บทที่ 51: ความสนใจของสองบอส
บทที่ 51: ความสนใจของสองบอส
ในขณะที่ฝูเทียนเต๋าและฉินหานหยวน กำลังพูดคุยกันอย่างสบายๆ คอมพิวเตอร์ในห้องทำงานก็ได้ส่งเสียงขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น?” ฝูเทียนเต๋ามองไปที่ฉินหานหยวน
“ขอฉันดูก่อนนะ” ฉินหานหยวนลุกขึ้นและเดินไปที่หน้าคอมพิวเตอร์ เขาเห็นข้อความปรากฎขึ้นบนหน้าจอของเขา
เขามองดูข้อความและรู้สึกประหลาดใจ
“ผู้อาวุโสฝู มาดูนี่เร็ว!” เขาตะโกนใส่ฝูเทียนเต๋าที่อยู่ข้างๆ
ฝูเทียนเต๋าลุกขึ้นและเดินไป
“คนๆนี้กลายเป็นนักสู้ตั้งแต่อายุ 17 ปี?” ฝูเทียนเต๋าตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นข้อความบนหน้าจอ
เมื่ออ่านชื่อหวังเต็ง เขาขมวดคิ้ว
“หวังเต็ง ชื่อนี้ฟังดูคุ้นๆนะ”
“เอ่อ นายรู้จักเขาหรอ?” ฉินหานหยวนถามด้วยความประหลาดใจ
ฝูเทียนเต๋าคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดต่อในทันที “ฉันจำเขาได้แล้ว เมื่อไม่กี่วันก่อนพนักงานคนหนึ่งของฉันได้ส่งรายงานข้อมูลมาให้ฉัน ถ้าสองคนนี้ไม่ได้มีนามสกุลและชื่อเดียวกัน ฉันก็คิดว่ารายงานที่ฉันได้รับมานั้นก็น่าจะเป็นรายงานของเขานี่แหละ”
“เปิดกล้องวงจรปิดดูสิ เราจะได้รู้ว่าเขาเป็นคนเดียวกันหรือเปล่า?”
ฉินหานหยวนใช้คอมพิวเตอร์ของเขา และภายในไม่กี่วินาที ฉากในห้องของหวังเต็งก็ถูกฉายที่ผนังฝั่งตรงข้าม
“ใช่แล้ว นั่นแหละเขา เขาดูเหมือนกับในรูปไม่มีผิด” ฝูเทียนเต๋าจำหวังเต็งได้ในทันที
“อ่า ว่าแต่เมื่อกี้นายพูดถึงรายงาน รายงานนั้นมีอะไรกัน?”
“รายงานนั้นระบุว่าชายคนนี้ได้เปลี่ยนจากคนปกติไปเป็นศิษย์นักสู้ขั้นสูงภายในระยะเวลาไม่ถึงเดือนหลังจากที่เขาเข้าร่วมสถาบันสอนศิลปะการต่อสู้ของเรา” ฝูเทียนเต๋าตอบ
“ฮ่าฮ่า หวังเต็งคงจะต้องเริ่มฝึกเองมาก่อนที่เขาจะเข้าร่วมกับสถาบันสอนศิลปะการต่อสู้ของนายอย่างแน่นอน ดูเบื้องหลังของเขาสิ เขาเป็นลูกเศรษฐีจากตระกูลหวังแห่งตงไห่ ดังนั้นตระกูลของเขาก็คงจะไม่ขาดแคลนทรัพยากรและสามารถสนับสนุนเขาให้ฝึกศิลปะการต่อสู้ได้อย่างแน่นอน” ฉินหานหยวนยิ้มและกล่าว
“ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ตอนแรกฉันอยากจะสังเกตเขาอีกซักพัก แต่เขาก็ได้กลายเป็นนักสู้ไปแล้ว ดูเหมือนว่าเขาเป็นอัจฉริยะจริงๆ” ฝูเทียนเต๋าอุทาน
มันเป็นเรื่องยากที่จะเห็นนักสู้ที่มีอายุเพียง 17 ปี
“ดูเหมือนว่าปีนี้จะมีม้ามืดในการสอบหลักสูตรศิลปะการต่อสู้แล้วล่ะ” ฉินหานหยวนยิ้ม
“เราไปดูกันหน่อยไหม” ฝูเทียนเต๋าพยายามอย่างเต็มที่ที่จะรักษาความสงบและไม่แยแส แต่ดูเหมือนว่าเขาจะสนใจเด็กหนุ่มคนนี้มากจริงๆ
“ได้สิ ไปก็ได้”
…
หวังเต็งไม่รู้ว่าในขณะที่เขากลายเป็นนักสู้นั้น เขาก็กำลังได้รับความสนใจจากผู้ทรงพลังสองคน มันน่ากลัวจริงๆ!
สิบนาทีต่อมา การจัดทำหนังสือรับรองนักสู้ก็เสร็จสิ้น
เมื่อมองดูสมุดสีดำในมือ หวังเต็งก็ยิ้มด้วยความยินดี
หวังเต็งสวมหน้ากากอุลต้าแมนและออกมาจากสมาคมศิลปะการต่อสู้
เมื่อเขากลับมาที่โรงเรียน คาบเรียนช่วงเช้าคาบสุดท้ายก็ยังไม่จบ ทุกคนยังอยู่ในชั้นเรียน ดังนั้นหวังเต็งจึงไม่ได้รบกวนการบรรยายของครู
เขาไปที่ป่าหลังโรงเรียนและเข้าสู่ระบบเตาเป่าเอ๋อของเขา
'มาสเตอร์ลู' คนๆนี้ค่อนข้างน่าสนใจ เขาไม่อนุญาตให้ลูกค้าสั่งสินค้าหากพวกเขาไม่มีหนังสือรับรองนักสู้ คุณจะดื้อรั้นกับอะไรก็ได้ แต่เมื่อพูดถึงเรื่องเงิน คุณก็จะต้องยืดหยุ่น!
ลืมมันไปเถอะ เมื่อดูจากน้ำเสียงของอีกฝ่ายแล้วเขาก็คงจะไม่ขาดเงิน
หลังจากส่งคำสั่งซื้อไปแล้ว หวังเต็งก็ได้ส่งข้อความไปมาสเตอร์ลู: ฉันได้ทำการสั่งซื้อไปแล้ว กรุณาส่งสินค้าโดยเร็วที่สุดด้วย!
มาสเตอร์ลู: ได้เลยที่รัก ε=( ́ο`*)))
อีกฝ่ายตอบด้วยประโยคเดียว
หลังจากนั้นครู่หนึ่งคาบเรียนก็จบลง หวังเต็งไปพบกับซูเจี๋ยและเพื่อนคนอื่นๆ ของเขาในโรงอาหารเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน นอกจากนี้เขาก็ยังเห็นหลี่หรงเฉิงและหยวนจางหัวที่เขาไม่ได้เห็นมาสองสามวันแล้ว
ในช่วงเวลาที่หลี่หรงเฉิงเห็นหวังเต็ง ใบหน้าของมันก็เปลี่ยนเป็นมืดมน
หลังจากวันนั้น โจวไป่หยุนก็ได้มาถามมันเกี่ยวกับหวังเต็ง
ในตอนแรก โจวไป่หยุนมองว่าหลี่หรงเฉิงนั้นมีความสำคัญสูง นั่นจึงทำให้มันรู้สึกว่ามันมีโอกาสสูงที่จะชนะใจลูกสาวคนที่สามจากตระกูลโจว และมันก็ได้วางแผนชีวิตทั้งชีวิตของมันเอาไว้แล้วว่ามันจะแต่งงานกับสาวงามผู้มั่งคั่งและก้าวไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต
ซึ่งตระกูลโจวก็จะต้องให้ความช่วยเหลือมันอย่างแน่นอน
และเมื่อถึงเวลานั้น มันก็จะกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในเมืองตงไห่ และมัน็จะไม่ใช่ลูกเศรษฐีที่ร่ำรวยอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม หวังเต็ง... ทำไมต้องหวังเต็ง ชายคนนี้ได้ขโมยตำแหน่งที่ควรจะเป็นของมัน แม้แต่โจวไป่หยุนเองก็ยังสนใจหวังเต็ง
บัดสบ!
หลี่หรงเฉิงรู้สึกรำคาญในใจ
“นายน้อยหลี่ นายมาที่นี่เพื่อทานอาหารกลางวันด้วยอย่างงั้นหรอ?” หวังเต็งทักทายหลี่หรงเฉิงอย่างสบายๆ
“ฮึ่ม!” หลี่หรงเฉิงพ่นลมออกมาทางจมูก จากนั้นมันก็เดินตรงไปข้างหน้า
“เป็นอะไรของมัน? นี่ฉันไปยั่วมันอีกแล้วหรอ?” หวังเต็งถามซูเจี๋ยที่อยู่ข้างๆเขาด้วยท่าทางสับสน
“ใครจะไปรู้!” ซูเจี๋ยยักไหล่
…
ตลอดช่วงบ่าย หวังเต็งก็ได้เข้าไปฝึกฝนอยู่ในป่าหลังโรงเรียน เขากลับมาที่ห้องเรียนเมื่อคาบเรียนเริ่มขึ้นเท่านั้น
มันเป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์ ดังนั้นเขาจึงควรให้ความเคารพครูของเขาบ้าง
สามคาบเรียนจบลงอย่างรวดเร็ว
หลังเลิกเรียน หวังเต็งก็ลุกขึ้นเตรียมกลับบ้าน อย่างไรก็ตามหลินซัวหานก็ได้หยุดเขาไว้
“รอฉันก่อน” เธอดูเขินอายเล็กน้อยขณะกัดริมฝีปากของเธอ ในท้ายที่สุด เธอก็ได้รวบรวมความกล้าและเรียกหวังเต็งออกไป
หวังเต็งสังเกตเห็นมานานแล้วว่าเธอดูเหม่อลอยเล็กน้อย ดังนั้นเมื่อเขาเห็นเธอเรียกเขา เขาจึงหยุดเดินแล้วหันกลับมา เขาอยากรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
หลินซัวหานเก็บกระเป๋าเสร็จและออกจากห้องเรียนไปพร้อมกับหวังเต็ง
ทั้งสองเดินไปยังที่เปลี่ยวๆโดยไม่มีใครอยู่รอบข้างพวกเขา
หลินซัวหานเริ่มลังเลอีกครั้งและการแสดงออกของเธอก็เปลี่ยนไป ชั่วขณะหนึ่งเธอก็ดูหมดหนทาง และต่อมาเธอก็ดูแน่วแน่
“หากเธอมีปัญหาอะไร เธอก็สามารถบอกฉันมาได้เลย” หวังเต็งกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
บางทีอาจจะเป็นเพราะทัศนคติที่อ่อนโยนของหวังเต็งนี่เองที่ทำให้หลินซัวหานมีความกล้าอีกครั้ง เธอสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า “เอ่อ... คือฉันจะขอยืมเงินนายหน่อยได้ไหม”
หลังจากที่เธอพูดประโยคนี้ หลินซัวหานก็ดูหดหู่ใจเล็กน้อย ในเวลาเดียวกัน แววตาของความสิ้นหวังและขมขื่นก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเธอ
“เธอต้องการเท่าไหร่” หวังเต็งสามารถสัมผัสได้ถึงความลำบากใจจากการแสดงออกของเธอ
ผู้หญิงคนนี้มีชีวิตที่ยากลำบาก!
เขาเชื่อว่าหลินซัวหานคงจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังจริงๆ ถ้าไม่อย่างงั้นเธอก็คงจะไม่เข้ามาพูดขอยืมเงินเขาเป็นแน่
“150… 150,000!” หลินซัวหานพบว่ามันยากที่จะพูด เธอรีบพูดต่อ “ฉันรู้ว่ามันมากเกินไป แต่ฉันจะใช้คืนให้นายโดยเร็วที่สุด หลังจากสอบเข้ามหาวิทยาลัย ฉันก็จะทำงานพาร์ทไทม์ และเมื่อฉันมีเงิน ฉันก็จะ...”
หวังเต็งรู้สึกทึ่งเล็กน้อย
เขาค่อนข้างสงสัยเกี่ยวกับสาเหตุที่หลินซัวหานต้องการเงินจำนวนมหาศาลเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม หวังเต็งก็ไม่ได้ถามอะไรเธอเพิ่มเติม เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วพูดว่า “ส่งบัญชีแอร์เพย์ของเธอมาให้ฉัน ฉันจะโอนเงินให้เธอเดี๋ยวนี้แหละ”
“....โอนเงินให้ฉัน!” เมื่อหลินซัวหานได้ยินสิ่งที่หวังเต็งพูด ดวงตาของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดง จากนั้นเธอก็หายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบสติอารมณ์ จากนั้นเธอก็ฝืนยิ้มและพูดว่า “ขอบคุณ!”
“ฉันจะคืนเงินให้นายให้เร็วที่สุด”
เธอเน้นย้ำอีกครั้ง ราวกับว่านี่เป็นเพียงวิธีเดียวที่เธอจะสามารถรักษาความนับถือตนเองที่เหลืออยู่ในใจได้
“ไม่ต้องรีบร้อน เอาเท่าที่ไหวก็พอ” หวังเต็งพยักหน้า เขาสแกนบัญชีแอร์เพย์ของเธอและโอนเงินเข้าไป
หลายสิ่งหลายอย่างในโลกนี้นั้นแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่นแอร์เพย์ในโลกนี้นั้นรองรับการโอนเงินจำนวนมาก มันไม่มีการจำกัดจำนวนเงิน
หลินซัวหานขอบคุณเขาอีกครั้งและกำโทรศัพท์แน่น เงิน 150,000 นั้นให้ความรู้สึกที่หนักหน่วงมากสำหรับเธอ แม้แต่ยุคที่ครอบครัวเธอมั่งมีที่สุด พวกเธอก็ยังมีเงินออมไม่มากถึงขนาดนี้
สำหรับครอบครัวอย่างหวังเต็ง เงินจำนวนไม่กี่แสนนั้นก็อาจจะเป็นแค่เงินในกระเป๋าเท่านั้น อย่างไรก็ตาม สำหรับครอบครัวปกติจำนวนมากแล้ว พวกเขาก็อาจจะไม่สามารถหาเงินจำนวนมากขนาดนี้ได้แม้เวลาจะผ่านไปนานเป็นปี
“ฉันสงสัยจริงๆว่าเธอกำลังประสบปัญหาอะไร?”
หวังเต็งมองดูแผ่นหลังของหลินซัวหานขณะที่เขาตั้งคำถามกับตัวเอง เขารู้สึกกังวลเล็กน้อยดังนั้นเขาจึงตามเธอไปอย่างลับๆ...