ตอนที่ 3 ใส่ร้าย
ตอนที่ 3 ใส่ร้าย
อันหลิงเกอหัวเราะเยาะอยู่ภายในใจ และเดินตามจินจูกูกูที่เดินนำทางนางอยู่เบื้องหน้าอย่างว่าง่าย เพื่อพานางไปยังห้องโถงของจวน
ตระกูลอันเป็นตระกูลที่มั่งคั่งร่ำรวย ห้องโถงนั้นจึงมีเอกลักษณ์พิเศษ ด้านหน้ามีฉากกั้น 7 บาน แต่ละบานล้วนปักภาพอาชาเหินไว้อย่างวิจิตรงดงาม
เมื่ออันหลิงเกอเดินมาถึงห้องโถง ก็มองเห็นหน้าฉากกั้นแต่ละบานนั้นมีผู้คนมากมายนั่งเรียงรายอยู่เต็มไปหมด เมื่อมองเข้าไปด้านในก็มองเห็นอันอิงเฉิงผู้เป็นบิดาของตน หลี่ซื่อ พ่อบ้านหวางจงจี๋ และอันหลิงอีนั่งอยู่ด้วยกัน
เมื่อเดินเข้าไปถึงบริเวณกลางห้องโถง ก็มองเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งสวมใส่ชุดบ่าวรับใช้ของจวนโหวนั่งคุกเข่าอยู่กลางโถง ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล แม้จะนั่งคุกเข่าอยู่แต่ทั้งร่างกายก็ยังคงสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากชายผู้นั้นกำลังอดทนกับพิษบาดแผลที่เจ็บหนักอยู่นั้นเอง
อันหลิงเกอขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย นางจำได้ดีว่าเมื่อชาติก่อนนั้นเป็นชายวัยกลางคน เหตุใดในชาตินี้จึงกลับกลายเป็นชายหนุ่มไปได้ ?
ดูเหมือนกับว่าหลังคืนชีพกลับมาในครั้งนี้ คงต้องมีบางอย่างที่คลาดเคลื่อนไปเป็นแน่
อันหลิงเกอได้แต่เก็บงำความรู้สึกบางอย่างที่มีต่อสองแม่ลูกเอาไว้ จากนั้นก็คารวะอันอิงเฉิงอย่างนอบน้อม “คารวะท่านพ่อ คารวะอี๋เหนียง”
“ลุกขึ้นเถอะ”
อันอิงเฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมเปี่ยมไปด้วยอำนาจ “ได้ยินว่าเจ้าพึ่งฟื้นขึ้นมาเมื่อเช้า เจ้าดีขึ้นหรือยัง ?”
อันอิงเฉิงเอ่ยถามดูคล้ายห่วงใย แต่ยังมิทันที่อันหลิงเกอจะได้เอ่ยตอบไป เขาก็กล่าวต่อไปอีก “อี๋เหนียงเป็นห่วงเจ้ามาก จึงได้ไปสืบหาความจริงเรื่องนี้ ว่าผู้ใดเป็นคนผลักเจ้าตกน้ำกันแน่”
อันอิงเฉิงนั้นมีตำแหน่งเป็นถึงโหวเย่ ทั้งยังเป็นขุนนางคนสำคัญ ปกติก็มิได้ให้ความสำคัญกับการคงอยู่ของอันหลิงเกออยู่แล้ว วันนี้แม้จะเอ่ยถามคล้ายเป็นห่วงแต่กลับมิรอให้อันหลิงเกอได้ตอบคำถามแต่อย่างใด เห็นได้ชัดว่าในใจของเขานั้น อันหลิงเกอมิได้มีความสลักสำคัญอันใดเลย
อันหลิงอีเห็นดังนั้นจึงรีบกล่าวเสริมขึ้นมาฉับพลัน “พี่หญิง ท่านว่าพวกเราจะลงโทษชายผู้นี้เยี่ยงไรดี กล้ามาทำร้ายพี่หญิงของข้าเช่นนี้ !”
“คนชั่วเยี่ยงนี้จะทำเยี่ยงใดได้ นอกเสียจากโบย 30 ทีแล้วไล่ออกจากจวนไปซะ !” หลี่ซื่อได้แสดงท่าทีของนายหญิงออกมา
อันหลิงเกอเห็นสองแม่ลูกร้อนรนเยี่ยงนี้ ก็กลับยิ่งสงบใจลง
นางก้าวเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของชายหนุ่มผู้นั้น ดวงตาของเขานี้เต็มไปด้วยความเศร้าโศกอยู่ภายในใจ นางก็สามารถรู้ถึงแผนการของสองแม่ลูกนี้ทันที
“ท่านพ่อ” อันหลิงเกอคุกเข่าลงตรงเบื้องหน้าของอันอิงเฉิง แล้วเอ่ยขัดออกไปว่า “ขออภัยที่ลูกเอ่ยขัด ตอนที่ลูกพลัดตกลงไปในน้ำนั้น ลูกมิเคยเห็นหน้าชายผู้นี้มาก่อนเลยเจ้าค่ะ”
อันหลิงอีลุกขึ้นยืนในทันที แล้วเอ่ยสวนกลับไปว่า “พี่หญิงเอ่ยเยี่ยงนี้หมายความว่าเยี่ยงไร ? หรือท่านคิดว่าท่านแม่ของข้านั้นหาแพะมารับผิดในเรื่องนี้เช่นนั้นหรือ ?”
อันหลิงเกอเอ่ยกลับอย่างชัดเจน “น้องหญิง ข้ามิได้หมายความเยี่ยงนั้น เพียงแต่ท่านพ่อนั้นเป็นถึงโหวเย่ เป็นที่จับตามองของผู้คนมากมาย หากจะลงโทษบ่าวรับใช้ผู้นี้ตามอำเภอใจแล้วนั้น ถ้าเรื่องนี้ถูกพูดออกไป จะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของท่านพ่อเอาได้มิใช่หรือ ?”
อันหลิงเกอยังได้เอ่ยเน้นย้ำไปอีกครา “อีกอย่างอี๋เหนียงนั้นมีจิตใจที่ดีงามช่วยเหลือข้าในการสืบหาเรื่องราวในครานี้ หากเรื่องนี้มีการใส่ร้ายกันเกิดขึ้นก็จะเป็นการทำลายชื่อเสียงของอี๋เหนียงเอาได้มิใช่หรือ ?”
อันหลิงเกอหันกลับไปเอ่ยกับอันอิงเฉิงและหลี่ซื่อว่า “ขอให้ท่านพ่อและอี๋เหนียงโปรดเข้าใจในความลำบากของลูกด้วยเจ้าค่ะ”
อันอิงเฉิงนั้นเป็นคนที่รักชื่อเสียงของตนเท่าชีวิต เมื่อได้ยินอันหลิงเกอเอ่ยเยี่ยงนี้ จึงคิดได้ว่าควรต้องจัดการอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้ตนเสื่อมเสียชื่อเสียง เยี่ยงนั้นจึงหันไปกล่าวกับหลี่ซื่อว่า “เจ้าบอกว่าเป็นชายผู้นี้ มีหลักฐานหรือไม่ ?”
อันหลิงอีรีบเอ่ยกลับในทันที “ท่านพ่อ มันผู้นี้เป็นคนสารภาพออกมาเองนะเจ้าคะ”
นางลุกเดินไปหาชายผู้นั้น ขณะที่เดินเฉียดอันหลิงเกอ นางก็กระซิบด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “อันหลิงเกอ ข้าขอเตือนเจ้า อย่าก่อเรื่องให้มากนักจะดีกว่า มิเช่นนั้นในยามที่เจ้าลำบาก อย่าได้มาเสียใจภายหลังเป็นอันขาด”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น อันหลิงเกอยิ่งมั่นใจว่าหลี่ซื่อจะต้องมีแผนสำรองไว้อย่างแน่นอน แต่ใช่ว่านางจะมิได้เตรียมตัวเอาไว้
อันหลิงเกอเงยหน้าขึ้น แล้วแสยะยิ้มให้นาง
ข้าเอ่ยเตือนดี ๆ เจ้ามิฟัง อยากโดนลงโทษเยี่ยงนั้นก็ดี !
อันหลิงอีรู้สึกเคียดแค้นอยู่ภายในใจ จากนั้นเดินไปยังเบื้องหน้าของชายผู้นั้นแล้วเอ่ยว่า “เจ้าจงพูดซ้ำในสิ่งที่เจ้าได้บอกกับข้าและท่านแม่ของข้าเมื่อกลางวันมาอีกครา”
ชายผู้นั้นเมื่อถูกอันหลิงอีผลักไปมาแล้วจึงเอ่ยขึ้นอย่างจำยอมว่า “นาย นายท่าน ข้าเป็นคนที่ผลักคุณหนูใหญ่ตกน้ำเองขอรับ เมื่อวานข้าเห็นคุณหนูเดินเล่นในสวนเพียงผู้เดียว จึงอาศัยโอกาสที่มิมีผู้ใดอยู่ผลักคุณหนูจนตกน้ำขอรับ”
อันอิงเฉิงกล่าวด้วยความโมโหว่า “เจ้าสุนัขรับใช้ อยู่ดี ๆ เจ้ามาผลักเกอเอ๋อตกน้ำด้วยเหตุอันใด ? !”
อันหลิงอีได้ยินเยี่ยงนั้นก็แสยะยิ้มอย่างย่ามใจ จ้องมองไปยังแผ่นหลังของอันหลิงเกอด้วยสายตามาดร้าย
อันหลิงเกอ เจ้าเป็นคนรนหาที่ตายเองนะ !
“ท่านพ่อเอ่ยถามเจ้า เหตุใดยังมิรีบตอบอีก !”
อันหลิงอีผลักชายผู้นั้น เขาจ้องมองมายังอันหลิงเกออย่างลำบากใจ “ข้าน้อยและคุณหนูใหญ่มีใจปฏิพัทธ์ต่อกัน เราทั้งสองนัดพบกันด้วยจดหมาย เมื่อวานคุณหนูใหญ่ได้นัดข้าน้อยไปพูดคุยในสวน และนางก็กล่าวเหยียดหยามว่าข้านั้นมีฐานะต่ำต้อยมิคู่ควรกับนาง ข้าน้อยรู้สึกโมโหจึงได้ผลักคุณหนูใหญ่ตกลงไปในน้ำขอรับ”
หลี่ซื่อและอันหลิงอีลอบสบตากันด้วยความสะใจ วันนี้คือวันตายของอันหลิงเกอแล้ว!
“พอได้แล้ว !”
อันอิงเฉิงลุกขึ้นยืนด้วยความโมโห เขาก้าวเท้าเข้าไปหาอันหลิงเกอ พร้อมทั้งยกเท้าขึ้นและเกือบจะเตะโดนอันหลิงเกอเข้าแล้วนั้น แต่เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมา…
ผิวพรรณอันผุดผ่อง จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูอ่อน ผมอันดำขลับที่ปลิวสยายไปตามลม เผยให้เห็นดวงตาที่สว่างไสว หางตาที่ยกขึ้นเล็กน้อย เข้ากันกับนัยน์ตาคู่นั้นที่แฝงไปด้วยความเยือกเย็น เย้ยหยัน และเฉียบคม
เมื่อสบสายตาเข้ากับดวงตาคู่นั้นก็ทำให้อันอิงเฉิงถึงกับชะงักไป จนลืมไปว่าตัวเองนั้นก้าวเท้าเข้ามาด้วยเหตุอันใด
อันหลิงเกอเห็นเยี่ยงนั้นจึงคำนับลงเล็กน้อย “ท่านพ่อจะฟังความข้างเดียวได้เยี่ยงไร ? เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของลูก ลูกหวังว่าท่านพ่อจะให้โอกาสลูกได้อธิบาย”
อันหลิงเกอมีน้ำเสียงที่สงบนิ่ง มิมีความกระวนกระวายคล้ายคนที่ถูกเปิดโปงเรื่องอื้อฉาวของตนเองแม้แต่น้อย
อันอิงเฉิงนั้นผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก เขาเองก็รู้สึกได้ถึงความมิชอบมาพากลเช่นกัน จึงได้กล่าวว่า “ไหนเจ้าลองเอ่ยมาสิ”
อันหลิงเกอหันกลับไปมองชายผู้นั้น “เจ้าเอ่ยว่าเรานัดเจอกันผ่านทางจดหมายใช่หรือไม่ เช่นนั้นเจ้าจำได้หรือไม่ว่าเราเขียนอันใดถึงกันบ้าง ?”
ชายผู้นั้นตกตะลึงงันไปเล็กน้อย แต่แล้วก็ถูกอันหลิงอีที่อยู่ด้านข้างเตะเข้า จึงต้องเอ่ยต่อว่า “คุณหนูใหญ่มักชอบที่จะเขียนจดหมายส่งถึงข้า แต่เมื่อความสัมพันธ์ยาวนานขึ้น เราก็มิได้เขียนจดหมายถึงกันอีก”
อันหลิงเกอเมื่อได้รับฟังเช่นนั้น ใบหน้าของนางก็ยกยิ้มขึ้นมา แล้วสั่งให้คนไปนำเครื่องเขียนในห้องหนังสือออกมา จากนั้นนางก็เขียนบทความลงในกระดาษตรงเบื้องหน้าของทุกคนว่า “แม้กายห่างไกล แต่ใจประสานถึงกัน”
จากนั้นส่งให้ชายผู้นั้น “เจ้าดูสิว่าเป็นบทความนี้ใช่หรือมิใช่ ?”
อันหลิงอีเมื่อเห็นเยี่ยงนั้นกำลังที่จะเอ่ยออกไป แต่เมื่ออันหลิงเกอตวัดสายตาอันเย็นเฉียบจ้องมองมาที่นาง นางถึงกลับตกตะลึงงันจนมิกล้าขยับตัว
อันหลิงอีได้แต่คิดอยู่ภายในใจว่าด้วยเหตุอันใดอันหลิงเกอถึงเปลี่ยนไปราวกับคนละคนได้เยี่ยงนี้ ? !
ขณะที่อันหลิงอีตกตะลึงงันอยู่นั้น ชายผู้นั้นก็พยักหน้าและเอ่ยตอบกับไปว่า “ใช่แล้วขอรับ”
เมื่อหลี่ซื่อได้รับฟังดังนั้นก็หลับตาลงด้วยความผิดหวัง แต่อันอิงเฉิงกลับใช้เท้าถีบชายผู้นั้นออกไป “กล้าดีเยี่ยงไรมาใส่ร้ายเจ้านายตัวเองห๊ะ !”
ชายผู้นั้นโดนเตะจนหงายหลังลงไป โชคดีที่มีคนเดินเข้ามาพอดี เขาจึงกลิ้งไปหลบอยู่ข้างเท้าของผู้มาใหม่ที่เข้ามา
คนผู้นั้นหาใช่ใครอื่น สาวใช้คนสนิทของอันหลิงเกอนามว่าปี้จูนั่นเอง
อันหลิงเกอเมื่อเห็นปี้จูพยักหน้าให้ ใบหน้าของนางก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา “ท่านพ่อ ท่านก็ทราบดีว่าข้านั้นมีนิสัยอ่อนโยน มิเคยมีเรื่องกับผู้ใดในจวนมาก่อน บ่าวรับใช้ผู้นี้กล้ามาใส่ร้ายข้า เรื่องนี้อาจมีเงื่อนงำก็เป็นได้”
หลี่ซื่อได้ฟังก็รีบเอ่ยขึ้นมา “เกอเอ๋อ บางทีอาจเป็นเพราะเจ้าอ่อนโยนเกินไป เจ้าบ่าวรับใช้ผู้นี้จึงได้แอบมีใจให้เจ้า เจ้าคงมิคิดจะลงโทษอะไรมันใช่หรือไม่”
อันหลิงเกอได้ฟังเช่นนั้นก็หัวเราะขึ้นมา “แต่มันผู้นี้อยู่ในจวนดี ๆ กลับมาใส่ร้ายข้า แล้วจะเก็บมันผู้นี้ไว้เพื่อประโยชน์อันใดกัน ?”
คำกล่าวของอันหลิงเกอนี้ทำให้อันอิงเฉิงเกิดตระหนักคิดขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็คงต้องอยากมีชีวิตที่ดี แล้วจะมาใส่ร้ายเจ้านายของตัวเองด้วยเหตุอันใด ?
อันอิงเฉิงคิดอยู่ภายในใจ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบปี้จูพาคนสองคนเข้ามา จึงเอ่ยถามด้วยความโมโห “เจ้าจะพาคนเข้ามายุ่งเกี่ยวอันใดอีก ?”
ปี้จูได้ฟังเยี่ยงนั้นก็รีบคุกเข่าลง “รายงานนายท่าน บ่าวออกไปซื้อของให้คุณหนู บังเอิญพบเจอกับสองแม่ลูกคู่นี้กำลังใช้เงินของจวนเราซื้อยาอยู่ บ่าวคิดว่าในจวนเราอาจจะมีขโมยก็เป็นได้ จึงได้นำตัวกลับมาที่จวนด้วยเจ้าค่ะ”
อันอิงเฉิงรู้สึกโมโหขึ้นมาอีกครั้ง จ้องมองไปทางหลี่ซื่อด้วยสายตาอันเกรี้ยวกราด และเต็มไปด้วยการตำหนิอย่างไม่ปิดบัง
*โหวเย่ เป็นบรรดาศักดิ์ที่เทียบกับบรรดาศักดิ์ไทยคือ เจ้าพระยาหรือพระยา