอรู้สึกหงุดหงิดอยู่ภายในใจเป็นอย่างมาก ผ่านไปมินานอันหลิงอีจากเดิมที่นั่งอย่างสง่างาม กลับเริ่มบิดตัวไปมา แต่อยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายจึงมิกล้าขยับตัวมากนัก เมื่อดอกลิลลี่และบุหลันเหมันต์ออกฤทธิ์ นางก็จักเริ่มทนมิไหว !
เมื่อสองสิ่งนี้รวมกัน อาการคันที่ผิวหนังจะทำให้รู้สึกมิสบายตัวยิ่งกว่าความเจ็บปวดอันใดเสียอีก ผ่านไปมินาน หน้าผากของอันหลิงอีก็เต็มไปด้วยเหงื่อที่ผุดออกมาและในตอนนั้นเอง นางก็ทนมิไหวอีกต่อไป เป็นถึงคุณหนูรองตระกูลอัน มิสมควรอย่างยิ่งที่จะมานั่งเกาต่อหน้าผู้คนมากมายเยี่ยงนี้?
แต่ในขณะที่อันหลิงอีลุกขึ้นกำลังหาเหตุผลเพื่อขอตัวลาอยู่นั้น มู่จวินฮานกลับมองมาที่นาง “พอดี” แววตาคล้ายกำลัง “ชื่นชม” อันหลิงอีจึงรู้สึกลำบากใจ นางมิอยากไปจากตรงนี้ โดยเฉพาะเมื่อมู่จวินหานยัง “ส่งสายตา”ให้ตนอยู่นั้น จะให้นางปฏิเสธได้เยี่ยงไรเล่า ?
และความลังเลนี้เองกลับกระตุ้นให้บุหลันเหมันต์บนตัวนางออกฤทธิ์มากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า เสียงครางที่มิถูกกาลเทศะอย่างยิ่งของอันหลิงอีดังขึ้น ทำให้ทุกคนในงานต้องหันไปตามเสียง กลับเห็นบริเวณลำคอของนางเริ่มปรากฏผื่นแดงขึ้น และลามอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ
เมื่อสายตาของทุกคนเปลี่ยนไป นางก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองมิเพียงแต่คันเท่านั้น เมื่อยื่นมือไปลูบไล้บริเวณลำคอรู้สึกได้ถึงผื่นที่เกิด นางจึงตกใจจนหน้าถอดสี ร้องครางออกมาอย่างมิห่วงภาพลักษณ์อันใด
“อ๊า...”
ในงานเลี้ยงเกิดความวุ่นวายขึ้นชั่วขณะ สาวใช้สองคนด้านหลังอันหลิงอีรีบเดินเข้ามาพยุงนาง เป็นเหตุให้อันหลิงอีทนต่ออาการคันมิไหวอีกต่อไป ถึงกับยกมือขึ้นเกาต่อหน้าทุกคนอย่างมิอาย ทั้งยังตะโกนร้องให้สาวใช้ทั้งสองช่วยนางเกาอีกด้วย
สีหน้าของทุกคนภายในงานเปลี่ยนไปทันที มีเพียงมู่จวินฮานที่มองดูด้วยสายตาคล้ายจะยิ้มก็มิเชิง อีกทั้งยังคอยชำเลืองไปทางอันหลิงเกออยู่ตลอด โดยที่มิรู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่
หลี่ซื่อทนดูต่อไปมิไหว รีบเรียกสาวใช้ให้พาอันหลิงอีกลับไปส่งยังเรือน จากนั้นบนโต๊ะอาหารจึงกลับสู่ความสงบอีกครั้ง แต่ในตอนนี้มิมีผู้ใดกินลงอีกแล้ว หลังพูดคุยกันได้นิดหน่อย อ๋องมู่จึงได้เริ่มวกเข้าเรื่องสำคัญ
“ท่านโหวเย่ อย่างนั้นพวกเรามาพูดถึงเรื่องสำคัญกันเถอะ วันนี้ที่ข้าพาฮานเอ๋อมาก็เพราะงานสมรสที่ฝ่าบาททรงพระราชทานให้ เลยอยากพาเขามาพบกับคุณหนูใหญ่สักครั้ง พูดคุยถึงเรื่องงานแต่งของสองตระกูลแล้วค่อยส่งสินสอดมาอีกครา จากนั้นค่อยกำหนดงานแต่งของทั้งสองให้เรียบร้อย ท่านว่าดีหรือไม่”
ก่อนหน้านี้เขาเอ่ยเพียงว่างานแต่งของตระกูลอันและตระกูลมู่ แต่ในตอนนี้ได้กล่าวออกมาอย่างชัดเจนแล้วว่าเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลอัน ก็ถือว่าได้เจาะจงเป็นอันหลิงเกอแน่แล้ว ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็ได้ยิน คุณหนูรองนั้นเกรงว่าคงหมดหวังเสียแล้ว !
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น สีหน้าของหลี่ซื่อเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว มีเสียงอ้อมแอ้มออกมาอยู่หลายครา แต่สุดท้ายนางก็มิได้พูดอันใดออกไป
ส่วนอันอิงเฉิงกลับมิรู้สึกอันใด ทั้งคู่ต่างก็เป็นบุตรสาวของตระกูลอันย่อมมิแตกต่างกัน หลังจากพูดคุยกับอ๋องมู่อยู่ครู่ใหญ่ คนตระกูลมู่ก็ขอลากลับไป
หลังจากส่งท่านอ๋องมู่กลับด้วยความปลาบปลื้มแล้ว อันอิงเฉิงจึงหันกลับมามองที่หลี่ซื่อ พร้อมกับจ้องนางด้วยสายตาตำหนิ เขาส่งเสียงหึ ! ขึ้นก่อนเดินกลับเข้าห้องไป
อันหลิงเกอว้าวุ้นใจอย่างมาก นางมิอาจเดาความคิดของมู่จวินฮานผู้นี้มิถูกเลย จึงขอตัวลาอันอิงเฉิงเพื่อกลับเรือน
ทางด้านหลี่ซื่อที่เดินตามหลังของอันอิงเฉิง ก็รีบมาปรนนิบัติอันอิงเฉิงเพื่อให้เขาได้พักผ่อน
จากนั้นนางก็เดินทางมาที่ห้องของอันหลิงอี ก็เห็นว่าผื่นแดงบนกายของอันหลิงอีนั้นได้จางหายไปมากแล้ว แต่บนใบหน้ากลับเต็มไปด้วยคราบน้ำตา เมื่อครู่นางคงทรมานมิน้อย !
“ท่านแม่ ! วันนี้การเจรจาเป็นเยี่ยงไรบ้างเจ้าคะ ?” อันหลิงอีเอ่ยถามขึ้นทันทีเมื่อพบเห็นแม่ของตน เนื่องจากอันหลิงอีออกมาก่อน จึงมิรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น และหลังจากฟังหลี่ซื่อเล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นจบ อันหลิงอีก็ร้องไห้ออกมาในทันที “ดูก็รู้ว่าซื่อจื่อชอบข้า อีกทั้งยังมอบแจกันดอกไม้ให้ข้า เป็นเพราะนังตัวดีนั่นคนเดียวที่มายั่วยวน ทำให้ท่านอ๋องมู่มิอาจรับปากท่านพ่อได้”
“ไหนจะยังมีเจ้าซูม่อนั่นอีก ข้าเห็นว่ามันและอันหลิงเกอสื่อสารกันทางสายตา มิแน่อาจเป็นนางที่เป็นคนสั่งการอยู่ก็เป็นได้”
อันหลิงอีร้องไห้อยู่นาน ก็ดึงแขนเสื้อของหลี่ซื่อพร้อมกล่าวว่า “ท่านแม่เจ้าคะ ข้ามิสน ข้าชอบมู่ซื่อจื่ออย่างจริงใจ ข้าจะแต่งงานกับเขา ! อีกอย่างวันนี้เรื่องที่ข้ามีผื่นแดงขึ้น จะต้องเกี่ยวข้องกับนังตัวดีนั้นเป็นแน่”
หลี่ซื่อลูบหัวปลอบบุตรสาวด้วยความสงสาร แววตาทอประกายความร้ายกาจออกมา “เจ้าวางใจเถิด ต่อไปนี้แม่จะมิให้มันอยู่อย่างสงบสุขเป็นแน่ หากมิรีบกำจัดอันหลิงเกอ มันก็จะกลายเป็นเสี้ยนหนามตำใจของแม่ไปตลอด”
“อีกสักครู่แม่จะไปขอท่านพ่อของเจ้า ให้อันหลิงเกอแต่งเข้าจวนอ๋องอี้ ส่วนเจ้าแต่งเข้าจวนอ๋องมู่แทนนาง ทายาทของจวนอ๋องอี้เป็นเพียงบุคคลโง่เขลา ส่วนอี้หวางเฟยนั้นเป็นเพื่อนของแม่เอง หากอันหลิงเกอแต่งเข้าไปก็เท่ากับเป็นลูกไก่ในกำมือเรา จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด” แววตาชั่วร้ายฉายชัดขึ้นมาในดวงตาของหลี่ซื่อ กลับทำให้มิทันได้สังเกตเงาของคนที่หายวับไปทางด้านนอกหน้าต่าง
ในขณะนั้นเองอันหลิงเกอได้ล้มตัวลงนอนบนเตียง ในใจนึกย้อนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ จึงได้ลุกขึ้นนั่งแล้วเอ่ยพึมพำกับตนเองว่า “ดูท่าอี๋เหนียงคงมิปล่อยข้าไปอย่างแน่นอน”
คล้ายกับเป็นการยืนยันคำพูดของนาง เมื่อปี้จูเดินเข้ามาในเรือนอย่างรีบร้อน ภายในมือยังถือถาดอาหารอยู่ก็รีบเข้าไปหาอันหลิงเกอทันที “คุณหนูแย่แล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินรองพึ่งเรียนนายท่านว่าจะให้ท่านแต่งงานกับอี้ซื่อจื่อเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอเมื่อได้รับฟังบนใบหน้าพลันปรากฏรอยยิ้มอย่างเย็นชาขึ้นมา มิผิดจากที่นางคิดเอาไว้เลย นางจึงรีบหยิบขวดสองใบออกมาจากลิ้นชัก จากนั้นทาไปที่ใบหน้าของตนเอง ผ่านไปครู่เดียวบนใบหน้าของนางก็มีผื่นแดงเกิดขึ้น
อันหลิงเกอกล่าวกับปี้จูที่มีแววตาตื่นตระหนกว่า “เจ้าแอบไปเชิญท่านพ่อมา อย่าให้อี๋เหนียงพบเห็นเป็นอันขาด”