บทที่ 39: เส้นทางแห่งศิลปะการต่อสู้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเดิน
บทที่ 39: เส้นทางแห่งศิลปะการต่อสู้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเดิน
หลินซัวหานรู้สึกว่าหวังเต็งกำลังดูถูกเธอเมื่อเธอได้ยินเสียงของเขา เธอจ้องไปที่เขาขณะที่เธอพูดว่า “ฉันสอบไม่ได้รึไง?”
“ไม่ๆ ฉันแค่คิดว่าเธอจะไปทางสายวิขาการมากกว่า” หวังเต็งตอบอย่างไร้เดียงสา
“ท้ายที่สุด นี่คือยุคแห่งศิลปะการต่อสู้ เราสามารถคาดการณ์ได้ว่าการใช้ศิลปะการต่อสู้จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และอิทธิพลของมันก็จะซึมเข้าสู่ทุกด้านของสังคม และการเปลี่ยนแปลงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีนี้ก็เป็นสัญญาณของสิ่งที่ฉันพูดไป ดังนั้นแม้ว่าฉันจะไปยังเส้นทางของนักวิชาการ แต่ฉันก็ไม่อยากจะละทิ้งศิลปะการต่อสู้ของฉัน” หลินซัวหานวิเคราะห์อย่างเป็นกลาง
“มีเหตุผล” หวังเต็งพยักหน้า
“นายก็จะเข้าร่วมการสอบหลักสูตรศิลปะการต่อสู้ใช่ไหม?”
หลินซัวหานมองหวังเต็งอย่างมีนัยยะ จากการแสดงครั้งล่าสุดของเขา เธอก็มั่นใจประมาณ 90% ว่าเขาจะต้องไปสอบหลักสูตรศิลปะการต่อสู้แน่นอนแม้ว่าเธอจะไม่สามารถยืนยันได้ก็ตาม
หวังเต็งเพียงแค่ยิ้มตอบ
หลินซัวหานไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม เอก็ได้คำตอบอยู่ในใจแล้ว
ไม่น่าแปลกใจที่เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับการศึกษามากนัก
อย่างไรก็ตาม ข้อสอบศิลปะการต่อสู้นั้นก็มีส่วนที่เป็นการเขียนตอบเช่นกัน 'การสอบศิลปะการต่อสู้ห้าปี เอกสารจำลองสามปี' นั้นก็เป็นสิ่งที่ต้องอ่าน นี่เขามีความมั่นใจในเรื่องนี้แล้วอย่างงั้นหรอ?
เธอยังคงสงสัยอยู่บ้าง แต่เมื่อเธนึกถึง 'การสอบศิลปะการต่อสู้ห้าปี เอกสารจำลองสามปี' เธอก็ขมวดคิ้วอย่างควบคุมไม่ได้
“นายคิดว่ากระทรวงศึกษาธิการกำลังคิดอะไรอยู่? ทำไมพวกเขาถึงปล่อยข่าวนี้ในช่วงหัวโค้งสุดท้าย? ศิษย์นักสู้ขั้นกลางหลายคนยังไม่ได้อ่าน 'การทดสอบศิลปะการต่อสู้ห้าปี, เอกสารจำลองสามปี' ด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่มีความหวังที่จะสอบผ่าน”
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงกัน? วิธีที่ผู้มีอำนาจเหล่านี้คิดนั้นก็มักจะเป็นเรื่องแปลกอยู่เสมอ” หวังเต็งส่ายหัว
ในขณะนั้นเอง ชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาก็ได้หันหัวของเขากลับมาและเข้าร่วมการสนทนาของพวกเขา
“ฮิฮิ ฉันได้ยินมาว่ามันเกี่ยวข้องกับนโยบายของสหพันธ์โลก!”
“นโยบายของสหพันธ์โลก?”
หวังเต็งและหลินซัวหานได้แลกเปลี่ยนสายตากัน เรื่องนี้มันค่อนข้างจะไกลตัวจากพวกเขา
“หยางเจี้ยน นายรู้เรื่องนี้ได้ยังไงกัน?” หวังเต็งถามชายหนุ่ม
หยางเจี้ยนต้องการแสดงต่อหน้าต่อหน้าหลินซัวหาน ดังนั้นเขาจึงหันร่างของเขามาและอธิบายอย่างภาคภูมิใจว่า “ลุงของฉันทำงานที่กระทรวงศึกษาธิการ และเมื่อเดือนที่แล้ว ฉันก็ได้ยินข่าวนี้จากเขา นอกจากนี้ ฉันก็ยังได้อ่าน 'การสอบศิลปะการต่อสู้ห้าปี เอกสารจำลองสามปี' เมื่อเร็วๆนี้”
“เชี่ย นายใช้เส้นสายนี่นา!” หวังเต็งหัวเราะ
ในความเป็นจริง หวังเฉินกั๋วก็ได้รับข่าวนี้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม เขาก็คิดว่าหวังเต็งคงจะไม่สามารถสอบผ่านได้ในปีนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้บอกเรื่องนี้กับหวังเต็ง
หลินซัวหานรู้สึกพูดไม่ออกและทำอะไรไม่ถูก
นี่คือความแตกต่างระหว่างนักเรียนทั่วไปกับคนอย่างหยางเจี้ยน หยางเจี้ยนได้รับข่าวเมื่อหนึ่งเดือนก่อน แต่เธอต้องรอประกาศจากโรงเรียน เธอได้รับข้อมูลที่สำคัญสายเกินไป
ไม่ว่าจะเป็นยุคไหน ข้อมูลก็มีค่าที่สุดเสมอ
หยางเจี้ยนไม่ได้ใส่ใจ เขายิ้มและพูดกับหวังเต็งว่า “นายน้อยหวัง คุณเองก็เป็นคนที่มีเส้นสายอยู่พอตัว อย่างงั้นแล้วคุณจะมาว่าฉันทำไมกัน ฮ่าๆ”
จากนั้นเขาก็มองไปที่การแสดงออกของหลินซัวหานและคาดเดาความคิดของเธอ เขารีบปลอบเธอ
“หัวหน้าห้อง อย่ากังวลมากไป เนื่องจากทางการได้เปิดเผยข้อมูลในเวลานี้ ดังนั้นพวกเขาจึงจะต้องคิดอะไรบ้างอย่างเอาไว้แล้ว”
“ฉันได้ยินมาว่ามาตรฐานของข้อสอบนั้นจะลดลงในปีนี้ และมันก็อาจจะต่ำที่สุดในบรรดาปีที่ผ่านมาทั้งหมด”
เมื่อได้ยินแบบนั้น หวังเต็งก็ส่งยิ้มไปให้หลินซัวหานในทันที “เธอได้ยินไหม นั่นหมายความว่าเธอยังมีความหวังอยู่ ดังนั้นก็เลิกทำหน้าแบบนั้นได้เล้ว”
“ ด้วยสมองของนักเรียนชั้นยอดของเธอ 'การสอบศิลปะการต่อสู้ห้าปี เอกสารจำลองสามปี' นั้นก็คงจะเป็นเพียงแค่เค้กชิ้นหนึ่งสำหรับเธอเท่านั้น”
หลินซัวหานกลอกตาไปที่หวังเต็ง จากนั้นเธอก็ตอบหยางเจี้ยนไปว่า “ขอบคุณที่บอกฉันเรื่องนี้”
“ด้วยความยินดี แม้ว่าฉันจะไม่ได้บอกเธอ แต่เดี๋ยวเธอก็คงจะได้ยินข่าวนี้เองในไม่ช้า เพราะยังไงซะพวกเขาก็ไม่สามารถซ่อนข้อมูลที่สำคัญเหล่านี้จากสาธารณะชนได้หรอก” หยางเจี้ยนโบกมือของเขา
“เอาล่ะนักเรียน หมดเวลาคุยแล้ว ถึงเวลาเรียนแล้ว” ฟ่านเว่ยหมิงเคาะกระดานดำ
จากนั้นนักเรียนก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรงทันที
…
ตลอดช่วงบ่าย ทุกคนต่างจดจ่ออยู่กับข่าวที่ครูของพวกเขามอบให้ เมื่อชั้นเรียนจบลง พวกเขาก็เริ่มการสนทนาครั้งใหญ่
นักเรียนบางคนไปดูชั้นเรียนที่อยู่ใกล้เคียง พวกเขาก็กำลังพูดถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
หลังคาบเรียนจบลง นักเรียนบางคนก็ใช้โอกาสนี้โทรหาครอบครัวและขอให้ผู้ปกครองของพวกเขาสืบข่าววงในมาให้ ขณะที่บางส่วนก็ทรถามผู้ปกครองเพื่อขอความคิดเห็น
การสอบศิลปะการต่อสู้นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง!
ผู้ปกครองหลายคนเลิกทำงานเมื่อได้รับโทรศัพท์จากลูกๆของพวกเขา จากนั้นพวกเขาก็เริ่มออกตามล่าหาข่าว
พวกเขาไพบญาติและใช้เส้นสายทั้งหมดที่พวกเขามี
เมื่อครอบครัวมีลูกสอบเข้ามหาวิทยาลัย พวกเขาก็จะเป็นจุดรวมของตระกูลเสมอ...
สามคาบเรียนช่วงบ่ายสิ้นสุดลงในไม่ช้า จากนั้นมันก็ถึงเวลากลับบ้านแล้ว
หวังเต็งมองไปที่หลินซัวหานซึ่งกำลังจัดกระเป๋าของเธออยู่ข้างๆเขา “หัวหน้าห้อง ให้ฉันไปส่งเธอที่บ้านไหม”
“ไม่จำเป็น!” หลินซัวหานตอบอย่างรวดเร็ว
เธอกลัวว่าถ้าเธอตอบช้าไปหน่อย เธอก็อาจจะถูกดึงเข้าไปในรถของเขาอย่างครั้งที่แล้ว เธอเอาแต่คิดว่าเพื่อนคนนี้มีแรงจูงใจบางอย่างต่อเธอ และเขาก็ไม่ได้ยับยั้งชั่งใจของตัวเองเหมือนอย่างในอดีตอีกแล้ว
“เธอเลือกเองนะ”
หวังเต็งไม่คิดอะไรมาก เขาลุกขึ้นและเตรียมจะจากไป อย่างไรก็ตาม เขาก็คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ในเมื่อเธอต้องการที่จะสอบหลักสูตรศิลปะการต่อสู้ งั้นเธอ็ไม่ควรทำงานพาร์ทไทม์ในช่วงสองสัปดาห์นี้ ตารางเวลาของเธอนั้นแน่นไปหน่อย เธอควรใช้มันอย่างชาญฉลาดและเอาเวลาไปอ่าน 'การสอบศิลปะการต่อสู้ห้าปี เอกสารจำลองสามปี' หากเธอประสบปัญหาใดๆก็บอกฮฉันมาได้เลย ในฐานะเพื่อนร่วมโต๊ะของเธอ”
หวังเต็งไม่ได้ให้โอกาสเธอในการโต้ตอบขณะที่เขาออกจากห้องเรียนโดยตรง
ทันใดนั้น หลินซัวหานก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจของเธอ จากนั้นเธอก็ส่ายหัวและบ่นกับตัวเอง
“นายคิดจะจีบฉันอย่างงั้นหรอ!”
…
หวังเต็ง,ซูเจี๋ยและไป่เว่ยพบกันที่หน้าประตูโรงเรียน พวกเขาทั้งหมดรู้แล้วเกี่ยวกับโควตาการลงทะเบียน แม้แต่ไป่เว่ยและหยูห่าวซึ่งอยู่ปีสองเองก็ยังรู้เรื่องนี้
ไป่เว่ยและหยูห่าวรู้สึกตื่นเต้น
ที่สุดแล้วพวกเขาก็ยังมีเวลาอีกหนึ่งปี การเป็นศิษย์นักสู้ขั้นกลางนั้นง่ายกว่าการเป็นศิษย์นักสู้ขั้นสูง ดังนั้นโอกาสของพวกเขาจึงมีสูง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับไป่เว่ย แม้ว่าเธอจะไม่เคยฝึกศิลปะการต่อสู้มาก่อน แต่มันก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเธอที่จะเป็นศิษย์นักสู้ขั้นกลางในหนึ่งปี เพราะหากเธอต้อการ ครอบครัวไป่ก็จสามารถจัดหาทรัพยากรเพิ่มเติมให้เธอได้
ในขณะเดียวกัน ซูเจี๋ยก็รู้สึกหดหู่เล็กน้อย โควต้าการสอบเข้าหลักสูตรศิลปะการต่อสู้ที่เพิ่มขึ้นนั้นหมายถึงการแข่งขันที่สูงขึ้น ซึ่งนั่นก็ทำให้โอกาสของเขาลดลงไปอีกจนแทบจะไม่มีโอกาส
การเป็นศิษย์นักสู้ขั้นสูงนั้นอาจเป็นเรื่องยากเล็กน้อย แต่ถ้าซูเจี๋ยฝึกฝนอย่างขยันขันแข็ง เขาก้จะยังคงมีความหวังที่จะเป็นศิษย์นักสู้ขั้นกลาง
อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่โลกนี้ไม่มียารักษาความเสียใจ!
โอกาสนั้นมีไว้สำหรับคนที่เตรียมใจเท่านั้น
หวังเต็งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ซูเจี๋ยบางทีนายก็น่าจะมาสอบปีหน้านะ ลองกลับบ้านไปคุยกับพ่อแม่ซะสิ”
“ใช่แล้ว เราก็กำลังเกลี้ยกล่อมให้เขามาสอบปีหน้าเหมือนกัน” หยูห่าวเห็นด้วยกับหวังเต็ง
“พี่หวังเต็ง พี่ก็คิดว่าฉันควรจะทำอย่างนั้นอย่างงั้นหรอ?” ซูเจี๋ยเงยหน้าขึ้น
“มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันคิด แต่เวลาคือสิ่งที่นายต้องการ” หวังเต็งตอบ
“ฉัน… ฉันจะกลับบ้านไปถามพ่อแม่ก่อน” ซูเจี๋ยลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูด
หวังเต็งไม่ได้ตอบเขากลับ ท้ายที่สุดแล้ว การตัดสินใจขั้นสุดท้ายนั้นก็ขึ้นอยู่กับซูเจี๋ย
หลังจากทุกสิ่งที่เขาประสบมาเมื่อเร็วๆนี้ หวังเต็งก็รู้ดีว่าเส้นทางศิลปะการต่อสู้นั้นไม่ง่าย…
เขาควรฝึกศิลปะการต่อสู้หรือไม่?
ถูกหรือผิดที่คิดจะฝึกศิลปะการต่อสู้?
เขาจะเสียใจในอนาคตหรือไม่?
มันไม่มีใครสามารถให้คำตอบซูเจี๋ยได้ เขาต้องเดินไปตามทางของตัวเอง แล้วสิ่งนั้นก็จะเป็นเครื่องย้ำเตือนว่าสิ่งที่เขาเลือกนั้นเป็นอย่างไร