ตอนที่แล้วสุดยอดนักสืบในโลกแห่งจินตนาการ (SDFW)-ตอนที่ 68
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปสุดยอดนักสืบในโลกแห่งจินตนาการ (SDFW)-ตอนที่ 70

สุดยอดนักสืบในโลกแห่งจินตนาการ (SDFW)-ตอนที่ 69


ตอนที่ 69 การช่วยเหลือ (4 ตอนใน 1 ตอน)

เซลิน่าเอื้อมมือไปหยิบผ้าขนหนูในชั้นแล้วยื่นให้ลุค พร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “นายอยากพักผ่อนซักหน่อยไหม??”

ลุคพยักหน้าและเดินเข้าไปที่มุมมุมหนึ่งของห้องที่พวกเขาสร้างเป็นแคมป์เล็กๆ เพื่อความเป็นส่วนตัว ลุคใช้ผ้าเช็ดเหงื่อของเขา

ทันใดนั้น ลุคได้ยินเสียงคนบ่นพึมพำอะไรบางอย่างในมุมหนึ่งของห้อง

ลุคหันหน้าไปตามเสียงตรงมุมห้องเขาเห็นเพียงแค่แสงไฟและหญิงวัยกลางคนที่กำลังสวดภาวนาอย่างกระตือรือร้น

ลุคลองตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นลุคก็สถบด่าหญิงคนนั้นด้วยเสียงต่ำ “ให้ตายเหอะนังนี่”

หญิงวัยกลางคนๆ นี้ เป็นคนเดียวกับที่ลุคสั่งให้เซลิน่าขังเธอเอาไว้ในห้องน้ำเมื่อวานนี้ และยิ่งไปกว่านั้นจากคำพูดของจิม ลุคคาดว่าเธอน่าจะเป็นคนร้ายที่ลอบทำร้ายจิมในขณะที่เขากำลังลงไปปิดไฟที่ห้องใต้ดิน

ตอนนี้ ผู้หญิงคนนั้นกำลังป่าวประกาศทฤษฎี วันสิ้นโลกและการลงทัณฑ์ของพระเจ้าไร้สาระอีกครั้งหนึ่ง

ลุคควานหาบางอย่างในตะกร้าและพบกับผลส้ม

ลุคลองหยั่งประมาณน้ำหนักส้มในมือ จากนั้นลุคก็ขว้างมันไปที่ผู้หญิงคนนั้นทันที

ฟิ้ว..

ผู้หญิงคนนั้นกำลังพูดว่า “เราดูหมิ่นพระเจ้าและพระคำภีร์มาตลอดและยาวนานมากเกินไปแล้ว วันนี้พระองค์ท่านต้องการให้เราจ่ายราคาสำหรับการบาปนั้นของพวกเราด้วยเลือด ในตอนนี้ถึงเวลาแสดงศรัทราของพวกเรา บูชาพระเจ้าด้วยเลือดของเจ้า ให้เป็นเหมือนเช่นเดียวกับที่อับราฮัมที่พร้อมเสียสละลูกชายเพียงคนเดียวของเขาเพื่อพิสูจน์ความศรัทราในพระผู้เป็นเจ้า…”

ผลั๊ก!

ส้มที่ลอยออกจากมือของลุคลอยโค้งเป็นมุมโปรเจคไทน์อย่างสวยงาม และพุ่งเข้าศีรษะของผู้หญิงคนนั้น ส้มกระแทกเขาที่ใบหน้าของเธออย่างรุนแรง

ผลส้มแตกกระจายทันทีและกระเซ็นใส่ผู้ที่นั่งฟังเรื่องไร้สาระอยู่ด้านหน้าของเธอ

ทุกคนต่างตกตะลึง เมื่อพวกเขาสัมผัสของเหลวบนใบหน้า และก็โล่งใจหลังจากยืนยันว่าไม่ใช่เลือด

พวกเขามองไปที่สิ่งที่ลอยเข้ามากระแทกหน้าของป้าวิปริต มันกลายเป็นส้มลูกใหญ่

พวกเขามองไปรอบ ๆ เพียงเพื่อจะไม่เห็นอะไรนอกจากความมืดและท่าทางที่น่าขบขันของผู้อื่นที่จ้องมองพวกเขา

ท่านศาสดาเก๊ทรุดตัวสลบ เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ใช่ผู้ที่มีอภินิหารอะไรและไม่ใช่ผู้ถูกเลือกอย่างที่เธออ้าง แรงกระแทกจากผลส้มรุนแรงมากเกินกว่าตัวเธอจะมนไหว และเธอก็หมดสติไป

ลุคเอามือหันหลังกลับไปแล้วล้วงกระเป๋ากางเกงและผิวปากเดินไปที่ที่นอนของเขา

เซลิน่าหัวเราะเงียบๆ และหอมแก้มลุคเมื่อนั่งลง เธอกล่าวชมลุคด้วยเสียงต่ำ “นายทำดีมาก”

ลุคยักไหล่ “ผมเปล่านะ ส้มต่างหากหล่ะที่ทำ”

หลังจากที่หญิงกลางคนโรคจิตที่น่าขยะแขยงคนนั้นถูกส้มซัดล้มลงไป ซูเปอร์มาร์เก็ตก็ตกอยู่ในความเงียบสงบอีกครั้ง

หลังจากตื่นตระหนกและหวาดกลัวมาทั้งวัน ทุกคนก็หมดแรง

ลุคต้องการพักผ่อน และระหว่างนี้เซลิน่าถือโอกาสเฝ้ายามไปในตัว

ลุคไม่ไว้ใจใครนอกจากเซลิน่าในสถานการณ์เช่นนี้

หลังจากหลับไปสามชั่วโมง ลุคก็ตื่นขึ้น

ลุคตบไหล่เซลิน่าที่ดูเหนื่อยอ่อนและพูดว่า “ผมตื่นแล้ว คุณพักผ่อนบ้างก็ได้”

เซลิน่านอนลงข้างเขาทันทีและคลุมตัวด้วยผ้าห่ม ในไม่ช้าเธอก็ผล็อยหลับไป

เมื่อได้ยินเสียงดังเป็นครั้งคราวจากนอกซูเปอร์มาร์เก็ต ลุคก็ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

การอยู่ที่นี่ไม่ใช่ความคิดที่ดี เมืองนี้เป็นเพียงเมืองเล็กๆ ลุคได้รับแจ้งจากผู้จัดการว่าระบบการสื่อสารของที่นี่ล้มเหลว และข่าวลือเกี่ยวกับฐานทัพทหารที่ลุคได้ยินในซูเปอร์มาร์เก็ตยังบอกเป็นนัยๆ ว่าเรื่องนี้มีความซับซ้อนในระดับที่ไม่ธรรมดา

ลุคไม่ได้มีความคิดความตั้งใจจะเดิมพันชีวิตของเขา ไว้กับความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ทหาร เขาต้องพึ่งตัวเองฉะนั้นเขาต้องรีบออกจากที่นี่หากต้องการอยู่รอด

อย่างไรก็ตาม มันเสี่ยงเกินไปที่จะขับรถออกไปตอนนี้

รถไม่สามารถปกป้องเขาและเซลิน่าจากสัตว์ประหลาดขนาดมหึมาที่พวกเขาได้เห็นก่อนหน้านี้

การออกไปจากที่นี่ตอนนี้รังแต่จะเพิ่มปัญหามากกว่าจะทำให้รอดชีวิต

ลุคคิดแผนการต่างๆ อยู่นาน

จู่ๆ ก็มีคนเข้ามาหาลุคอย่างเงียบๆ

ลุคสังเกตเห็นว่าเป็นผู้หญิง

เธอโน้มตัวเข้ามาใกล้ๆ และพูดด้วยเสียงต่ำ “ขอบคุณที่ช่วยฉันเมื่อคืนนี้”

ลุคพยักหน้า ในที่สุดเขาก็จำได้ว่าเธอเป็นใคร

เธอเป็นคนที่ถูกจับและเกือบจะโดนฆ่าโดยสัตว์ประหลาดที่เหมือนแร้งยักษ์

เธออายุประมาณสามสิบ เสื้อผ้าของเธอแม้ดูไม่สะดุดตา แต่ลุคจำได้ว่าเป็นแบรนด์หรูที่ใส่กันเฉพาะกลุ่มและมีมูลค่าอย่างน้อยหนึ่งพันเหรียญต่อชิ้น

นาฬิกาข้อมือราคาแพงบนข้อมือของเธอยังบ่งบอกถึงความร่ำรวยของเธอด้วย

รวมไปถึงเสื้อผ้าหน้าผมของเธอตลอดจนเล็บที่ตัดแต่งอย่างระมัดระวังของเธอก็เป็นข้อพิสูจน์ได้เช่นกัน

“ฉันชื่ออลิซ มิลเลอร์” เธอนั่งลงข้างลุคและพูดต่อด้วยเสียงปกติไม่ดังจนเกินไป “ฉันเป็น CEO ของบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง”

เมื่อเห็นว่าลุคไม่สนใจตำแหน่งของเธอ เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “คุณแข็งแกร่งมาก ฉันอยากจะขอความช่วยเหลือจากคุณสักหน่อย และฉันประเมิณแล้วว่าคุณสามารถช่วยลูกสาวของฉันได้”

ลุคเลิกคิ้วขึ้น “ข้างนอกนะหรอ? หึหึ. ผมยังไม่อยากฆ่าตัวตาย”

“งานนี้ไม่ฟรีหรอกนะ ฉันมีเงินค่าจ้างให้คุณ” อลิซทิ้งช่วงคิดครู่หนึ่งก่อนเสนอ “แสนนึงคิดว่าไง ?” ( 100 kUSD = 3 ล้านบาท)

ลุคส่ายหัว "คุณนายมิลเลอร์ เงินจะไปมีประโยชน์เมื่อเราตายไปแล้ว”

เมื่อได้ยินคำตอบของลุค อลิซจึงยื่นข้อเสนอใหม่ของเธอด้วยใจที่หนักอึ้ง “สอง… ไม่ๆ ห้าแสนดอลล่าห์ ฉันเซ็นเช็คให้นายก่อนได้เลย และถ้าหากว่าคุณช่วยลูกสาวของฉันได้ คุณสามารถขึ้นเช็คได้เลย”

ลุคส่ายหัวปฏิเสธอย่างไม่ลังเล “ขอโทษ ไม่สนใจ.”

ใบหน้าของอลิซเปลี่ยนสีและสลดลงพร้อมกับน้ำตาก็ไหลอาบใบหน้าของเธอ “ลูกสาวของฉันอายุแค่แปดขวบเอง เธออยู่บ้านคนเดียวมาครึ่งวันแล้ว…”

ลุครู้สึกขบขัน "คุณนายมิลเลอร์ ผมขอโทษด้วยกับคำพูดที่ตรงไปตรงมาของผมนะครับ แต่ด้สนสถานการณ์ตอนนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีคนนอกซูเปอร์มาร์เก็ตที่นี้ยังจะมีชีวิตอยู่ และอีกอย่างเราจะช่วยชีวิตลูกสาวของคุณได้อย่างไรในเมื่อเราแทบจะไม่สามารถดูแลตัวเองกันได้เลยตอนนี้”

อลิซรู้สึกโกรธขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินว่า “ไม่สามารถดูแลตัวเองได้”

เธอโน้มตัวเข้าไปใกล้ลุคยิ่งขึ้นและกระซิบว่า “ถ้าฉันสามารถพาพวกเราออกไปจากที่นี่ได้ล่ะ?”

ลุคเลิกคิ้วขึ้น “ไหนว่ามาเลย”

อลิซกล่าวว่า "ฉันมีเฮลิคอปเตอร์จอดอยู่ในสวนหลังบ้านของฉัน"

ลุคตกตะลึง “นี่คุณล้อเล่นรึเปล่าเนี่ย?”

มีเฮลิคอปเตอร์ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่แน่นอนว่าสำหรับเมืองเล็กๆ เช่นนี้มันไม่ธรรมดาแน่นอน

อลิซกล่าวว่า “คุณไปถามใครก็ได้ ทุกคนรู้ว่าฉันมาที่นี่ด้วยเฮลิคอปเตอร์เสมอๆ”

ลุคขมวดคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ผมขอคิดดูก่อน แล้วจะให้คำตอบคุณก่อนรุ่งสาง”

อลิซลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็พูดว่า “ยิ่งเร็วยิ่งดี ลูกสาวของฉันแทบไม่ขยับตัวเพราะเธอเป็นออทิสติก แต่ถ้าเธอหิวอาจมองหาอาหารหรือเข้าห้องน้ำ ฉันกลัวว่า…”

ลุคพยักหน้า

ในที่สุดอลิซก็จากไป

ลุคขมวดคิ้วคิดหนักก่อนปลุกเซลิน่าและบอกข้อเสนอของอลิซของเธอ

หลังจากสนทนากันสองนาที พวกเขาตัดสินใจว่าควรหาเฮลิคอปเตอร์

ถ้าอลิซคนนี้มีเฮลิคอปเตอร์จริงๆ

เซลิน่าลุกขึ้นและแอบเข้าไปในห้องทำงานของผู้จัดการที่ชาวเมืองคนอื่นๆ หลบอยู่ เธอพบผู้หญิงหลายคนที่กำลังตื่นอยู่และถามพวกเขาเกี่ยวกับเฮลิคอปเตอร์

ลุคเข้าไปพบออลลี่กับเสมียนหลายคนและถามเกี่ยวกับเรื่องนี้

ปรากฏว่าอลิซไม่ได้โกหก

มันเป็นความจริงที่เธอมักจะเดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์เพื่อมาที่นี่ในช่วงวันหยุดกับลูกสาวของเธอ

นอกจากนี้ บ้านของเธออยู่ห่างจากซูเปอร์มาร์เก็ตเพียงห้าร้อยเมตรเท่านั้น

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ทำให้ลุคอยากจะเสี่ยงออกไป

แทนที่จะรอการเสริมกำลังที่นี่ และอีกอย่างลุคชอบที่จะหาทางออกด้วยตัวเองเสมอ

ข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเฮลิคอปเตอร์คือมันสามารถบินได้

อาจมีสัตว์ประหลาดอยู่บนท้องฟ้า แต่จากการสังเกตของลุค เขาไม่ได้เสียงอะไรในอากาศมากนัก

ดูเหมือนว่าแมลงและสัตว์ประหลาดคล้ายนกยักษ์นั่นไม่สามารถบินได้ในระดับที่สูงมากนัก

ตราบใดที่เฮลิคอปเตอร์บินขึ้นอย่างรวดเร็ว มันคงจะสามารถหลบหนีอันตรายส่วนใหญ่ได้

แน่นอน อาจมีสัตว์ประหลาดที่อันตรายกว่านั้นอยู่บนท้องฟ้า แต่ในตอนนี้มันก็ยังคงเป็นวิธีที่น่าลองเสี่ยงอยู่ดี

ลุคคาดการณ์ว่าการรอกำลังเสริมจะอันตรายกว่าการหาเฮลิคอปเตอร์แล้วหลบหนีไปซะอีก

นั่นเป็นเพราะว่าประชากรในเมืองรัมฟอร์ดมีแค่ไม่กี่ร้อยคน

แม้ว่าจะชาวเมืองจากเมืองอื่นๆ มาที่ซูเปอร์มาร์เก็ตเมื่อวานนี้ด้วยเช่นกัน แต่จำนวนทั้งหมดก็ยังไม่ถึงพันอยู่ดี

และจากการสนทนาของเขากับออลลี่เมื่อวานนี้ลุคได้เรียนรู้ว่าอาจมีความเป็นไปได้ว่า ถ้าเกิดทหารอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์หมอกพวกนี้ และคิดตามสัดส่วนประชากรเมืองแล้วพวกทหารจะทำอย่างไรเพื่อกำจัดมอนสเตอร์ในหมอก? มิสไซล์ ? นิวเคลียร์?

ลุครู้สึกว่าเขาจะตกเป็นผู้บริสุทธิ์ผู้โชคร้ายถ้าเขายังเลือกที่จะรอต่อไป

เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็พยักหน้าส่งสัญญาณให้เซลิน่า และไปหาอลิซ มิลเลอร์อีกครั้ง

“คุณแน่ใจหรือว่าคุณมีเฮลิคอปเตอร์อยู่ที่บ้านของคุณ” ลุคถามเสียงเบา

อลิซพยักหน้าอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นเต้น “ใช่ และฉันพึ่งให้ลูกน้องเอามันไปเช็คสภาพและมันก็เสร็จเมื่อวานนี้ และน้ำมันก็เต็มถังแน่นอน”

ลุคสูดหายใจเข้าลึกๆ “เอาล่ะ เตรียมตัวให้พร้อม เราจะออกเดินทางตอนเจ็ดโมงเช้า”

อลิซค่อนข้างกังวล “เราออกไปตอนนี้เลยไม่ได้หรือ??”

ลุคกลอกตาอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้างนอกตอนนี้มันมืดแล้ว และผมก็ไม่บ้าพอที่จะสู้กับสัตว์ประหลาดพววกนั้นตอนมืดๆ อย่างนี้หรอก”

อลิซไม่สามารถพูดอะไรได้

มีอันตรายมากเกินไปจริงๆ และพวกเขายังอาจดึงดูดสัตว์ประหลาดแปลกๆได้มากมายในเวลากลางคืน

ลุคเช็คเวลาและพูดว่า “คุณควรพักผ่อนเก็บแรงไว้ ตอนนี้ตีห้าแล้ว เราจะออกเดินทางในหนึ่งชั่วโมงครึ่ง”

อลิซพยักหน้าและเพียงแค่นอนลงข้างๆ พวกเขาเพื่อทำให้ตัวเองสบายใจ

ลุคไม่พูดอะไร

ลุคไม่สามารถตำหนิแม่ที่เต็มใจยอมทำทุกอย่างเพื่อลูกสาวของเธอ

ลุคปล่อยให้เซลิน่าพักผ่อนมากขึ้น ส่วนลุคเริ่มเตรียมการ แผนที่ของเมืองนั้นเรียบง่ายไม่ได้ซับซ้อนอะไร และเขายังได้รับสำเนาจากซูเปอร์มาร์เก็ตมาแล้วด้วย

หลังจากศึกษาเส้นทางไปยังบ้านของอลิซซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลุคก็มั่นใจมากขึ้น

จากที่นี่ไปถึงบ้านของอลิซเพียงห้าร้อยเมตร ซึ่งใช้เวลาขับรถอย่างมากที่สุดก็คงไม่เกินสามนาที

ส่วนการที่พวกเขาจะเจอสัตว์ประหลาดขนาดมหึมานั้นหรือไม่นั้นก็คงจะขึ้นอยู่กับโชคชะตาของพวกเขาแล้วหล่ะ

การขับเฮลิคอปเตอร์ไม่ใช่ปัญหา ลุคมีทักษะการขับที่ได้รับมาจากการเอาชนะซัลลาซาร์ที่เม็กซิโก

เฮลิคอปเตอร์ของอลิซปกติแล้วน่าจะมีที่นั่งเพียงพอสำหรับสองคน แต่อย่างไรก็ตามมันก็มากพอที่จะรองรับผู้ใหญ่สามคนและเด็กหนึ่งคน

เมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อยู่นาน ลุครู้สึกว่าตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่จะเริ่มภาวนาเล็กน้อย

ถ้าเขาโชคดี พวกเขาจะหนีไปจากที่นี่และกลับมาอย่างปลอดภัยภายในสิบนาที

ถ้าเขาโชคร้าย เป็นไปได้ว่าพวกเขาจะเจอบอสใหญ่ทันทีที่พวกเขาออกไป

เมื่อหกโมงครึ่ง ลุคปลุกเซลิน่ากับอลิซและบอกให้พวกเขาเตรียมตัวให้พร้อม

ในระหว่างนี้ ลุคไปพบออลลี่และเดวิด และแจ้งพวกเขาว่ากำลังจะจากไป

ทั้งคู่ประหลาดใจที่รู้ว่าลุคกำลังจะไปช่วยอลิซตามหาลูกสาวของเธอ

แต่มันเป็นทางเลือกของลุคเอง พวกเขาไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะรั้งลุคไว้ที่นี่

ลุคได้จัดที่ซ่อนใหม่สำหรับชาวเมืองแล้ว ทุกคนถูกย้ายไปที่โกดังและสำนักงานที่ด้านหลังของซูเปอร์มาร์เก็ต และนำสินค้าภายในไปกองล้อมรอบ

ในสถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้มีมอนสเตอร์บางตัวบุกเข้ามา มันก็จะไม่วุ่นวายเหมือนเมื่อคืนนี้

นี่เป็นแนวทางที่ปลอดภัยที่สุดเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ในปัจจุบัน

ไม่มีชาวเมืองคนใดที่เต็มใจจะท้าทายสัตว์ประหลาดภายนอก

ผู้หญิงวัยกลางคนที่พยายามเผยแพร่ความคิดแปลกๆ เป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดของที่นี่ และถูกลุคจัดการลงไปแล้วเมื่อคืนนี้ ฟันของเธอหายไปครึ่งหนึ่งและริมฝีปากของเธอก็บวมเบ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเธอยังมีสัญญาณที่ชัดเจนของการได้รับการกระทบกระเทือนของสมอง

แต่กระนั้นแม้ว่าสมองของเธอจะปกติ แต่เธอก็ไม่สามารถรบกวนสภาพจิตใจของใครได้อีก

หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ลุคก็พาเซลิน่ากับอลิซไปที่ประตู เขาพยักหน้าให้ออลลี่ เพื่อย้ายท่อและโต๊ะที่ขวางทางเข้าออก

ทั้งสามคนแอบเข้าไปในรถของลุคที่จอดอยู่ไกล้กับด้านหน้าของซุปเปอร์มาร์เก็ต

รถฟอร์ดถอยรถออกมาอย่างเงียบๆ และขับตะลุยเข้าไปในหมอกที่ไม่มีที่สิ้นสุดโดยไม่เปิดไฟ

ออลลี่และเดวิดรู้สึกกังวัลอยู่ไม่นานนัก พวกเขาก็นึกได้ว่าควรปิดซูเปอร์มาร์เก็ตอีกครั้ง ก่อนที่พวกเขาจะซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยด้านหลัง

รถของลุคขับช้าๆไปตามถนนราวกับผี

เขาไม่กล้าขับรถเร็วเกินไปเพราะกลัวจะชนกับสิ่งกีดขวางด้านหน้า

รถเคลื่อนตัวราวกับว่ามันลอยอยู่ในทะเลหมอก

อลิซเอาผ้าปิดปากของเธอเอาไว้ เนื่องจากลุคขอให้เธอปิดไว้เพื่อป้องกันกรณีที่เธอกรีดร้องโดยไม่รู้ตัว

ถ้าเธอต้องการจะคุยอะไรก็สามารถถอดผ้าเช็ดตัวออกก่อน

หลังจากที่ศึกษาเส้นทางภายในเมืองมาเป็นอย่างดี ลุคก็ขับมาถึงที่บ้านของอลิซภายในไม่กี่นาที

เมื่อสังเกตเห็นกล่องเลขที่บ้านของเพื่อนบ้าน อลิซพูดด้วยเสียงกระซิบ “บ้านฉันอีกสิบเมตรด้านขวา”

ลุคหยุดรถอย่างเงียบ ๆ แล้วพูดว่า “ตามพวกเรามา และอย่าส่งเสียงเด็ดขาด”

จากนั้นเขาก็ลงจากรถโดยให้เซลิน่าและอลิซตามมาที่ด้านหลังไม่ไกลนัก

พวกเขามาถึงประตูบ้านไม่กี่วินาทีต่อมา ด้วยกุญแจของอลิซ ลุคเปิดประตูและเข้าไป หลังจากที่ทุกคนเข้ามาครบ เขาก็รีบปิดประตูทันที

อลิซชี้ไปที่ห้องนอนของลูกของเธอบนชั้นสอง แต่เมื่อขึ้นไปดูแล้ว พวกเขาก็พบว่าเตียงในห้องว่างเปล่า จนกระทั่งพวกเขาไปพบเธอกำลังนอนเล่นอยู่ในอ่างอาบน้ำ โชคดีที่เด็กคนนี้เลือกที่จะแช่น้ำอยู่ภายในบ้าน

ตัวสั่น อลิซเรียก “แคร์รี่! แคร์รี่!”

ลุคตบไหล่อลิซอย่างแรง

เมื่อกลับมารู้สึกตัว อลิซเงียบเสียงลงทันที ลุคเดินไปข้างหน้าและตรวจสอบเด็กน้อย จากนั้นลุคก็พูดกับอลิซด้วยการกระซิบ “เธอสบายดี เราควรออกไปจากที่นี่ก่อน น้ำและอาหารค่อยเอาไว้ทีหลัง”

ในฐานะซีอีโอของบริษัท อลิซไม่ใช่คนงี่เง่า เธอพยักหน้าอย่างรวดเร็ว

แคร์รี่ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีเลย แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาในการพาเธอขึ้นเฮลิคอปเตอร์

ทั้งสามคนลงไปข้างล่างกับแคร์รี่อีกครั้ง

ลุคเปิดประตูหลังอย่างช้าๆ และหมอกสีขาวก็ไหลเข้ามา

เขาก้าวไปด้านหน้าอย่างระมัดระวังพร้อมกับท่อนเหล็กในมือของเขา

หลังจากก้าวไปข้างหน้าสิบเมตร เขาก็เห็นเฮลิคอปเตอร์ของอลิซ

ลุคเปิดประตูเฮลิคอปเตอร์และนั่งในที่นั่งฝั่งคนขับ จากนั้นเขาก็ตรวจสอบน้ำมันและพารามิเตอร์ต่างๆ

ครู่ต่อมาเขาก็สตาร์ทเครื่องยนต์ของเฮลิคอปเตอร์

ช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดมาถึงแล้ว

ขณะที่ใบพัดของเฮลิคอปเตอร์เริ่มหมุน ก็มีเสียงดังขึ้น

ลุครู้สึกว่าเขากำลังถูกจับตามอง แต่บางทีสัตว์ประหลาดอาจไม่คุ้นเคยกับเฮลิคอปเตอร์ และเสียงใบพัดที่หมุนอย่างบ้าคลั่งก็ขัดขวางไม่ให้พวกมันเข้าใกล้

แต่ละวินาทีที่ไหลผ่านเป็นเหมือนเวลายาวนานเป็นปีสำหรับลุค เซลิน่า และอลิซ

การรอเฮลิคอปเตอร์อุ่นเครื่องเป็นเรื่องที่ทรมานเกินไปเมื่อมีมอนสเตอร์อยู่ทั่วทุกแห่งตอนนี้

ในที่สุด ลุคก็พูดใส่เครื่องวอวิทยุว่า “ออกมาได้แล้วเซลิน่า”

ไม่กี่วินาทีต่อมา เซลิน่ากับอลิซก็วิ่งออกมาพร้อมกับแครี

หลังจากที่ทุกคนขึ้นเครื่องและปิดประตู ลุคก็เริ่มที่จะขยับคันโยกด้านหน้าของเขาด้วยความคล่องแคล่ว

เฮลิคอปเตอร์ค่อยๆ ขึ้น

ในสายหมอกที่หนาเข้มตอนนี้ เฮลิคอปเตอร์เป็นเหมือนกับนกตัวเล็กๆ ที่กำลังดิ้นรนบินออกจากกรง

เฮลิคอปเตอร์ค่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ

ในที่สุดลุคก็รู้สึกกังวลน้อยลง

ตอนนี้เฮลิคอปเตอร์สูงเกือบร้อยเมตร ความเสี่ยงต่ออันตรายก็น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

ทันใดนั้น ลุคตรวจพบสิ่งผิดปกติ และหันเฮลิคอปเตอร์โดยไม่รู้ตัว

สองวินาทีต่อมา เฮลิคอปเตอร์ก็เคลื่อนผ่านบางสิ่ง

หัวใจของลุคเต้นแรงทั้งๆ ที่ปกติเขาจะสงบ

เซลิน่าและอลิซต่างกลั้นหายใจ ไม่กล้าส่งเสียง

ในสายหมอกนั้น มีสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาผ่านเฮลิคอปเตอร์

ลุคสัมผัสได้ถึงสิ่งมีชีวิตที่มองดูเฮลิคอปเตอร์ แต่มันไม่หันกลับมา

เขามองไปที่พารามิเตอร์ด้านหหน้าโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ระดับความสูง 120 เมตร

ดังนั้น มัน… สูงกว่าร้อยเมตรเหรอ?

ลุคไม่คิดว่าจะเจอบอสมอนสเตอร์จริงๆ

และเมื่อกี้มันนอกเหนือความคาดหมายของลุคมาก ว่าสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ตัวนั้นไม่ให้ความสนใจพวกเขาเลย

มันอาจจะเหมือนกับที่สิงโตไม่สนใจแมลงวัน เฮลิคอปเตอร์แทบจะไม่สามารถเติมเต็มกระเพาะของบอสมอนสเตอร์ตัวนี้ได้

เฮลิคอปเตอร์ทะลวงพุ่งผ่านผ่านหมอกหนาออกมาเมื่ออยู่สูงขึ้นไปราวๆ ห้าร้อยเมตร พระอาทิตย์ยามเช้าที่ขอบฟ้าส่องสว่างเหล่าผู้โดยสารในเฮลิคอปเตอร์

ชั่วขณะ ณ เวลานั้นแม้แต่คนที่สุขุมอย่างลุคก็รู้สึกลมหายใจขาดห้วงและหยุดหายใจไปชั่วขณะ

เฮลิคอปเตอร์ลงจอดที่ฮูสตันอีกครั้งในเวลาประมาณแปดโมงเช้า ทุกคนรู้สึกโชคดีที่รอดมาได้

แสงสีทองของแดดยามเช้าย้อมสีของสถานีตำรวจให้ดูสวยงาม

นักสืบของแผนกอาชญากรรมหลักกำลังรับประทานอาหารเช้า เมื่อพวกเขาเห็นลุคและเซลิน่าที่ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ พวกเขาตกตะลึง “ลุค เซลิน่า พวกคุณกลับมาแล้วเหรอ”

ลุคและเซลิน่าทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม “โอ้ ครีช อรุณสวัสดิ์”

ครีช มองไปที่เฮลิคอปเตอร์ พบว่ามันแปลก “ทำไม...คุณกลับมาไวจัง”

“เราเจอเหตุฉุกเฉินนิดหน่อย และเพื่อนคนนี้พาเรากลับมาที่นี่พร้อมกับเฮลิคอปเตอร์”ลุคตอบ

ครีช ไม่เชื่อทั้งหมด แต่เขาไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม

ส่วนใหญ่แล้วนักสืบมักจะเก็บเรื่องคดีของพวกเขาไว้เป็นความลับ และจะแบ่งปันข้อมูลเฉพาะกับเพื่อนที่พวกเขาไว้ใจเท่านั้น

ลุคกับเซลิน่าเป็นน้องใหม่ และพวกเขาก็ไม่ได้สนิทกันรู้จักเพียงแค่ชื่อเท่านั้น

ดังนั้น ครีช ก็พยักหน้าและเดินเข้าไป

ลุคและเซลิน่าเข้าไปในสถานีตำรวจพร้อมกับอลิซและลูกสาวของเธอ

เซลิน่าหยุดที่ด้านหลังของประตูและใส่เหรียญสองสามเหรียญลงในตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ

เธอเลือกเครื่องดื่มดร.เปปเปอร์สองกระป๋องและนมสองกล่อง

เซลิน่ายื่นกระป๋องเครื่องดื่มให้ให้ลุค และยื่นสองกล่องนมให้อลิซและลูกของเธอ

เมื่อลุคดูเซลิน่าที่กำลังเพลิดเพลินกับเครื่องดื่มดร.เปปเปอร์ ลุคก็ส่ายหัวและทำได้เพียงดื่มดร.เปปเปอร์ของเขาเท่านั้น

ลุคไม่เคยชอบดร.เปปเปอร์เลย แต่เซลิน่าพยายามอย่างมากเพื่อทำให้ลุคตกหลุมรักมัน นอกจากนี้เธอยังให้คำคมไว้กับลุคว่า: คู่หูควรแบ่งปันกันทั้งทุกข์และสุข

เมื่อลุคได้ลิ้มรส ดร.เปปเปอร์ จู่ๆ ลุคก็รู้สึกว่ารสชาติไม่ได้แย่ขนาดนั้น อาจเป็นเพราะเมื่อคืนนี้เขาได้พบเรื่องราวต่างๆ มากเกินไป

ขณะกำลังเพลิดเพลินกับเครื่องดื่ม พวกเขาพาอลิซและลูกสาวไปที่ห้องทำงานของโธมัส

ลุคบอกให้อลิซรอ จากนั้นเขาเคาะประตูและเสียงโธมัสลอดผ่านประตูว่า “เข้ามาสิ”

ลุคกับเซลิน่าเดินเข้ามา โธมัสขมวดคิ้วสงสัยแต่ไม่พูดอะไร

ในฐานะรองผู้บังคับการสถานีตำรวจ เขาไม่ต้องการให้ลูกน้องของผู้ใต้บังคับบัญชามาหาเขาโดยตรง แม้ว่าลุคจะเป็นลูกน้องของเขาเองก็ตาม

ลุคยืนนิ่งและพูดว่า “หัวหน้า เรามีเรื่องต้องรายงาน”

โทมัสขมวดคิ้ว “ทำไมไม่เขียนรายงานมา”

ลุคพูดว่า “ผมขอโทษครับ หัวหน้าแต่ผมไม่คิดว่าผมจะเขียนรายงานทันตอนนี้”

โทมัสถามว่า “ทำไม”

“หัวหน้าบร็อคให้พวกเราสืบคดีเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่หายไปในลาควินท์ เมื่อวานนี้พวกเราจึงเดินทางไปที่นั่น”ลุคตอบ

โทมัสอึ้งไปชั่วครู่ "แล้วไงต่อ?"

ลุคกล่าวว่า "ก่อนที่เราจะไปถึงลาควินท์เราพบเหตุการณ์ฉุกเฉินที่เมืองรัมฟอร์ดที่อยู่ห่างจากลาควินท์ประมาณ 50 กิโลเมตร ซึ่งเมืองนี้ถูกล้อมรอบด้วยหมอกประหลาด และในหมอกมีสัตว์ประหลาดอยู่ซึ่งเที่ยวคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย แต่ยังมีผู้รอดชีวิตกำลังรอการช่วยเหลือในซูเปอร์มาร์เก็ต”

โทมัสอึ้งไป "ห่ะอะไรนะ? คุณกำลังล้อเล่น? คุณไปจำหนังสยองขวัญเรื่องไหนมารึเปล่า”

ลุคกล่าวว่า “ไม่ครับ หัวหน้า คุณสามารถเช็คเรื่องนี้ได้ และผมมาที่นี่เพื่อถามหัวหน้าว่าควรเขียนรายงานอย่างไร”

โทมัสเคร่งเครียอดขึ้นมาทันที

เขาไม่ใช่คนโง่

เห็นได้ชัดว่าลุคพยายามทำให้เขามีส่วนร่วมในเรื่องนี้เพื่อช่วยรับผิดชอบถ้าหากเกิดเรื่องขึ้น

อย่างไรก็ตาม… ด้วยตำแหน่งเขาจะเลี่ยงความรับผิดชอบได้ยังไง?

โทมัสคิดอย่างถี่ถ้วนว่า “อย่าเพิ่งเขียนรายงาน นอกจากนี้ คุณและเซลิน่าสามารถหยุดพักได้สามวัน แล้วอย่าบอกใครว่าเกิดอะไรขึ้นในรัมฟอร์ด เคลียร์ไหม”

ลุคพยักหน้า “ครับท่าน ผมจำเป็นต้องคุยกับเจ้าหน้าที่บร็อคหรือไม่”

โทมัสโบกมือของเขา “ไม่จำเป็น ผมจะแจ้งเขาเอง คุณไปรออยู่ในเลานจ์ก่อนจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง”

หลังจากที่พวกเขาจากไป โทมัสก็เริ่มโทรศัพท์

ครึ่งชั่วโมงต่อมา โทมัสนั่งอยู่ในห้องทำงานด้วยความประหลาดใจพร้อมเหงื่อผุดออกมาเต็มหลัง

เมื่อตั้งสติได้ครู่หนึ่ง โทมัสก็ตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้นพร้อมบ่นสาปแช่งอย่างหัวเสีย “บร็อค! ไอ้โง่! แกนี่มันไร้ความสามารถจริงๆ ไปเอาความมั่นในแผนการของแกมาจากไหนกัน”

สิ่งที่ทำให้โทมัสไม่พอใจจริงๆ คือช่วงเวลาที่บร็อคมอบคดีให้กับลุค

ถ้าทิ้งช่วงไปสักวันสองวัน โทมัสจะไม่โกรธอะไรเลย

แต่ทว่าตอนนี้บร็อคไม่เพียงหาเรื่องปวดหัวให้โทมัสเพิ่มแต่ยังทำให้สถานีตำรวจเวสต์ไซด์ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับการสอบสวนในลาควินตั้งแต่แรก

ส่งผลให้ตอนนี้บร็อคตกเป็นเหยื่อของการกระทำของเขาเอง

และตอนนี้สถานการณ์ค่อนข้างยุ่งยากมากขึ้น เมื่อผู้คนหลายร้อยคนติดอยู่ในรัมฟอร์ด และมีเพียงนักสืบสองคนของโทมัสเท่านั้นที่รอดออกมาจากที่นั่น

และด้วยตำแหน่งของโทมัสตอนนี้อาจจะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวที่รัมฟอร์ด

โทมัสจะถูกตำหนิหน่ะหรอ? แน่นอนว่าไม่

ด้วยตำแหน่งของโทมัสเป็นรองผบ. ของฮูสตัน เขาไม่ผิดที่ผู้ได้บังคับบัญชาเขาหนีรอดมาได้

ลุคกับเซลิน่าก็ไม่ได้ทำอะไรผิด โทมัสคงไม่สามารถตำหนิพวกเขาที่ทำงานหนักเกินไปใช่ไหม?

ดังนั้นถ้าจะหาคนผิดในที่นี่ควรจะเป็นบร็อคจึงเป็นคนเดียวเท่านั้น

ถ้าบร็อคไม่ส่งลุคกับเซลิน่าไปสืบคดีที่ลาควินท์ โธมัสก็คงไม่ต้องเข้าไปยุ่งเรื่องนี้

เพราะการที่บร็อคกำลังทำเช่นนี้ เขากำลังทำให้เจ้าหน้าที่ใหม่มีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการทำงานและแสดงออกถึงการต่อต้านโธมัส

ประกอบกับว่า บร็อคไม่ใช่คนของเขา แต่เป็นคนของหัวหน้าฟาราเดย์

ซึ่งนี้ควรจะเป็นเหตุผลหลักที่ บร็อคกล้าที่จะใช้อำนาจในทางที่ไม่ควรกับลุค

และตราบใดที่มันเป็นเรื่องของงาน บร็อคก็ไม่เคยกลัวโธมัสอยู่แล้ว

แต่ตอนนี้… โธมัสจะทำการเยอะเย้ยบร็อคโดยการเรียกบร็อคเข้ามาและบอกเขาว่าลุคและเซลิน่ามีวันหยุดสามวันเนื่องจากสถานการณ์พิเศษ

จากนั้นโธมัสก็ปุกหมุดเชือกลงบนแผนที่รัมฟอร์ดและสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับรัมฟอร์ดจากลาควินท์

ลุคและเซลิน่าไปที่เลานจ์พร้อมกับอลิซและลูกสาวของเธอ เมื่อพวกเขาเดินผ่านโต๊ะทำงาน พวกเขาก็หยิบขนมที่พวกเขามี

แท้จริงแล้วเลานจ์เป็นเพียงมุมหนึ่งในห้องโถงใหญ่ที่ถูกกั้นโดยผนังเบาเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวจากบุคคลภายนอก

ภายในเลานจ์มีโต๊ะ เก้าอี้ และโซฟาให้เจ้าหน้าที่ได้พักผ่อน

ลุคและเซลิน่าเจอผ้าห่มสองผืนสำหรับอลิซและลูกสาวของเธอ

จากนั้นพวกเขาก็นั่งลงที่โต๊ะและทานอาหารว่าง

แน่นอนว่าลุคมีช็อคโกแลต ที่เขาได้เตรียมไว้ เพราะเขาต้องการสารอาหารที่มีแคลอรีสูงไว้สำหรับร่างกายของเขา

ลุคเพลิดเพลินกับแซนด์วิช นม และช็อกโกแลต ตอนนี้ในที่สุดลุคก็มีเวลาสำรวจสิ่งที่เขาได้รับในวันที่ผ่านมา

.

B_R : ปุกาศ ปุกาศ  !!!!!!!!!

ช่วงนี้จะช้าหน่อยนะครับผู้อ่านทั้งหลาย

แต่จะพยายามเร่งให้ได้อ่านกันไวๆ นะครับ

.

.

เรามีเพจแล้วน้าเข้าไป Follow กดถูกใจ พูดคุย ติดตามข่าวสารกันได้น้า ….

https://www.facebook.com/สุดยอดนักสืบในโลกแห่งจินตนาการ-SDFW-105519611538127

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด