บทที่ 41: ผู้รู้แจ้ง
บทที่ 41: ผู้รู้แจ้ง
หลังจากศึกษาสายตาแห่งจิตวิญญาณของเขามาระยะหนึ่ง เขาก็ได้ย่อยอาหารเกือบทั้งหมดในท้องของเขาไป
หวังเต็งลุกขึ้นและเดินลงบันไดไป ระหว่างทางเขาก็ทักทายพ่อแม่
“พ่อ แม่ ผมจะไปสถาบันสอนศิลปะการต่อสู้”
หวังเฉินกั๋วเพิ่งกลับมาจากการเดินทางไปต่างประเทศเพื่อเรื่องธุรกิจของเขา และเหตุผลที่เขาไม่ได้กลับไปที่ออฟฟิตของเขาในคืนนี้นั้นก็เป็นเพราะเขาต้องการพักผ่อนที่จะอยู่บ้านและใช้เวลากับครอบครัว
ในขณะนี้ เขาก็กำลังดูโทรทัศน์อยู่กับหลี่ซิ่วเหม่ยในห้องนั่งเล่น
เมื่อพวกเขามาถึงจุดไคลแม็กซ์ เขาก็พูดคุยกับหลี่ซิ่วเหม่ยว่าโครงเรื่องนี้มันล้าสมัยไปแล้ว และคำพูดของเขามันก็เป็นสิ่งที่ผู้ชายทั่วโลกต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาได้ยินเสียงของหวังเต็ง หวังเฉินกั๋วก็โบกมือให้หวังเต็งโดยไม่ได้หันศีรษะไป
“ถอยออกไป อย่าขัดจังหวะเราขณะดูโทรทัศน์! นี่คือจุดไคลแม็กซ์แล้ว!”
“ก็ได้ๆ!” หวังเต็งกลอกตาและถอยกลับไปอย่างเร่งรีบ
หลี่ซิ่วเหม่ยตบหวังเฉินกั๋วไปหนึ่งครั้งแล้วตะโกนอย่างเร่งรีบ “ลูกแม่ คืนนี้ลูกอยากกินอะไร? เดี๋ยวแม่จะทำเผื่อไว้ให้”
“อะไรก็ได้ครับแม่ เดี๋ยวผมต้องไปแล้ว!”
เสียงของหวังเต็งดังออกมานอกประตู จากนั้นเสียงของเครื่องยนต์รถสปอร์ตก็ดังขึ้น
ณ สถาบันสอนศิลปะการต่อสู้จีชิน
หวังเต็งจอดรถของเขาและเดินไปตามทางเดินเล็กๆของสถาบันสอนศิลปะการต่อสู้ ระหว่างทางเขาก็คิดในใจว่า วันนี้ฉันไปชั้นสามดีกว่า หลายคนเริ่มรู้แล้วว่าความแข็งแกร่งของฉันนั้นมันสูงกว่าศิษย์นักสู้ขั้นกลาง อย่างไรก็ตาม ฉันก็ยังควรที่จะปกปิดเรื่องที่ฉันเป็นนักสู้เอาไว้ก่อน ไม่งั้นมันก็อาจจะสร้างปัญหาให้กับฉันภายหลังได้
อันที่จริง หวังเต็งไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าตัวเองจะกลายเป็นนักสู้ได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ เขาคิดว่าเขาอาจจะต้องใช้เวลาจนกว่าการสอบเข้ามหาลัยจะจบลง
อุบัติเหตุมักมาอย่างกะทันหันเสมอ!
มันมาไม่ทันตั้งตัว!
หวังเต็งยืนอยู่หน้าอาคารฝึกศิษย์และเหลือบมองไปยังอาคารฝึกนักสู้ที่อยู่ด้านข้าง เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ราวกับกำลังคร่ำครวญถึงความอยุติธรรมของโลกอย่างชายชรา
อยู่ในสายตาแต่ไกลเกินเอื้อม!
หวังเต็งเดินเข้าไปในอาคารและเสร็จสิ้นการประเมินทดสอบอย่างเงียบๆ จากนั้นข้อมูลตัวตนของเขาก็ได้เปลี่ยนไปโดยอัตโนมัติ และเขาก็ได้รับสิทธิ์ในการย้ายไปยังชั้นสาม
แต่ก่อนที่เขาจะขึ้นไปยังชั้นสาม เขาก็ไม่ลืมที่จะเก็บฟองสบู่ที่ดรอปออกมาระหว่างชั้นหนึ่งและชั้นสอง
บันไดที่นำไปสู่ชั้นสามนั้นตั้งอยู่ในตำแหน่งที่เห็นได้ชัดเจน
หวังเต็งไม่ต้องการเป็นที่สนใจ แต่เขาก็ยังคงดึงดูดความสนใจของทุกคนในขณะที่เขาก้าวขึ้นบันไดไป
“หวังเต็ง ฉันไม่คิดมาก่อนว่านายจะสามารถกลายเป็นศิษย์นักสั้นสูงได้เร็วขนาดนี้!” ศิษย์ที่คุ้นเคยบางคนออกมาข้างหน้าและเริ่มสรรเสริญเขา
น้ำเสียงของพวกเขาเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา!
ยิ่งติดอยู่ในระดับศิษย์นักสู้นานเท่าไร เส้นทางนักสู้ก็จะยิ่งยากขึ้นมากเท่านั้น
มันมีศิษย์ที่นี่หลายคนที่ติดอยู่ที่ระดับศิษย์นักสู้ขั้นกลางอยู่เป็นเวลานาน พวกเขาไม่สามารถเจาะทะลุประตูเพื่อก้าวไปสู่การเป็นศิษย์นักสู้ชั้นสูงได้ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องน่าเศร้า
“เห้อ จางเส้าหยางก็กลายเป็นศิษย์นักสู้ขั้นสูงไปแล้ว มาตอนนี้ อีกคนก็กำลังจะจากไปอีก”
“ฉันได้ยินมาว่ากระทรวงศึกษาธิการได้มีการเปลี่ยนแปลงกฎการรับเข้าในปีนี้ ศิษย์นักสู้ขั้นกลางสามารถเข้าร่วมการสอบหลักสูตรศิลปะการต่อสู้ได้แล้ว แต่มันไม่เกี่ยวอะไรกับเรา”
“ไอ้บ้าเอ้ย! ทำไมการเปลี่ยนแปลงนี้มันถึงไม่เกิดก่อนหน้านี้กันนะ?”
ทันทีที่ข่าวการเปลี่ยนแปลงกฎการรับเข้าของหลักสูตรศิลปะการต่อสู้ได้รับการเผยแพร่ มันก็กระจายไปทั่วทั้งเมือง ทุกคนที่ควรรู้ต่างก็ได้รู้ข่าวนี้
ศิษย์นักสู้ขั้นกลางส่วนใหญ่ในปัจจุบันนั้นเป็นผู้ใหญ่ที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานของพวกเขา พูดตามความจริงแล้วอายุเฉลี่ยของพวกเขาก็ค่อนข้างสูง นั่นจึงทำให้พวกเขาไม่สามารถเข้าสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้
พวกเขาไม่เหมือนนักเรียนในโรงเรียน แม้ว่านักเรียนจะเป็นศิษย์นักสู้ขั้นกลางเหมือนกัน แต่พวกเขาก็มีโอกาสสูงในการปีนขึ้นบันไดทางสังคม
อย่างไรก็ตาม สำหรับพวกเขาแล้ว ข่าวนี้มันก็ทำให้พวกเขาแทบจะกลายเป็นบ้า!
การเกิดผิดยุคนั้นทำให้พลาดโอกาสดีๆไปมากมาย!
เวลาไม่ได้อยู่ข้างพวกเขา ดังนั้นแล้วพวกเขาควรจะทำอย่างไรล่ะ?
“แค่ฝึกให้หนัก แล้วโอกาสจะเป็นของนาย” หวังเต็งพยักหน้าให้กับศิษย์คนนั้นและขึ้นไปที่ชั้นสาม
“ใช่แล้ว แล้วสักวันโอกาสจะเป็นของฉัน!”
ศิษย์คนนั้นกำหมัดแน่น จากนั้นเปลวเพลิงแห่งการต่อสู้ในใจเขาก็สว่างขึ้นอีกครั้ง เขาเพิ่งจะอายุ 20 ปีเท่านั้น มันยังเร็วเกินไปที่จะยอมแพ้ในตอนนี้
ท่ามกลางฝูงชนที่ชั้นสอง เจ้าอ้วนก็กำลังมองดูเบื้องหลังอันอวดอ้างของหวังเต็งขณะที่เขาเดินจากไป เจ้าอ้วนสาปแช่งในหัวใจของเขา “ฉันว่าแล้ว ฉันคิดไว้แล้วว่าชายคนนี้จะต้องซ่อนความสามารถที่แท้จริงของเขาเอาไว้อย่างแน่นอน ถ้าไม่เช่นนั้นเขาจะวิ่งเร็วกว่าฉันหรือกลายเป็นศิษย์นักสู้ขั้นสูงได้อย่างไร? เขาโกหกเรามาตลอดแน่ๆ”
บนชั้นสาม เห็นได้ชัดว่ามันมีคนน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับชั้นสอง จากชั้นหนึ่งถึงชั้นสาม จำนวนศิษย?ของแต่ละชั้นก็จะลดลงอย่างน่าใจหาย นี่เป็นตัวอย่างที่ดีของแนวคิดปิรามิด
การมาถึงของหวังเต็งนั้นทำให้หลายคนหยุดการฝึกและหันกลับมามองเขา
“เขายังเด็กมาก!”
“อัจฉริยะอีกคน!”
“หืม อัจฉริยะ?”
…
หวังเต็งมองดูสภาพแวดล้อมรอบๆเขา พื้นเต็มไปด้วยฟองสบู่และมันก็มีแกะมากมายให้เขาเก็บเกี่ยวขน...
เจ๋งมาก!
ในเวลานี้ จางเส้าหยางซึ่งเพิ่งเป็นศิษย์นักสู้ขั้นสูงก็ได้เดินเข้ามา เขามองไปที่หวังเต็งด้วยสายตาแปลกๆ
“หวังเต็ง พัฒนาการของนายนี่มันน่ากลัวจริงๆ!”
“ฉันเริ่มฝึกศิลปะการต่อสู้ตั้งแต่อายุยังน้อย และฉันก็ติดอยู่ในระยะกลางมาระยะหนึ่งแล้ว ฉันก็แค่รอโอกาสเท่านั้น” หวังเต็งยิ้มและตอบ
จางเส้าหยางพยักหน้าอย่างช้า จากนั้นเขาก็วางแขนของเขาไว้บนไหล่ของหวังเต็งและพาเขาเข้าไปข้างใน
“มา มา เนื่องจากนายมาที่นี่แล้ว งั้นในที่สุดฉันก็จะได้มีคู่ซ้อมทักษะหมัดของฉันสักที”
…
ตลอดทั้งคืนหวังเต็งได้รวบรวมฟองสบู่ค่าคุณสมบัติทั้งหมดบนชั้นสาม มันนับเป็นอีกหนึ่งกำไรอันมหาศาล
เบ็ดเสร็จ-
ความรู้แจ้ง*5
พลังวิญญาณ*6
ความแข็งแกร่ง*153
ความเร็ว*66
…
ปัจจุบันหวังเต็งได้ให้ความสำคัญไปกับการเพื่อค่าคุณสมบัติความรู้แจ้งและค่าพลังวิญญาณ อย่างไรก็ตาม ค่าคุณสมบัติทั้งสองนี้นั้นก็หายากเป็นอย่างมาก
เขาเคยหาข้อมูลทางออนไลน์มาก่อน คัมภีร์ทักษะพลังฟอร์สและเทคนิคการต่อสู้ด้วยพลังฟอร์สนั้นมีความลึกซึ้งเป็นอย่างมาก ดังนั้นพวกมันจึงต้องใช้ความรู้แจ้งและพลังวิญญาณในระดับที่สูงยิ่งขึ้นไปอีกในการทำความเข้าใจและการใช้งาน
หากมีค่าความรู้แจ้งสูง พวกเขาก็จะได้ผลลัพธ์สองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียวเมื่อฝึกฝนคัมภีร์และเทคนิคการต่อสู้ ในทางกลับกัน หากความรู้แจ้งอยู่ในระดับต่ำ พวกเขาก็จะประสบแต่กับความสิ้นหวัง
หวังเต็งสามารถรวบรวมฟองสบู่ค่าคุณสมบัติเพื่อปรับปรุงคัมภีร์และเทคนิคการต่อสู้ของเขาได้ อย่างไรก็ตาม นักสู้นั้นก็หายาก ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็จะไม่มีทางมารวมตัวกันเหมือนกับเหล่าศิษย์นักสู้ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถรวบรวมฟองสบู่ค่าคุณสมบัติของเหล่านักสู้เหมือนกับที่เขาทำอยู่ตอนนี้ได้
ด้วยเหตุนี้เอง สิ่งที่เขาจะสามารถพึ่งพาได้จริงๆนั้นจึงเป็นตัวของเขาเอง!
และการเพิ่มค่าความรู้แจ้งของเขานั้นก็ถือเป็นหนึ่งในการพึ่งพาตัวเอง!
ซึ่งมันก็นับเป็นเรื่องที่โชคดีที่เขาสามารถเพิ่มค่าความรู้แจ้งของเขาได้ด้วยการรวบรวมฟองสบู่ค่าคุณสมบัติ
ถ้าเขาค่อยๆรวบรวมพวกมันไป เขาก็เชื่อว่าในสักวันค่าความรู้แจ้งของเขาก็จะพัฒนาขึ้นได้
เขาแตกต่างจากคนอื่น หากคนอื่นๆมีความรู้แจ้งต่ำ มันก็จะไม่มีอะไรรอพวกเขาอยู่นอกจากความสิ้นหวัง
สำหรับพลังวิญญาณแล้ว มันก็เกี่ยวข้องกับระยะเวลาในการใช้สายตาแห่งจิตวิญญาณของเขา พรสวรรค์นี้อาจจะมีความสำคัญมากในอนาคต ดังนั้นเขาจึงควรเพิ่มค่าความจุของพลังวิญญาณให้เร็วที่สุด
นอกจากนี้ เขาก็ยังได้รวบรวมค่าคุณสมบัติฟุตเวิร์คขั้นพื้นฐาน ทักษะหมัดขั้นพื้นฐาน ทักษะดาบขั้นพื้นฐาน และทักษะมีดขั้นพื้นฐานมามากมายในวันนี้
ซึ่งมันก็ทำให้ตอนนี้เทคนิคการต่อสู้เหล่านี้ได้พุ่งไปสู่อีกขั้นที่อยู่เหนือกว่าระดับผู้เชี่ยวชาญแล้ว
และขั้นต่อไปหลังจากขั้นผู้เชี่ยวชาญก็คือ 'ผู้รู้แจ้ง'
ผู้รู้แจ้งนั้นเป็นขั้นตอนสุดท้ายของเทคนิคการต่อสู้ขั้นพื้นฐาน ในขั้นตอนนี้ ผู้ที่บรรลุแล้วก็จะสามารถเข้าใจออร่าอันทรงพลังที่อยู่เบื้องหลังทักษะนี้ได้ และเมื่อพวกเขาต้องต่อสู้กับใครซักคน ทักษะที่น่ากลัวนี้ก็จะสามารถปลดปล่อยความรู้สึกออกมาและทำให้พวกเขาสามารถล้มศัตรูได้แม้จะยังไม่ได้เริ่มสู้ก็ตาม
ล้มศัตรูได้โดยไม่ต้องต่อสู้!
นี่คือพลังของผู้รู้แจ้ง
อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมาก มันจึงทำให้มีผู้คนจำนวนน้อยมากที่สามารถฝึกฝนเทคนิคการต่อสู้ขั้นพื้นฐานจนมาถึงขั้นนี้ได้ และหากพูดกันตามตรงแล้ว หากคนๆหนึ่งมีเวลาและความพยายามมากมายขนาดนั้น เขาก็จะไม่มีทางเอามันมาใช้กับการฝึกเทคนิคการต่อสู้ขั้นพื้นฐานอย่างแน่นอน แต่พวกเขาจะเอามันไปใช้กับเทคนิคการต่อสู้ด้วยพลังฟอร์สแทน
อย่างไรก็ตามหวังเต็งก็ไม่ได้คิดแบบนั้น ทั้งหมดที่เขาต้องทำนั้นก็คือการรวบรวมฟองสบู่ค่าคุณสมบัติ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่เขาจะพัฒนาเทคนิคการต่อสู้ขั้นพื้นฐานของเขาจนถึงขั้นผู้รู้แจ้ง
นอกจากนี้ ถ้าเขาฝึกฝนพื้นฐานของเขาให้ดีได้ มันก็จะเป็นประโยชน์ต่อการฝึกฝนเทคนิคการต่อสู้พลังฟอร์สของเขาในอนาคต เพราะท้ายที่สุดแล้ว ตึกระฟ้าจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมันมีรากฐานที่มั่นคง
นอกเหนือจากเทคนิคการต่อสู้ขั้นพื้นฐานที่เขามีอยู่แล้ว หวังเต็งก็ยังได้เก็บเทคนิคการต่อสู้ขั้นพื้นฐานใหม่ๆมาอีกด้วย ซึ่งนั่นก็คือ ทักษะกระบองขั้นพื้นฐาน (พื้นฐาน)!
ทักษะกระบอง!
ไม่เลว ไม่เลว… ในอนาคตฉันอาจจะต้องมองหากระบองเหล็กเผื่อไว้
ไม่แน่สักวันฉันก็อาจจะได้ไปอัญเชิญพระไตรปิฎก...