ตอนที่ 10
จีเจ๋อหยูมุ่งตรงไปหากู้เว่ยเฉินแล้วสำรวจอีกฝ่ายครู่หนึ่ง และพบว่ารูปร่างของเขาไม่เพียงแต่แข็งแรงเท่านั้น แต่ยังมีลายมัดกล้ามชัดเจนซึ่งไม่ได้พูดเกินจริง
กู้เว่ยเฉิงนั้นเป็นเด็กฝึกที่มาจากบริษัทเดียวกับเหว่ยอี้เฉิน ตัวเขานั้นไม่เคยมีความประทับใจที่ดีต่อจีเจ๋อหยูเลย เป็นเพราะความไม่ลงรอยกันระหว่างอีกฝ่ายกับเพื่อนของเขาเหว่ยอี้เฉิน
ทันใดนั้นตัวเขาก็ได้ยินจีเจ๋อหยูพูดขึ้นมาว่า " กล้ามเนื้อของนายดูมีพลังมาก นายช่วยสอนวิธีฝึกให้ฉันได้ไหม?"
กู้เว่ยเฉินตกตะลึง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยกย่องตัวเองขนาดนี้ ปกติเขานั้นเป็นคนเท่ หล่อเหลา ไม่ค่อยพูด แต่ตราบใดที่พูดเรื่องความฟิตแอนเฟิร์มแล้วละก็ เขาจะพูดจาฉะฉานจนคนอื่นปวดหัวไปเลย น้อยคนนักในรายการที่กล้ามาคุยกับเขาเรื่องการออกกำลังกาย
เมื่อได้ยินจีเจ๋อหยูเยินยอตัวเอง น้ำเสียงของเขาก็จริงใจขึ้นมาก กู้เว่ยเฉิงพรรณาประสบการณ์ของเขาทันที " ความฟิตก็เหมือนการกิน นายไม่สามารถกินไขมันได้ในลมหายใจเดียว ... "
กู้เว่ยเฉิงพูดเป็นต่อยหอย แต่สุดท้ายก็ยังไม่เพียงพอ เขาเลยยกแขนเสื้อขึ้น แล้วเกร็งกล้ามเนื้อ พูดกับจีเจ๋อหยูว่า " รู้ไหมว่านี่เรียกว่าอะไร? นี่เขาเรียกว่าแขนยูนิคอร์น มาเถอะ มาสัมผัสเธอหน่อย..."
อีกด้านหนึ่ง ว่านหลงกำลังจัดทรงผมของเขา ฉีดสเปรย์น้ำแร่นิดหน่อยบนหน้าเพื่อให้ดูเหมือนเหงื่อออก และพูดกับกล้องในมือของลู่หนานหยุนว่า “สวัสดีครับทุกคน ผมว่านหลงเองครับ ผมพึ่งวิดพื้นไปหลายเซตเลยล่ะครับ...”
หลังจากพูดเป็นเวลานาน ว่านหลงก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาเหลือบมองไปที่ลู่หนานหยุนซึ่งท่าทางไม่ค่อยดีนักและถามว่า " กล้องพี่บันทึกอยู่รึเปล่าเนี่ย ทำไมผมรู้สึกว่ามันไม่ได้เปิดอยู่อ่ะ"
ลู่หนานหยุนหันกลับมามองคนที่กำลังจับกล้ามของกู้เว่ยเฉิง แล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า "กล้องไม่มีแบต บันทึกไม่ได้" เขาวางกล้องแล้วก็เดินออกไป
“เฮ้ ทำไมพี่ทำงี้อ่า ผมพร้อมแล้วเนี่ย” ว่านหลงรีบพูด “อย่าพึ่งไป...”
จีเจ๋อหยูเหลือบมองประตูที่พึ่งปิดโดยคิดว่าลู่หนานหยุนคงเกลียดเขาจริงๆ แม้กระทั่งไม่อยากอยู่ในโรงยิมเดียวกันด้วยซ้ำ
ผ่านไปไม่กี่วันลู่หนานหยุนก็เอากล้องออกมาถ่ายไปรอบๆตอนที่เขาว่าง จนมีเนื้อหาใน vlogเพียงพอ แต่ก็เขาไม่สบโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับจีเจ๋อหยูเลย
นอกจากว่านหลงจะขัดขวางแล้ว จีเจ๋อหยูเองก็ตั้งใจจะหลีกเลี่ยงเขาด้วย
ครั้งแล้วครั้งเล่า ลู่หนานหยุนก็อารมณ์เสียจนไม่อยากถ่ายvlogต่อ
กลับกันกับกู้เว่ยเฉิง เขากลายเป็นเพื่อนสนิทของจีเจ๋อหยูไปแล้ว ทั้งสองแทบจะตัวติดกันตอนอยู่ในโรงยิม
สำหรับเรื่องนี้ คนอีกสามคนในหอพักเดียวกันกับกู้เว่ยเฉิงก็รู้สึกประหลาดใจไม่ได้
ในหอพักในวันนั้น ไป่เซิงเจี๋ยอดไม่ได้ที่จะถามกู้เว่ยเฉิงขึ้นมาว่า " ทำไมนายกลายเป็นเพื่อนกับเสี่ยวจีได้เนี่ย?"
ลู่หนานหยุนและเหว่ยอี้เฉินก็อยู่ในหอพักเช่นกัน ใบหน้าของพวกเขาเรียบเฉย แต่อะไรที่ทำอยู่ก็หยุดไปทั้งอย่างนั้นโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
กู้เว่ยเฉิงเกาหัว “คนอื่นก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
“นั่นก็ใช่ แต่นายพูดก่อนหน้านี้ว่าไม่ชอบเขาเพราะเรื่องเหว่ยอี้เฉินไม่ใช่เหรอ?” ไป่เซิงเจี๋ยพูดอย่างงงๆ
กู้เว่ยเฉิงรีบมองไปที่เหว่ยอี้เฉินและพูดกับเขาว่า " อี้เฉิน ฉันไม่เคยลืมเรื่องพวกนั้นที่เขาเคยทำเลยนะ แต่คนเราก็เคยพลาดกันได้และเขาก็ไม่ได้มารบกวนนายมาสักพักแล้วด้วย ... "
"นายอยากเป็นเพื่อนกับใครล้วนเป็นสิทธิ์ของนายเอง" เหว่ยอี้เฉินเดินออกจากหอพักอย่างเงียบ
กู้เว่ยเฉิงเองก็รีบวิ่งออกจากหอพักตามแล้วกระซิบกับเหว่ยอี้เฉิน “ฉันคิดว่าไม่นานมานี้เสี่ยวจีเปลี่ยนไปมากเลย หรือเป็นไปได้ว่าคนในอินเตอร์เน็ตด่าเขาแรงเกินไป เขาต้องแอบไปร้องไห้คนเดียวตอนดึกๆแน่ๆ ช่างน่าสงสาร...”
คำพูดของกู้เว่ยเฉิงคล้ายกับว่าจีเจ๋อหยูต้องทนทุกข์ทรมาณในคุก
" แล้วยังไง?" น้ำเสียงของเหว่ยอี้เฉินแปลกไป
“นายลองเปิดใจให้เขาหน่อย หาโอกาสคุยกับเขา บางทีนายอาจจะมีเรื่องเข้าใจผิดระหว่างนายกับเขาก็ได้...”
เหว่ยอี้เฉินชะงักไป “ฉันเข้าใจแล้วล่ะ” จากนั้นเขาก็จากไปโดยไม่หันกลับมามอง กู้เว่ยเฉิงเองก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
แม้ว่าจะมาจากบริษัทเดียวกัน แต่กู้เว่ยเฉิงไม่เคยเดาความคิดของเหว่ยอี้เฉินออกเลยสักครั้ง
" ขอให้เขาไม่เกลียดจีเจ๋อหยูด้วยเถอะ " กู้เว่ยเฉิงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
ผ่านมาหลายวัน เหล่าเด็กฝึกที่งดซ้อมก็ต้องตื่นตะหนกขึ้นมาอีกครั้ง จู่ๆทางรายการก็หาคอนเทนส์ให้พวกเขาทำ และประกาศว่าจะจัดการแข่งขันวอลเลย์บอลเป็นโบนัสสำหรับแฟน ๆ
นี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้เข้าแข่งขัน เพื่อหลีกเลี่ยงการรวมกลุ่มจากบริษัทเดียวกัน ทางรายเลยสุ่มแบ่งพวกเขาออกเป็นกลุ่มๆให้แทน
เมื่อจีเจ๋อหยูมาที่สนามวอลเลย์บอลและเห็นรายชื่อกลุ่มของเขา เขาก็รู้สึกราวกับว่าโลกของเขาค่อยๆ พังทลายลงมา
“ลู่หนานหยุนอยู่กลุ่มเดียวกับฉันเหรอ?” จีเจ๋อหยูมองไปที่ป้ายประกาศด้วยเครื่องหมายคำถามทั่วใบหน้าของเขา
นี่มันโชคร้ายเกินไปหรือเปล่า?!
ทางลู่หนานหยุนได้ยินเสียงของเขาอยู่ไม่ไกล ริมฝีปากของเขาก็อดไม่ได้ที่จะยกขึ้นเล็กน้อย เขาเข้าใจความตกใจของจีเจ๋อหยูว่านี่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจแค่ไหน
ทุกคนสวมชุดวอลเลย์บอลที่จัดโดยทางรายการ ซึ่งเป็นเสื้อแขนสั้นและกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินอ่อน
จีเจ๋อหยูสวมผ้าคาดผมขอบทองสีดำที่หน้าผาก เพื่อไม่ให้ผมม้าปิดบังการมองเห็นของเขา และคนทั้งหมดก็ดูหน้าจริงจังขึ้นมาก
แม้ว่าจีเจ๋อหยูจะเป็นมือใหม่ด้านวอลเลย์บอล แต่นี่เป็นโอกาสที่จะได้แสดงผลของการออกกำลังกายของเขาแล้ว ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะทำผลงานให้ดีอยู่พักหนึ่ง สิ่งเดียวที่ต้องใส่ใจคืออยู่ให้ห่างจากลู่หนานหยุน
ด้านข้างสนาม กู้เว่ยเฉิงซึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกับจีเจ๋อหยู มานั่ข้างเหว่ยอี้เฉินบนม้านั่งและพูดกับเขาว่า " นายอยากเปลี่ยนทีมกับฉันไหม?"
“เปลี่ยนได้ด้วยเหรอ?” เหว่ยอี้เฉินมองดูเขาอย่างสับสน “แล้วทำไมนายอยากเปลี่ยนทีม?”
กู้เว่ยเฉิงกระซิบกับเขา " ฉันอยากสร้างโอกาสให้นายนะ นายกับเสี่ยวจีเป็นเพื่อนร่วมทีมกันครั้งเดียว บางทีความเข้าใจผิดระหว่างพวกนายอาจจะคลี่คลายก็ได้ ฉันลองถามพี่ชายที่ล่วงลับไปของฉันไปแล้ว เขาบอกไม่เป็นไรหรอก"
เหว่ยอี้เฉินมองเขานิ่ง
“เฮ้ ไม่อยากเปลี่ยนก็ไม่เป็นไรนะ”
" เปลี่ยน " เหว่ยอี้เฉินยืนขึ้นทันที เขายืดตัวตรงเผยความสูงของเขา และเดินไปที่สนามกีฬาทามกลางสายตาที่ประหลาดใจของกู้เว่ยเฉิง
จีเจ๋อหยูขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าสิ่งต่างๆไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว
ทำไมเหว่ยอี้เฉินถึงมานี่ด้วย?
เขามาหาลู่หนานหยุนเหรอ?
พวกเขาต้องการพัฒนาความสัมพันธ์ตอนเล่นกีฬาใช่ไหม?
ยิ่งจีเจ๋อหยูคิดเกี่ยวกับมันมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จู่ๆเขาก็เริ่มสงสัยว่าเขามาทำอะไรที่นี่—เขาเป็นมือใหม่สำหรับวอลเลย์บอล แต่เขากลับอยู่กลุ่มเดียวกับตัวเอกทั้งสองคน…
“บัดซบ” ในที่สุดจีเจ๋อหยูก็คิดออก และพึมพำด้วยเสียงต่ำ “ฉันมาอยู่ตรงนี้เพื่อแยกตัวเอกสองคนให้ออกจากกันสินะ”
คู่แข่งฝั่งตรงข้ามตาข่ายคือถังเจิน
ถังเจินกกำลังอุ่นเครื่องพร้อมที่จะต่อสู้ครั้งใหญ่ เมื่อเขาเห็นว่าจีเจ๋อหยูเป็นคู่ต่อสู้ของเขา เขาก็มีความสุขอย่างสุดจะพรรณนาแล้ว หลังจากพ่ายแพ้ยับเยินและโดนเยาะเย้ย บางคนก็บอกว่าเขาแพ้จีเจ๋อหยูเพราะความเย่อหยิ่งของตัวเขาเอง
แต่ถังเจินกลับรู้สึกว่าเขาถูกจีเจ๋อหยูหลอก เห็นได้ชัดว่าเขาเต้นเก่งมาก แต่แกล้งทำไม่เป็นเช่นนั้น
ดังนั้นถังเจินจึงต้องการใช้ประโยชน์จากการชนะจีเจ๋อหยูในเกมวอลเลย์บอล ให้ตัวเองได้พอหายใจหายคอขึ้นมาบ้าง
เสียงนกหวีดดังขึ้นแสดงการเริ่มเกม
ความเร็วในการตอบสนองและสมรรถภาพทางร่างกายของจีเจ๋อหยูนั้นแข็งแกร่งมาก แม้ว่าเขาจะเป็นมือใหม่สำหรับวอลเลย์บอล แต่เขาก็ยังไม่มีปัญหาในการดูบอล แต่เมื่อตัดมาที่ลู่หนานหยุนและเหว่ยอี้เฉิน พวกเขานั้นสมกับเป็นตัวเอกของเรื่องจริงๆ พวกเขาบล็อกการโจมตีของคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดายครั้งแล้วครั้งเล่า
ทุกครั้งที่ถังเจินจะตีลูกบอล เขาก็จะเล็งไปที่จีเจ๋อหยู และพยายามทำให้เขาอับอาย แต่ลู่หนานหยุนก็จะปรากฏตัวขึ้นเหมือนผีทุกครั้งและหยุดลูกบอลได้สำเร็จ
จบรอบแรก จีเจ๋อหยูชนะโดยที่เขาสัมผัสบอลแค่นับครั้งได้
ฉันมาเพื่อขัดขวางทางตัวเอกจริงๆ จีเจ๋อหยูไม่พอใจ
อย่างไรก็ตาม เขาค้นพบว่าระหว่างเกม ลู่หนานหยุนเล่นเป็นทีมได้ดีจริงๆ แม้ว่าลู่หนานหยุนจะเกลียดเขา แต่อีกฝ่ายก็ยังบล็อกบอลให้เขาทุกครั้ง ซึ่งทำให้เขาประหลาดใจมาก
จีเจ๋อหยูรู้สึกว่าเมื่อเขาเห็นลู่หนานหยุนกระโดดจากด้านหลังของเขา เขาก็รู้สึกได้ถึงความปลอดภัยที่อธิบายไม่ได้ เหมือนมีคนสร้างเกราะป้องกันไว้ข้างหน้าเขา
“นายล่อลู่หนานหยุนออกไป ไม่อย่างนั้นฉันจะตีไม่ได้” ถังเจินปาดเหงื่อและพูดกับเพื่อนร่วมทีม อันที่จริงแล้วจุดประสงค์ของเขาคือทำให้ลู่หนานหยุนไม่สามารถเบี่ยงตัวเองออกมาเพื่อป้องกันลูกบอลให้จีเจ๋อหยูได้
รอบที่สอง
ถังเจินเปลี่ยนกลยุทธ์ของเขา และทุกคนก็มุ่งความสนใจไปที่ลู่หนานหยุน
แม้ว่าลู่หนานหยุนจะรับลูกบอลได้อย่างง่ายดาย แต่ความสนใจของเขาก็ค่อนข้างฟุ้งซ่าน เขาไม่สามารถใส่ใจจีเจ๋อหยูได้ตลอดเวลา
ถังเจินยังคงจ้องมองไปที่จีเจ๋อหยูอยู่ และในที่สุดเขาก็พบโอกาส โดยใช้ประโยชน์จากระยะห่างของลู่หนานหยุนกับจีเจ๋อหยู แล้วตบกระแทกลูกบอลไปที่จีเจ๋อหยูด้วยความรุนแรง
ด้วยเพราะเขาไม่มีโอกาศได้แตะลูกบอลเลยเป็นเวลานาน ร่างกายของจีเจ๋อหยูจึงอยู่ในสถานะ "รักในสิ่งที่ทำ" เมื่อเขาเห็นลูกบอลลอยอยู่ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง
ลูกบอลของถังเจินนั้นทั้งรุนแรงและล็อคเป้าหมายไปที่ใบหน้าของจีเจ๋อหยูอย่างชัดเจน ความล้มเหลวจากการแสดง การเยาะเย้ยจากคนอื่น และการพ่ายแพ้ในรอบที่แล้วล้วนกระตุ้นเขา
ลู่หนานหยุนตกใจและรีบวิ่งไปหาจีเจ๋อหยูด้วยขายาวของเขา แต่มันก็สายเกินไป
ด้วยความเร็วเช่นนั้น ร่างหนึ่งก็พุ่งมาข้างหน้าและกอดจีเจ๋อหยูไว้ ป้องกันลูกบอลด้วยไหล่ของเขา
การกระทบของลูกบอลทำให้เกิดเสียงดังก้อง
สมองของจีเจ๋อหยูว่างเปล่า
ร่างสูงกอดเขาไว้ และทั้งสองก็ล้มลงกับพื้นพร้อมกัน
ในความโกลาหล ชายคนนั้นหันตัวกลับอย่างรวดเร็ว ให้หลังเขากระแทกกับพื้นแทน และจีเจ๋อหยูก็ตกลงสู่อ้อมกอดของเขา
ทุกสิ่งรอบตัวเงียบสงัด
จีเจ๋อหยูลืมตาขึ้นและเห็นดวงตาสีดำบริสุทธิ์ มีไฝที่หางตาขวาของเขา
ไม่มีใครคาดคิดว่าคนที่ช่วยจีเจ๋อหยูจะเป็นเหว่ยอี้เฉิน