235 - พบกันโดยบังเอิญ
235 - พบกันโดยบังเอิญ
ที่พักของเย่เทียนเฉิงที่เมืองผิงซีเป็นสำนักงานผู้ว่าการ หน้าสำนักงานเป็นศาลในขณะที่ที่พักของเขาตั้งอยู่ด้านหลังสำนักงาน
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงเย่เทียนเฉิงมีที่พักอื่นที่ค่อนข้างลึกลับซ่อนอยู่นอกเมือง ไม่ค่อยมีคนรู้เรื่องนี้
กลุ่มคนสวมชุดเกราะชั้นเลิศนั่งอยู่บนหลังของม้าแรดและควบขับไปที่หน้าเมืองสร้างความตกตะลึงให้กับผู้คนหลายคนจากไอสังหารที่พวกเขาปลดปล่อยออกมา
ระหว่างทางเอี้ยนลี่เฉียงได้ยินคำอุทาน 'ว้าว…', 'นี่คือองครักษ์ของท่านซุน…', 'พวกเขาทั้งหมดเป็นคนดี…' 'พวกเขาคือคนที่ทำลายเจ้าขยะเย่เทียนเฉิง... ' และคำชมเชยอื่นๆด้วยความประหลาดใจ
แม้ว่าเขาจะขี่ม้าแรด แต่ความรู้สึกนี้น่ายกย่องมากกว่าการล่องลอยไปตามถนนบนแลมโบกินีในชีวิตก่อนหน้านี้เสียอีก
เอี้ยนลี่เฉียงซึ่งกำลังประสบกับสถานการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก รู้สึกได้ถึงความร้อนแปลกๆ ที่พุ่งขึ้นในอกของเขา
ความรู้สึกนี้สะเทือนอารมณ์มากกว่าตอนที่เขาได้ที่หนึ่งในแผนกของเขาในชาติที่แล้วเสียอีก ในตอนนั้นเขาได้รับโบนัสสูงสุดของบริษัททำให้เขาตื่นเต้นไปหลายวัน
แต่ครั้งนี้มันแตกต่างกันออกไปเพราะว่าเขากลายเป็นความภาคภูมิใจของประเทศชาติและประชาชน ความรู้สึกแบบนี้ทำให้เอี้ยนลี่เฉียงที่กำลังขี่ม้าแรดตกอยู่ในภวังค์
ด่านที่ประตูด้านเหนือเข้มงวดกว่าปกติ ไม่เพียงเท่านั้น จำนวนทหารที่ประจำการอยู่ที่ประตูเมืองยังมากกว่าจำนวนปกติถึงสามเท่า
เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงและคนอื่นๆมาถึง พวกเขาไม่ได้ลงจากหลังม้า เหลียงอี้เจี๋ยซึ่งกำลังขี่อยู่ข้างหน้าพวกเขายื่นตราคำสั่งผ่านทางให้นายประตูแทน หลังจากนั้นพวกเขาก็มุ่งหน้าออกนอกเมืองโดยตรง
ขณะที่พวกเขาขี่ผ่านอุโมงค์เอี้ยนลี่เฉียงก็เห็นกองคาราวานของชาวชาตูถูกหยุดโดยทหารที่เฝ้าทางเข้าเมืองข้างหน้าพวกเขา
“ชาวชาทูทุกคนจงลงจากหลังม้า! พวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเมืองโดยการขี่พาหนะ! สินค้าทุกชิ้นของพวกเจ้าจะต้องถูกตรวจสอบและพวกเจ้าต้องจ่ายค่าผ่านทางสองเท่านับแต่วันนี้เป็นต้นไป…!” นายทหารที่ทางเข้า ออกคำสั่งเสียงดังสั่งชาวชาตูขณะนั่งบนหลังม้า
“อะไรนะ ทำไมเราต้องลงจากหลังม้าด้วย? เราได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเมืองโดยได้รับการยกเว้นค่าผ่านทาง พวกเจ้าถือสิทธิ์อะไรมาขัดขวางเรา…!”
หัวหน้ากองคาราวานชาตูตะโกนใส่ทหารเป็นภาษาฮั่นอย่างคล่องแคล่ว ก่อนที่ชาวชาตูคนอื่นๆที่อยู่ข้างหลังเขาจะเริ่มโวยวาย
นายทหารที่ทางเข้าคำรามด้วยเสียงหัวเราะ ทันทีที่เสียงหัวเราะหยุดลง น้ำเสียงของเขาก็เย็นชาลงทันที
“พวกเจ้าสงสัยว่าทำไม ถ้าเช่นนั้นข้าขอแจ้งพวกเจ้าว่ามีความเปลี่ยนแปลงในเมืองผิงซีแล้ว นับแต่นี้พวกเจ้าจะไม่มีสิทธิพิเศษอะไรในเมืองนี้ พี่น้องทุกท่านพวกมันคนใดกล้าบุกเข้ามาก็สังหารโดยไม่ละเว้นทันที”
"ฆ่า!!"
แถวของทหารที่ยืนอยู่ที่ประตูเมืองตะโกนอย่างโกรธจัดและชี้หอกไปที่ชาวชาตู
มือธนูที่อยู่ทั้งสองข้างของหอประตูก็เล็งธนูของพวกเขาลงไปด้วย
สีหน้าของชาวชาตูก็บิดเบี้ยวทันทีเมื่อได้รับการปฏิบัติในลักษณะนี้เป็นครั้งแรก และพวกเขาก็ถอยม้ากลับอย่างหวาดกลัวพร้อมกับปรึกษากันอยู่ครู่หนึ่ง
เมื่อเห็นเอี้ยนลี่เฉียงและคนอื่นๆควบม้าออกจากอุโมงค์ ทหารที่เฝ้าประตูเมืองก็ไล่คาราวานชาวชาตูไปด้านข้างเพื่อหลีกทางให้กับพวกเขาทันที
เมื่อพวกเขาเดินผ่านชนเผ่าชาตูเหลียงอี้เจี๋ยก็ชำเลืองมองพวกเขาอย่างเยือกเย็น ม้าแรดมากกว่าสิบตัวพุ่งผ่านกลุ่มชาวชาตูไปแบบนั้น
เมื่อพวกเขาควบม้าผ่านประตูเมืองไปหนึ่งร้อยวา เอี้ยนลี่เฉียงก็ได้ยินชาวเมืองโห่ร้องอยู่ข้างหลังพวกเขา เขาหันศีรษะไปรอบๆและเห็นว่ากลุ่มคนชาตูได้ลงจากหลังม้าของพวกเขาอย่างเชื่อฟังและจ่ายค่าผ่านทางเพื่อเข้าเมือง
“เป็นอย่างไรบ้าง?” เหลียงอี้เจี๋ยถามหันศีรษะไปที่เอี้ยนลี่เฉียง
“มันควรจะเป็นอย่างนี้มาตลอด!” เอี้ยนลี่เฉียงตอบอย่างตรงไปตรงมา
“เมื่อข้ามาที่เมืองผิงซีครั้งแรก ชาวชาตูเหล่านี้แสดงท่าทางสูงส่งและทรงพลังขณะที่พวกเขาขี่ม้าเข้ามาในเมืองอย่างเย่อหยิ่ง หลังจากได้รับการดูแลเป็นพิเศษมาอย่างยาวนานพวกเขาอาจคิดว่าตัวเองเป็นผู้ปกครองเมืองผิงซีไปแล้ว!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าพูดได้ถูกต้อง! หากเย่เทียนเฉิงได้รับอนุญาตให้ดำเนินการต่อการสมรู้ร่วมคิดอย่างไร้ยางอายกับชาวชาตู ท้ายที่สุดแล้วคนพวกนี้จะสร้างหายนะให้กับอาณาจักรฮั่นเราอย่างแน่นอน!”
“ข้าต้องการให้ชาวชาตูเหล่านั้นเกิดความขุ่นเคืองมากกว่า!” เอี้ยนลี่เฉียงหัวเราะคิกคัก
“ทำไมล่ะ?”
"ถ้าพวกมันเกิดความจราจลขึ้นพวกเราก็สังหารพวกมันทั้งหมดในครั้งเดียว!"
เมื่อได้ยินคำพูดของเอี้ยนลี่เฉียง เหลียงอี้เจี๋ยก็จ้องมองเขาก่อนจะพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร
......
ทันทีที่กลุ่มคนออกจากเมือง พวกเขาก็เร่งม้าของพวกเขาไปตามถนนสาธารณะ ในเวลาเพียงไม่กี่นาที พวกเขามาถึงภูเขาเล็กๆห่างจากประตูเมืองทางเหนือประมาณเจ็ดหรือแปดลี้
ภูเขาลูกเล็กๆนี้ตั้งอยู่ใกล้ถนนสาธารณะและถูกปกคลุมด้วยป่าไผ่หนาแน่น ทำให้ดูค่อนข้างเงียบสงบและเป็นส่วนตัว ที่เชิงเขานั้นมีลำห้วยขนาดเล็ก
คฤหาสน์ตั้งอยู่ในส่วนลึกของป่าไผ่ ครอบคลุมพื้นที่หลายร้อยมู่ คฤหาสน์ดูเหมือนจะเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างลึกลับ แม้แต่ชาวบ้านในเมืองและหมู่บ้านโดยรอบบริเวณเชิงเขาก็ไม่รู้ว่าใครอาศัยอยู่บนภูเขาลูกนี้
สิ่งที่พวกเขามองเห็นได้จากระยะไกลคือเหลือบของผนังสีแดงเข้มของอาคารและกระเบื้องหลังคาสีเขียว ถ้าใครพยายามที่จะขึ้นไปบนภูเขา พวกเขาจะถูกหยุดที่ตีนเขาโดยยามของคฤหาสน์
ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะขึ้นไปบนภูเขาลูกนั้น
มีเพียงไม่กี่คนในเมืองผิงซีเท่านั้นที่รู้ว่านี่เป็นที่อยู่อาศัยที่แท้จริงของผู้ว่าการแคว้นเย่เทียนเฉิงนอกเหนือจากเรื่องงานแล้ว สำนักงานผู้ว่าการเป็นเพียงสถานที่ที่เย่เทียนเฉิงไปเยือนเป็นครั้งคราวเท่านั้น
แม้แต่เย่เทียนเฉิงเองก็ไม่ค่อยอาศัยอยู่ในลานหลังสำนักงานผู้ว่าการเท่าไหร่ เย่เทียนเฉิงพำนักอยู่ในสำนักงานผู้ว่าการแคว้นนานที่สุดน่าจะเป็นช่วงที่ซุนปิงเฉินมาเยือนเมืองผิงซีในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงและคนอื่นๆมาถึงภูเขา ทหารหลายร้อยนายได้รวมตัวกันท่ามกลางป่าไผ่นอกคฤหาสน์ พวกเขากำลังล้อมรอบคฤหาสน์ทั้งหมด
นอกจากทหารเหล่านี้แล้ว ยังมีกลุ่มคนที่รออยู่นอกคฤหาสน์ซึ่งทั้งหมดแต่งกายด้วยชุดเจ้าหน้าที่มือปราบ
เมื่อเห็นว่าเหลียงอี้เจี๋ยและคนอื่นๆมาถึงแล้ว นายทหารคนหนึ่งและเจ้าหน้าที่มือปราบก็รีบเข้ามาแสดงความเคารพ
“แม่ทัพเหลียง!”
นายทหารโค้งคำนับเหลียงอี้เจี๋ย แม้ว่าเหลียงอี้เจี๋ยจะเป็นผู้ติดตามของซุนปิงเฉินแต่ตำแหน่งทางอาหารของเขาก็ไม่ต่ำทราม ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่นายทหารจะเรียกเขาว่าเป็น 'แม่ทัพ'
เหลียงอี้เจี๋ยพยักหน้าให้นายทหารพร้อมกับกล่าวว่า
“ไม่มีใครเข้ามาที่นี่ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาใช่ไหม”
“ไม่มี สถานที่แห่งนี้ถูกยึดตั้งแต่วันที่ 19 และเราได้ยืนเฝ้าอยู่ที่นี่ตั้งแต่นั้นมา เราล้อมพื้นที่และแยกคนใช้ทั้งหมดภายในและนำพวกเขาออกมาแล้ว ไม่มีใครมาที่นี่ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา!”
"ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักทุกคน!"
"หาไม่ได้!" จากนั้นนายทหารก็แนะนำมือปราบที่อยู่ด้านข้างให้แก่เหลียงอี้เจี๋ย "นี่คือมือปราบฮั่นจากสำนักงานบังคับใช้กฎหมาย"
มือปราบฮั่นเป็นชายที่ดูซื่อตรงมีใบหน้าสีแทนและมีเคราเต็มไปหมด เขาดูไม่ต่างจากชาวนาในหมู่บ้าน
“ท่านเหลียง!” มือปราบฮั่นโค้งคำนับเหลียงอี้เจี๋ยเช่นกัน
ทันทีที่เอี้ยนลี่เฉียงซึ่งยืนอยู่ข้างเหลียงอี้เจี๋ยได้ยินเสียงของมือปราบฮั่นหัวใจของเขาก็เต้นแรงขึ้นทันที
แม้ว่าใบหน้าของเขายังคงนิ่งอยู่ แต่เขาก็จำได้ว่าคนคนนี้เป็นอาจารย์ของฉีตงไหลอย่างแน่นอน ไม่เพียงแต่เสียงของเขาจะเหมือนกันเท่านั้นแม้แต่รูปร่างของเขาก็ไม่แตกต่างจากชายคนนั้นเลย คนผู้นี้ก็คือสายลับของนิกายบัวขาวนั่นเอง
ในตอนแรกเอี้ยนลี่เฉียงต้องการจะวางแผนสังหารชายคนนี้ เขาคิดจะหาวิธีเข้าสู่สำนักงานบังคับใช้กฎหมายของเมืองเพื่อสืบหาชื่อและที่อยู่ของฝั่งตรงข้าม แต่ไม่คิดว่าจะเจอคนๆนี้ที่นี่
ผู้พิพากษาสูงสุดจากสำนักงานบังคับใช้กฎหมายเป็นหนึ่งในลูกน้องคนสนิทของเย่เทียนเฉิงและเขาถูกคุมขังแล้ว อย่างไรก็ตามยังคงมีลูกน้องของพวกเขาอีกมากมายอยู่ที่นั่นรวมทั้งเจ้าหน้าที่มือปราบอีกด้วย
มันเป็นไปไม่ได้ที่ซุนปิงเฉินจะสามารถจับกุมคนพวกนั้นได้ทั้งหมด
เอี้ยนลี่เฉียงยังคงสงบนิ่ง แม้แต่สายตาของเขาก็ไม่ชำเลืองไปมองมือปราบฮั่นคนนั้นเพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกสงสัย
“เมื่อได้รับคำสั่งของผู้ตรวจการใหญ่ มือปราบฮั่นก็ได้ค้นหาช่างฝีมือหลายคนที่เคยสร้างคฤหาสน์นี้จนพบ พาพวกมันมาที่นี่…”