ตอนที่ 9
จีเจ๋อหยูมองไปที่หยุนเจี่ยและถามช้าๆ " พี่ต้องการให้ผมทำอะไร? "
“เธอต้องแสดงภาพลักษณ์ รวมถึงเสน่ห์ส่วนตัวและเสน่ห์บนเวที” หยุนเจี่ยพูดต่อ “พูดอีกอย่างก็คือ เธอต้องสร้างบุคลิกที่ผู้ชมชอบเวลาแสดง และหาเอกลักษณ์ของเธอเองบนเวทีให้ได้”
“ผมเข้าใจที่พี่จะสื่อนะ” ดวงตาของจีเจ๋อหยูฉายแววลังเลไม่แน่นอน “แต่อะไรแบบนั้น… ผมจะเป็นต้องทำด้วยเหรอ?”
หยุนกล่าวอย่างเร่งรีบ “บางคนล่าฝันในรายการแบบนี้มาหลายปีแล้ว และยังย่ำอยู่ที่เดิม แต่บางคนสามารถออกจากวงกลมนี้ได้ ได้ตราบใดที่พวกเขามีเลนส์... เธอรู้ไหมว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้?”
จีเจ๋อหยูตกตะลึงในทันที ราวกับว่าเขาถูกซัดด้วยคำพูดของหยุนเจี๋ย
“การแสดงต้องมาพร้อมทักษะที่ดีและหน้าตา” หยุนเจี๋ยพูดอย่างอธิบายไม่ถูก “แต่ในความคิดของฉัน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการแสดงเสน่ห์ออกมา และบุคลิกจะช่วยทำให้ประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว”
จีเจ๋อหยูเข้าร่วมในรายกายมาหลายปีในชีวิตก่อนหน้านี้ เขาเชื่อเสมอว่าตราบใดที่เขาแข็งแกร่ง เขาก็จะประสบความสำเร็จแน่นอน และเขาไม่เคยคิดถึงระดับนี้
หยุนเจี๋ยกล่าวต่อ “บริษัทได้คิดพวกคำเฉพาะัวของเธอไว้แล้ว เช่น ม้ามืด ตำแหน่งเซนเตอร์ แข็งแกร่ง เจ้าชายน้อยเอาแต่ใจแต่ไร้เดียงสา... เธอคิดว่าไง?”
"นั่นไม่ใช่ผมเลย" เขาพูดโดยไม่ลังเลว่า " การโกหกแบบนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องหลอกลวงเหรอ?"
" ตราบใดที่ทางรายการมีหลักฐาน ทีมงามของเราก็รังสรรค์ให้ได้ " หยุนเจี๋ยไม่เห็นด้วย " ไม่ใช่เรื่องโกหกหรอกน่า ยังไงก็เถอะ เธอทำได้อยู่แล้ว...แน่นอนว่าถ้าเป็นก่อนการแสดงครั้งแรก ฉันคงไม่พูดอย่างนี้"
จีเจ๋อหยูส่ายหัวและปฏิเสธ " ฉันไม่ชอบบุคลิคที่พี่พูดเลย " เขาเป็นเพียงตัวประกอบธรรมดาเอง
หยุนเจี๋ยจ้องมองเขาเป็นเวลานาน และในที่สุดก็เลือกที่จะประนีประนอม เธอพูดว่า " เธอยังเหมือนเดิม ดื้อมาก ในเมื่อเธอไม่ชอบ ฉันยอมถอยออกมาก็ได้ แต่ฉันเป็นผู้จัดการของเธอ และฉันต้องรับผิดชอบตัวเธอ เข้าใจไหม"
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง หยุนเจี๋ยก็มองที่จีเเจ๋อหยูและพูดว่า “ฉันจะให้เวลาเธอสองสัปดาห์เพื่อคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เธอจะสามารถดึงดูดแฟนๆได้ หากไม่มีคำตอบให้ฉันหลังจากสองสัปดาห์ เธอต้องฟังฉัน”
จีเจ๋อหยูเข้าใจว่าหยุนเจี๋ยจริงใจต่อเขา ดังนั้นเขาจึงเม้มปากแล้วพยักหน้ายอมรับข้อตกลง
" ฉันจะแนะนำเธอ ยกตัวอย่างจากผู้เข้าแข่งคนอื่น " หยุนเจี๋ยพูดอย่างจริงจัง “ลู่หนานหยุนมีใบหน้าที่เย็นชา แต่มีกลุ่มแฟนคลับที่ชอบแบบนั้น เหว่ยอี้เฉินทำตัวนอบน้อม แต่ก็เป็นจุดสนใจเสมอ ... พวกเขาเหล่านี้เธอต้องศึกษาไว้ เอากลับไปคิดดู.”
หลังจากที่หยุนเจี๋ยจากไปแล้ว จีเจ๋อหยูยังคงคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เธอพูด
เขาไม่เคยคิดถึงเสน่ห์ของตัวเขาเลย ในชีวิตก่อนของเขา จีเจ๋อหยูหมกมุ่นอยู่กับการเต้นและร้องเพลงทุกวัน เขาไม่มีรูปร่างหน้าตาหรือภูมิหลังทางครอบครัวที่ดี และเขาไม่กล้าพูดถึงเสน่ห์ของตัวเอง
เนื่องจากเขาเคยชินกับการเป็นแบคอัพและพื้นหลังบนเวที เขาไม่เคยรู้เลยว่า "สไตล์การแสดงบนเวที" คืออะไร ทำเพียงพยายามอย่างเต็มในส่วนของตัวเองให้สมบูรณ์
พูดตรงๆว่าจีเจ๋อหยูไม่กล้าแสดงออกเพราะความเป็นจริงนั่น
คำพูดที่ซิสเตอร์หยุนเจี๋ยพูดกับเขานั้น ทำให้เขาย้อมกลับมามองดูตัวเองอีกครั้ง
ขณะพักผ่อนอยู่ในหอพัก ฉีอ่าวตงมองไปที่ท่าทางเงียบๆของจีเจ๋อหยู และเดาว่าเขาต้องเสียใจเพราะความคิดเห็นบนโลกออนไลน์แน่นอน
" คิดอะไรอยู่เหรอ? " ฉีอ่าวตงถามอย่างไม่เป็นทางการโดยนั่งลงข้างเตียงของจีเจ๋อหยู
จีเจ๋อหยูเงียบไปครู่หนึ่งและถามทันทีว่า " นายคิดว่า... เสน่ห์ของลู่หนานหยุนคืออะไร?"
หลังจากถามออกไป จีเจ๋อหยูก็จ้องไปที่เพดานเป็นเวลานาน เขาไม่ได้ยินคำตอบของฉีอ่าวตงออกมา เขาเลยอดไม่ได้ที่จะันไปมองอีกฝ่าย และพบว่าท่าทางของเขาเย็นชาขึ้นเล็กน้อย
ในตอนนี้ การเปลี่ยนแปลงของจีเจ๋อหยูล้วนอยู่ในสายตาของฉีอ่าวตง เขาคิดว่าจีเจ๋อหยูไม่ได้ชอบลู่หนานหยุนอีกแล้ว แต่เขาไม่คิดว่าเจ้าตัวจะพูดถึงมันอีก
" คิดถึงเขาเหรอ?" ฉีอ่าวตงพูดด้วยน้ำเสียงแปลกๆ " ไม่ได้ตามเขามานานแล้วนี่? มันจะเริ่มอีกครั้งหรือเปล่า"
จีเจ๋อหยูตกใจกับคำพูดของฉีอ่าวตงและรีบลุกขึ้นนั่งปฏิเสธย้ำๆ " ฉันเปล่านะ ฉันจะคิดถึงเขาได้ยังไง... "
ฉีอ่าวตงพูดอย่างเย็นชา " ผมไม่คิดว่าเขาจะมีเสน่ห์อะไรหรอก " เปลือกตาชั้นเดียวซึ่งค่อนข้างเฉี่ยว ดูเหมือนจะถูกห้อมล้อมด้วยความหนาวเย็นในขณะนี้
" อ่า โอเค " จีเจ๋อหยูคิดว่าบางทีทุกคนอาจมีความคิดที่แตกต่างกัน ดังนั้นเขาจึงถาม " แล้วนายคิดว่าเสน่ห์ของเหว่ยอี้เฉินคืออะไร?"
การแสดงออกของฉีอ่าวตงผ่อนคลายลงเล็กน้อย และเขาก็ตอบหลังจากนั้นครู่หนึ่ง " เขามาจากโรงเรียนชื่อดังเหมือนกับลู่หนานหยุน บริษัทของเขากำหนดให้เขาเป็น 'เผด็จการที่อบอุ่นและหล่อเหลา' แฟนๆชอบลักษณะนิสัยที่ขัดแย้งกันแบบนี้ "
นิสัยแบบขัดแย้ง?
จีเจ๋ออยูตระหนักได้ทันที " ฉันเข้าใจแล้ว!"
"เข้าใจ?" ฉีอ่าวตงมองเขาด้วยความสับสน " เข้าใจอะไร "
“ไม่มีอะไรหรอก” จีเจ๋อหยูกระโดดลงจากเตียงอย่างตื่นเต้น และจู่ๆก็หันไปมองฉีอ่าวตง “อ่าวตง ความแตกต่างของนายค่อนข้างมาก ส่วนใหญ่นายจะเชื่อฟัง แต่ตอนนี้นายดูเย็นชามาก”
ฉีอ่าวตงตกตะลึงและจีเจ๋อหยูก็ออกจากหอพักไปแล้วตอนที่เข้าตั้งสติได้ หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ สีหน้าของเขาพลันอ่อนลง
สิ่งที่จีเจ๋อหยูไม่รู้ก็คือเขาพูดตรงกันข้าม
จีเจ๋อหยูผู้ซึ่งคิดว่าเขารู้แจ้งด้านเสน่ห์แล้ว ก็ได้พบคนสองสามคนที่ค่อนข้างคุ้นเคยกัน และถามพวกเขาว่าความประทับใจที่มีต่อเขาเป็นอย่างไร
ตั้งแต่จบการแสดง ทัศนคติของทุกคนที่มีต่อจีเจ๋อหยูก็เปลี่ยนไป นอกจากนี้ เนื่องจากเขาถามเฉพาะเจาะจง พวกเขาจึงตอบคำถามของเขาอย่างจริงจัง
คำตอบมีหลากหลายแบบ แต่เกือบทุกคนพูดถึงประโยคหนึ่งว่าจีเจ๋อหยูดูเหมือนหนุ่มน้อยที่บอบบาง
หนุ่มน้อย?
จีเจ๋อหยูตกอยู่ในภวังค์ จะสร้างความขัดแย้งให้กับหนุ่มน้อยที่บอบบางได้อย่างไร?
สักพักเขาก็วิ่งเข้าห้องน้ำแล้วส่องกระจกอยู่นาน จู่ๆก็รู้สึกว่าได้คำตอบแล้ว…
ในตอนเย็นวันนั้น จีเจ๋อหยูก็อยู่ในชุดเสื้อกล้ามพร้อมกางเกงขาสั้นกับกระเป๋าสะพายหลัง จนเพื่อนร่วมห้องสงสัยและถามขึ้นว่า " เกิดอะไรขึ้นเสี่ยวจี นายกำลังจะทำอะไร?"
" ไปยกเวท " จีเจ๋อหยูโบกมือลาและมุ่งหน้าไปยังโรงยิมที่เตรียมโดยทางรายการ ด้วยท่าทางเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน
" อะไรนะ?! " คนที่เหลืออีกสามคนในหอพักทั้งหมดแสดงท่าทีตกใจ
ผ่านมาได้หลายวันแล้วที่จีเจ๋อหยูไปยิมทุกวันตรงเวลา และพาว่านหลงไปด้วย
ว่านหลงถือว่าจีเจ๋อหยูเปรียบเสมือนเทพเจ้าตั้งแต่การแสดงครั้งนั้น และพร้อมจะติดตามเขาอย่างเต็มใจ
หลังจากซ้อมเต้น ว่านหลงก็บอกเพื่อนร่วมบริษัทของเขาว่ากำลังจะออกไปข้างนอก
“เมื่อกี้นายว่าไงนะ?” ลู่หนานหยุนขมวดคิ้วและมองไปที่ว่านหลง " อยากขี้เกียจ?"
“ฉันไม่ได้ขี้เกียจสักหน่อย!” ว่านหลงพูดอย่างโกรธเคือง " เสี่ยวจีขอให้ฉันไปยกเวทเป็นเพื่อนต่างหาก "
"ฮะ?" ลู่หนานหยุนแสดงท่าทีไม่เชื่อ “ร่างกายเขา...จำเป็นต้องยกเวท?” ในขณะที่เขาพูด เขา็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงฉากที่เห็น จีเจ๋อหยูยกชายเสื้อของเขาขึ้นในคืนนั้น
ว่านหลงพูดอย่างสับสน “พี่หนาน พี่รู้ได้อย่างไรว่ารูปร่างเขาเป็นยังไง…”
“อ่า” ลู่หนานหยุนชะงัก แล้วหันหน้าหนี “ไม่มีอะไร ไปเถอะ”
หลังจากที่ว่านหลงออกไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าลู่หนานหยุนเริ่มสติไม่อยู่กับตัว ในความประทับใจของเขานั้น จีเจ๋อหยูไม่ใช่คนที่ชอบออกกำลังกายไม่ใช่เหรอ?...
หรือเขาเห็นพวกคำด่าในอินเตอร์เน็ตเลยเป็นแบบนี้?
เมื่อคิดอย่างนั้น ลู่หนานหยุนก็ไม่ได้สังเกตเลยว่าเขานั้นมีร่องรอยของความกังวลอยู่ในใจ
หลังจากซ้อมเต้นเสร็จ ลู่หนานหยุนก็กลับไปที่หอพักและอาบน้ำ
จู่ๆ ทีมงานของรายการก็มาเคาะประตูห้องเขาและพูดกับเขาว่า " คุณลูหนานหยุน ถึงตาคุณที่จะต้องบันทึกวิดีโอ Sparking vlogสำหรับสัปดาห์หน้าแล้ว นี่คือกล้องครับ..."
"Sparkling vlog" เป็นรายการย่อยที่จัดทำทางรายการหลักเพื่อเพิ่มกระแสเด็กฝึก
ลู่หนานหยุนพยักหน้าและหยิบกล้องมาถือขณะเช็ดผม เขาวางกล้องไว้บนโต๊ะและวางแผนจะบันทึกอีกครั้งในวันพรุ่งนี้
หลังจากนั้นไม่นาน สายตาของลู่หนานหยุนก็จ้องไปที่กล้องอย่างครุ่นคิด
ว่านหลงกำลังฝึกออกกำลังกายกับจีเจ๋อหยูในโรงยิม พวกเขาสองคนดูเลิกลั่กเล็กน้อยสำหรับที่นี่ เพราะเด็กฝึกคนอื่นๆดูแข็งแกร่งกว่าพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด
ในตอนนั้นเอง จู่ๆก็มีบุคคลที่คุ้นเคยเดินเข้ามาทางประตู
ลู่หนานหยุนหยิบกล้องออกมา และเล็งไปที่ว่านหลงและจีจ๋อหยู
เขาแสร้งทำเป็นไม่เห็นจีเจ๋อหยู เดินตรงไปที่ว่านหลง และพูดกับเขาว่า " ฉันกำลังมองหาเพื่อนถ่ายvlog เลยจะถ่ายเพื่อนร่วมบริษัทสักหน่อย "
ท่าทางของจีเจ๋อหยูนั้นแข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด
ว่านหลงเองก็ตกตะลึง เขากำลังจะพูดว่า " โอเค"ออกไป แต่เขาก็คิดขึ้นมาได้ว่าเขามากับคนที่อยู่ข้างๆ
เพื่อหลีกเลี่ยงความเก้อเขิน ว่านหลงจึงพูดกับจีเจ๋อหยูว่า " เจ๋อหยู ดูนั่นสิ" เขาชี้มือไปทางกู้เว่ยเฉิงที่กำลังฝึกดันพิ้นอยู่มุมห้อง " กู้เว่ยเฉิงเขามีกล้ามท้องแปดก้อนเลยนะ นานไปขอให้เขาสอนนานสิ "
จีเจ๋อหยูรีบพูดตอบทันที " ดีจริงๆ เยี่ยมมาก ฉันกำลังมองหาคนสอนฉันอยู่เลย" จากนั้นเขาก็โยนดัมเบลล์ลงบนพื้นแล้วจากไปราวกับว่าลี้ภัย
ลู่หนานหยุนนิ่งงัน
เดิมทีเขาต้องการเห็นท่าทางของจีเจ๋อหยูในตอนนี้ และใช้โอกาสนี้อธิบายให้ชัดเจน โดยบอกว่าเขาไม่ได้เกลียดอีกฝ่ายมากขนาดนั้น แต่ไม่คิดว่าว่านหลงจะไล่เขาออกไป
“พี่หนาน” ว่านหลงเดินเข้ามาใกล้ลู่หนานหยุนและกระซิบ “ฉันรู้นะว่าพี่ม่ชอบเสี่ยวจี ฉันเลยบอกให้เขาออกไป ฉันนี่รู้ใจพี่ไปเลยใชไหมล่ะ?”
ลู่หนานหยุนตกอยู่ในความเงียบเป็นเวลานาน