ตอนที่ 457 ข้าไม่เชื่อตาแก่ผู้ชั่วร้ายอย่างเจ้าหรอก!
ตอนที่ 457 ข้าไม่เชื่อตาแก่ผู้ชั่วร้ายอย่างเจ้าหรอก!
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารอ่านนิยายก่อนใครได้ที่ FB: ND Translate นิยายแปลไทย
ลู่โจวได้เดินตรงมาพร้อมกับเอามือไขว้หลัง ตัวเขาเดินลงจากบันไดมาก่อนที่จะเดินผ่านรอยแตกร้าวบนพื้นดิน
ทุกๆ คนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็หลีกทางให้กับเขาตามสัญชาตญาณ
ซูยู่ชูคลายพลังของนาง แสงที่ไม้เท้าเริ่มจางหายไป พลังผนึกอักษรทั้งหมดจางหายไปในทันที ซูยู่ชูได้พูดออกมาอย่างนอบน้อม “ในที่สุดพวกเราก็ได้พบกัน”
สีหน้าของลู่โจวยังคงไร้อารมณ์เหมือนเช่นเดิม เมื่อได้เห็นร่างกายที่คดงอของซูยู่ชูลู่โจวก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา แม้ว่าจะมีบางอย่างยังคงเหมือนเดิม แต่ผู้คนกลับเปลี่ยนไป จีเทียนเด๋าไม่ได้พบกับนางมานาน ช่วงเวลาหลายปีได้ผ่านพ้นไปในชั่วพริบตา ยอดฝีมือแห่งลัทธิขงจื๊อที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นจิ้งจอกผู้แสนเย็นชา เป็นสุดยอดฝีมือแห่งยุทธภพบัดนี้ได้กลายเป็นหญิงชราผมหงอกซะแล้ว “ดูเหมือนว่าอารมณ์ของเจ้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้ว่าจะผ่านไปนานสักแค่ไหน”
“ขอโทษด้วยที่ทำให้ท่านผิดหวัง”
ลู่โจวกวาดตามองไปยังเหล่าสาวกก่อนที่จะพูดต่อ “ทักทายผู้อาวุโสซูซะ”
ทุกๆ คนต่างก็โค้งคำนับให้กับซูยู่ชู
ซูยู่ชูโบกมือก่อนที่จะพูดออกมา “ไม่จำเป็น” นางมองดูลู่โจวก่อนที่จะพูดต่อ “แม้ว่าข้าจะมาจากลัทธิขงจื๊อแต่ข้าไม่ได้สนใจเรื่องพิธีรีตองอะไรเหมือนกับพวกเขาหรอก”
ลู่โจวพยักหน้า “คนเรามักจะทำอะไรด้วยเหตุผล อะไรกันที่นำพาเจ้ามาถึงที่นี่?”
“ข้ามาที่นี่ก็เพื่อขอคำอธิบายเกี่ยวกับเฟิงชิง”
“คำอธิบาย?”
“เฟิงชิงเป็นเจ้าสำนักเจินชาง ตลอดเวลาหลายปีที่ข้าอยู่ที่หุบเขาอันเงียบสงบ สำนักเจินชางได้ดูแลข้าเป็นอย่างดี บัดนี้เฟิงชิงมีอันเป็นไป ข้าที่ติดหนี้บุญคุณเขาไม่อาจที่จะทำอะไรตอบแทนได้เลย”
ลู่โจวไม่ได้ตอบกลับในทันที ตัวเขาเลือกที่จะเดินขึ้นที่สูงแทน
ซูยู่ชูเข้าใจความหมายของลู่โจว นางเดินตามลู่โจวไปก่อนที่จะมองมายังเชิงเขา
ลู่โจวได้ชี้ไปยังเชิงเขาก่อนที่จะพูดออกมา “นั่นไงล่ะ ซากศพของสาวกเจ็ดสำนักใหญ่ เจ้าพวกนั้นล้วนแต่นอนอยู่ตรงนั้น...”
“...” ซูยู่ชูตกใจ ก่อนหน้านี้นางก็เคยเดินทางผ่านมา แม้ว่าจะเห็นร่องรอยที่เกิดการต่อสู้อยู่บ้างแต่นางก็ไม่คิดว่าจะมีคนตายมากมายขนาดนี้
“เฟิงชิงก็คือหนึ่งในพวกนั้นไงล่ะ” ลู่โจวพูดออกมาอย่างเย็นชา
ซูยู่ชูได้ถามในทันที “เป็นความจริงอย่างงั้นเหรอที่เจ็ดสำนักใหญ่บุกโจมตีภูเขาทองน่ะ?”
ลู่โจวถอนหายใจก่อนที่จะตอบกลับ “เจ้าน่ะอยู่ในหุบเขานั่นจนไม่รู้เรื่องของโลกภายนอกมานานแล้ว การที่เจ้าเดินทางมาที่นี่โดยที่ไม่ได้พบปะพูดคุยกับใครเลยเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ”
“เอ่อ...” เป็นเรื่องจริงที่ชูยู่ซูไม่ได้พูดคุยกับใครเลย เป็นธรรมดาที่ยอดฝีมือและคนเก็บตัวอย่างซูยู่ชูจะชื่นชมการเดินทางคนเดียว เป็นเพราะนางมีพลังวรยุทธที่กล้าแกร่งอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นเลยที่จะต้องพึ่งพาใคร
ลู่โจวทำให้ซูยู่ชูพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เรื่องที่ลู่โจวพูดเหมือนกับที่หมิงซี่หยินเคยเล่าเอาไว้ ในตอนนี้คนที่ต้องการคำอธิบายกลับกลายเป็นฝ่ายศาลาปีศาจลอยฟ้ามากกว่า
สาวกของลู่โจวต่างก็พยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกเขาทุกคนต่างก็ประทับใจในคำพูดของลู่โจว แม้ว่าคำพูดเดียวกันแต่ต่างที่มา ความน่าเชื่อถือก็ต่างกันแล้ว
หมิงซี่หยินได้ถามออกมาอย่างลับๆ “พวกเจ้าสังเกตเห็นไหม ผู้อาวุโสนั่นเหมือนอยู่ต่อหน้าอาจารย์กลับดูนอบน้อมน่ะ?”
“อืม ข้าก็คิดแบบนั้น” หยวนเอ๋อตอบกลับ
“นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่าอาจารย์ของพวกเรายอดเยี่ยมแค่ไหนไงล่ะ” ซู่ฮ่องกงตอบกลับ
“...”
‘ดูเหมือนว่าศิษย์น้องแปดจะมีแต่ความสามารถในการเยินยอแบบนี้’
ซูยู่ชูไม่ได้สนใจการสนทนาของเหล่าสาวก นางกลับถามออกมาด้วยความสับสนแทน “ข้าจำได้ว่าขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่ของท่านอยู่ใกล้แค่เอื้อม ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นท่านยังคงมีพลังและดูสง่างามเหมือนกับเมื่อก่อน ท่านเอาชนะศัตรูทั้งหมดได้ยังไงกัน?”
ภายใต้สถานการณ์ปกติ คงจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาชนะคนจากเจ็ดสำนักใหญ่ได้ เห็นได้ชัดว่าซูยู่ชูยังคงสงสัยในเรื่องที่เคยได้ยินมา
ลู่โจวไม่ต้องการที่จะปิดบังความจริง ตัวเขาตอบกลับออกมาอย่างเยือกเย็น “ถ้าจะพูดความจริงกับเจ้าก็แล้วกัน ข้าในตอนนี้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบอยู่”
ดวงตาอันแก่ชราของซูยู่ชูเบิกกว้าง ริ้วรอยบนใบหน้าของนางกระตุกตามดวงตาเช่นกัน สีหน้าของนางเปลี่ยนไปอย่างมากก่อนที่จะคลี่คลายลง แม้ว่าจะได้ยินจากปากของลู่โจวเองแต่ซูยู่ชูก็ยังไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี ‘ข้าไม่มีวันเชื่อตาแก่ผู้ชั่วร้ายอย่างเจ้าหรอก!’ ซูยู่ชูได้พูดต่อ “พี่จี ท่านคิดว่าข้าจะถูกหลอกง่ายๆ หรอไงกัน?”
ลู่โจวไม่ได้สนใจเลยว่าซูยู่ชูจะเชื่อสิ่งที่ตัวเขาพูดไหม ตัวเขาเหลือบมองไปที่นางก่อนจะตอบกลับไป “ถ้าหากข้าไม่ได้เห็นแก่เรื่องสมัยก่อน ความเสียหายที่เจ้าบังอาจทำลายพื้นบนศาลาปีศาจลอยฟ้าเพียงอย่างเดียวมันก็มากพอแล้วที่จะให้ข้าปลิดชีพเจ้า”
“...”
แม้ว่าน้ำเสียงของลู่โจวจะฟังดูไร้อารมณ์ แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังสั่นสะท้านหูของทุกคนได้ เสียงของลู่โจวทำให้ทุกคนที่ได้ยินถึงกับหนาวสั่น
ร่างกายอันแห้งเหี่ยวของซูยู่ชูสั่นเครือ แม้ว่านางจะเป็นยอดฝีมือผู้หยิ่งผยองแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าจีเทียนเด๋าแล้วท้ายที่สุดนางก็ต้องเก็บซ่อนความหยิ่งผยองนั้นเอาไว้ ซูยู่ชูโค้งคำนับก่อนที่จะถามต่อ “งั้นแสดงว่าเฟิงชิงต้องตายอย่างไร้ค่าอย่างงั้นสินะ?”
ในตอนนั้นเองมีใครบางคนปรากฏตัวขึ้นมา ชายคนนั้นได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “เจ้านั่นสมควรตาย”
ทุกๆ คนต่างก็จับจ้องไปที่ชายคนนั้น
เล้งลั่วผู้ที่สวมหน้ากากสีเงินเป็นผู้ที่เดินทางมาถึงนั่นเอง ตัวเขามองไปที่ซูยู่ชูที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเขาเท่าไหร่
“เป็นเจ้าเองอย่างงั้นเหรอ?” ซูยู่ชูอุทานออกมาด้วยความตกใจ
เล้งลั่วไม่ได้สนใจเรื่องของการทักทาย ตัวเขาได้พูดต่อ “ซูยู่ชู ความสำเร็จของเจ้าเพียงอย่างเดียวก็คือการที่เจ้าสร้างชื่อเสียงได้ตั้งแต่อายุยังน้อย เจ้าในตอนนี้ไม่เหมาะที่จะทำให้ศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่พอใจหรอก”
สิ่งที่เล้งลั่วพูดเป็นความจริง ท้ายที่สุดแล้วชื่อเสียงของซูยู่ชูก็เป็นเพียงชื่อเสียงตั้งแต่อดีต ในแง่ของอายุซูยู่ชูมีอายุที่น้อยกว่าเล้งลั่วซะด้วยซ้ำ แน่นอนว่าไม่ต้องเทียบเคียงกับอายุของจีเทียนเด๋าเลย ดังนั้นเล้งลั่วจึงมีสิทธิ์ที่จะวิจารณ์นางอย่างเต็มที่
ซูยู่ชูตอบกลับ “ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก เล้งลั่ว”
“แล้วถ้าเป็นข้าล่ะ...”
มีชายอีก 2 คนปรากฏตัวตามมา
ฮั๊ววู่เด๋าเป็นผู้ที่เข็นรถเข็นไม้อย่างช้าๆ
ซูยู่ชูหันไปชายผู้อยู่บนรถเข็น เมื่อที่เหี่ยวย่นของนางถึงกับต้องสั่นเครืออีกครั้ง “ฝานลี่เทียนอย่างงั้นเหรอ?”
ฝานลี่เทียนที่มากับฮั๊ววู่เด๋าหัวเราะออกมาก่อนจะตอบกลับ “ข้าไม่คิดเลยว่าจะมีใครจำข้าได้”
“ท่านเป็นยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่จากสำนักแห่งความบริสุทธิ์ ไหนเลยข้าจะจำท่านไม่ได้”
“ในเมื่อเจ้ารู้แบบนั้นแล้ว...อะไรที่ทำให้เจ้ามั่นใจถึงกล้าทำลายล้างที่แห่งนี้กัน?” แม้ว่าฝานลี่เทียนจะนั่งอยู่บนรถเข็น แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็สังเกตเห็นทุกอย่างดี พื้นรอบข้างต่างก็ถูกทำลายไป ‘นางกล้าดียังไงที่กล้ามาสร้างปัญหาที่นี่ หรือว่าซูยู่ชูจะเบื่อชีวิตแล้วกัน?’
ฮั๊ววู่เด๋าโค้งคำนับเมื่อพาฝานลี่เทียนมาถึง “ท่านปรมาจารย์”
แม้ว่าซูยู่ชูจะไม่รู้จักฮั๊ววู่เด๋า แต่เพียงแค่ชำเลืองมองนางก็รู้แล้วว่าฮั๊ววู่เด๋าไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธธรรมดาทั่วไป นางไม่คิดเลยว่าที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าจะมียอดฝีมือมากมายเช่นนี้
ซู่ฮ่องกงที่เห็นฮั๊ววู่เด๋าเดินทางมาถึงได้พูดทักทายไป “ท่านยังดูน่าเกรงขามเหมือนเดิมเลยนะ ผู้อาวุโส...”
“...”
หมิงซี่หยินพูดไม่ออก ‘เจ้าปัญญาอ่อนนี่เป็นยอดฝีมือในการเยินยอจริงๆ ข้าควรที่จะรักษาระยะห่างกับเจ้านี่เอาไว้ สิ่งที่ซู่ฮ่องกงเป็นเหมือนกับโรคร้าย มันคงจะติดต่อข้าแน่ถ้าหากยังฝืนอยู่ใกล้’
ซู่ฮ่องกงเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเขาพูดอะไรผิดไป การที่ชมเชยผู้อาวุโสตรงหน้ามันก็เป็นเหมือนกับการดูถูกผู้เป็นอาจารย์ของตัวเขาไม่ใช่เหรอไงกัน? ซู่ฮ่องกงที่รู้ตัวรีบตบปากของตัวเอง “ข้าผิดไปแล้ว!”
ซูยู่ชูขมวดคิ้วเล็กน้อย นางยิ่งคิดว่าสาวกทั้ง 3 คนนี้กลายมาเป็นศิษย์ของจีเทียนเด๋าได้อย่างไร ‘เจ้าพวกนี้ไม่มีคุณสมบัติอะไรเลย’
สาวกหญิงคนหนึ่งได้เดินเข้ามาหาทุกคนจากในระยะไกล เมื่อเดินมาถึงนางก็ได้โค้งคำนับให้กับลู่โจว “ท่านปรมาจารย์ รถม้าพร้อมแล้วค่ะ”
“ท่านอาจารย์จะไปไหนเหรอครับ?” หมิงซี่หยินถามออกมาด้วยความสงสัย
“ซูยู่ชู”
“มีอะไรเหรอพี่จี?” ซูยู่ชูถามออกมาด้วยความสับสน
“ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว...ทำไมพวกเราไม่ไปด้วยกันซะเลยล่ะ?” ลู่โจวหันกลับมาก่อนที่จะเดินจากไป
ซูยู่ชูพบว่าเรื่องนี้มันแปลก นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจีเทียนเด๋าจะไปไหน แล้วนางจะไปติดตามจีเทียนเด๋าเดินทางไปได้ไง?
หมิงซี่หยินพูดต่อ “ศิษย์น้องแปด พาศิษย์น้องเจ็ดกลับไปที่ถ้ำแห่งเงาซะท้อนซะ”
“หะ?”
“เจ้าหมายความว่าอะไรกัน? เจ้าหมดธุระที่นี่แล้วศิษย์น้องแปด”
‘เจ้าปัญญาอ่อนนี่พยายามจะติดตามไปด้วยเหรอ?’
สีวู่หยาไม่ได้สนใจเรื่องนี้ตั้งแต่แรก ตัวเขาหันกลับมาก่อนที่จะเดินกลับไปยังถ้ำแห่งเงาสะท้อน
ฮั๊ววู่เด๋าผลักรถเข็นในมือให้กับฝานซงก่อนที่จะขึ้นรถม้าไปพร้อมกับเล้งลั่ว ฝานลี่เทียนจำเป็นที่จะต้องพักฟื้น เพราะแบบนั้นฝานลี่เทียนจึงไม่ได้ติดตามมาด้วย
...
เมื่อทุกคนขึ้นไปบนรถม้าพร้อมแล้วหมิงซี่หยินก็ได้พูดอาสาออกมา “ข้าขออาสาเป็นคนควบคุมรถม้าเอง”
“แล้วพวกเราจะไปที่ไหนกันหรอคะ?” หยวนเอ๋อถามต่อ
“สำนักลั่ว”
ซูยู่ชูงุนงง นางเป็นคนที่พูดต่อ “สำนักลั่วเป็นหนึ่งในสำนักที่ถูกก่อตั้งโดยหยุนเทียนลั่ว ท่านมีธุระอะไรที่นั่นกันพี่จี?”
“คนที่ข้ารู้จักกำลังจะจากไป ข้าอยากที่จะไปบอกลาเขาเป็นครั้งสุดท้าย” ลู่โจวพูดออกมาในขณะที่ลูบเคราของตัวเอง
ซูยู่ชูตกตะลึงในสิ่งที่ได้ยิน
ฮั๊ววู่เด๋าถอนหายใจอย่างแรง
ในตอนแรกหมิงซี่หยินคิดว่าอาจารย์ของตนคิดที่ก่อปัญหาให้กับสำนักลั่ว ท้ายที่สุดแล้วผู้อาวุโสทั้ง 10 ของสำนักหยุนก็ยังคงเป็นหนึ่งในกองกำลังหลักที่จู่โจมศาลาปีศาจลอยฟ้า ตัวเขาไม่ได้คาดหวังเลยว่าอาจารย์ของตนคิดที่จะไปเยี่ยมเยียนหยุนเทียนลั่วเท่านั้น
ทุกคนที่ได้รู้แบบนั้นรู้ได้ทันทีว่าความสัมพันธ์ระหว่างหยุนเทียนลั่วที่มีต่อศาลาปีศาจลอยฟ้ามันมากแค่ไหน หยุนเทียนลั่วเต็มใจที่จะมอบความทรงจำอันล้ำค่าให้กับศาลาปีศาจลอยฟ้า หยุนเทียนลั่วไม่มีทางที่จะสั่งให้ผู้อาวุโสทั้ง 10 ของสำนักหยุนจู่โจมศาลาปีศาจลอยฟ้าแน่
ซูยู่ชูยังคงพูดต่อ “เจ้าหนุ่มหมิงซี่หยินนั่นบอกข้าว่า ผู้อาวุโสทั้ง 10 ของสำนักหยุนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีศาลาปีศาจลอยฟ้าด้วย การที่ท่านเดินทางไปที่นั่นไม่ได้เป็นการเดินเข้าไปในกับดักของศัตรูหรอกเหรอ?”
“เดินเข้าไปในกับดักอย่างงั้นเหรอ?”
“สามสำนักหยุน เทียน ลั่วมีดินแดนศักดิ์สิทธิ์และยอดเขาอีกกว่า 20 แห่ง ทั้งหมดนั้นได้รับการป้องกันจากยอดฝีมือมากมายหลายคนและเขตแดนพลังอันทรงพลัง ศาลาปีศาจลอยฟ้าเป็นสำนักฝ่ายอธรรม ท่านไม่กังวลเลยหรอว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเราหากเดินทางไปที่นั่น?”
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารอ่านนิยายก่อนใครได้ที่ FB: ND Translate นิยายแปลไทย