บทที่ 6 หวางค่างทิง
พ่อของหวางค่างทิงติดหนึ่งในสิบคนที่รวยที่สุดในเมือง S ด้วยความที่เธอถูกครอบครัวเลี้ยงมาอย่างตามใจ จึงทำให้เธอมีนิสัยที่ค่อนข้างจะเผด็จการ
ในคืนวันโลกาวินาศ เธอกับเพื่อนอยู่ในบาร์กันตั้งแต่ดึกจนอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเช้าแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง ดังนั้นเธอจึงมาค้างที่อพาร์ตเมนท์ที่ตัวเธอเองเคยอยู่สมัยมัธยมปลายและเผอิญผลอยหลับไปในรถ คิดไม่ถึงว่าเมื่อตื่นขึ้นมา โลกทั้งใบก็เปลี่ยนไปแล้ว สัตว์ประหลาดน่าเกลียดน่ากลัวพวกนั้นกำลังกัดกินผู้คน และเธอเองก็เกือบจะโดนสัตว์ประหลาดพวกนั้นกัดเข้าให้
โชคดีที่เด็กผู้ชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ในตอนที่เธอเห็นเด็กผู้ชายคนนั้นกำลังจะจากไป เธอก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนเรียก
ใช่แล้ว เด็กวัยรุ่นคนนั้นคือฉินอี ฉินอีไม่ชอบความรุงรังของผมยาว ๆ มันไม่สะดวกนักเวลาที่เธอต้องฆ่าซอมบี้ ดังนั้นเธอจึงตัดมันทิ้งไป และตัวเธอเองก็เคยขาดสารอาหารมาก่อน ทำให้มีพัฒนาการค่อนข้างช้า มองแวบแรกก็คงจะยากสักหน่อยที่จะอดคิดไม่ได้ว่าเธอเป็นเด็กผู้ชาย
ก่อนหน้านี้ตอนที่ฉินอีกำลังไล่ฆ่าซอมบี้ หวางค่างทิงหวาดกลัวเพราะไม่เห็นรูปร่างหน้าตาของฉินอีได้ชัดเจนเท่าไหร่ แต่ตอนที่ฉินอีหันกลับมา ในที่สุดเธอก็ได้เห็นใบหน้าของฉินอีอย่างเต็มตา
ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่งดงามอะไรขนาดนี้ ดวงตาของหวังค่างทิงเป็นประกายวาบวับด้วยความประหลาดใจ
แค่ได้เห็นวัยรุ่นในชุดดำกางเกงขายาว ผมสีดำละเอียดปลิวไสวไปตามหน้าผาก ผิวพรรณขาวราวหิมะ ใสเหมือนกับหยก ชายหนุ่มมีใบหน้าที่ช่างประณีตละเอียดอ่อนและงดงามยิ่ง แต่ดวงตาคู่เฉี่ยวที่แสนเย็นชานั้นเพิ่มความรู้สึกที่ดูกล้าหาญเข้าไปอีก ทำให้ไม่เห็นถึงลักษณะความเป็นผู้หญิงใด ๆ เลย ราวกับเป็นบุรุษหนุ่มที่โผล่ออกมาจากภาพวาดโบราณ
ดวงตาของหวางค่างทิงเต็มไปด้วยไฟปรารถนา เธอมีงานอดิเรกอยู่อย่างหนึ่งที่ไม่มีใครล่วงรู้ นั่นก็คือเธอชื่นชอบเด็กผู้ชายที่ตัวเล็ก ๆ แบบนี้ มีเด็กผู้ชายนับสิบนับร้อยคนที่หวางค่างทิงเคยเชยชม แต่ก็ไม่มีใครเคยทำให้ใจของเธอสั่นได้มากเท่าฉินอีมาก่อน กับคนคนนี้ เธอปักใจไปเรียบร้อยแล้ว
หวางค่างทิงถือว่าค่อนข้างสะสวย เธอเชิดคางของตนขึ้นและพูดกับฉินอีราวกับราชินี “ถ้านายติดตามฉันล่ะก็ ฉันจะช่วยให้นายมีชีวิตที่ดี เรื่องเงินน่ะไม่ใช่ปัญหาหรอก”
เธอคิดว่าถ้าพูดเช่นนี้แล้ว ฉินอีคงจะติดตามเธอมาอย่างเชื่อฟังเหมือนเด็กชายคนก่อนๆ ที่ยอมให้เธอกดทับทั้งร่างไว้เบื้องล่างและปู้ยี่ปู้ยำได้ตามต้องการ และเธอยังคงจ้องมองทั่วทั้งร่างของงฉินอีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยไฟราคะ
จิตสังหารภายในดวงตาของฉินอีก็พลันทะลักออกมา กลิ่นอายที่ทำให้หายใจติดขัดพวยพุ่งออกมาจากร่างของเธอ มันคือกลิ่นอายที่ก่อตัวมาจากการฆ่าฟันนับครั้งไม่ถ้วน เธอเกลียดชังผู้คนที่มองเธอด้วยสายตาเช่นนี้ และอยากจะควักดวงตาที่น่าเกลียดพวกนี้ออกมาจริงๆ
หวางค่างทิงรู้สึกตกใจกับจิตสังหารของฉินอี เธอไม่คิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะมีนิสัยที่โหดเหี้ยม เธอสะดุดหินก้อนใหญ่เข้าให้แล้ว
เมื่อเห็นฉินอีเริ่มเดินเข้ามาใกล้ทีละก้าว ๆ หวางค่างทิงก็รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างทันทีทันใด พลางมองไปรอบข้างเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ก็พบว่าคนที่อยู่ชั้นล่างของอพาร์ตเมนท์นั้นได้หายไปหมดแล้ว มองกลับมาที่ฉินอีที่ดูเหมือนกับเทพแห่งความตาย เธอก็กรีดร้องออกมา “แกฆ่าฉันไม่ได้นะ พ่อของฉันคือหวางเจียง แก แกได้เข้าคุกแน่”
ฉินอีแสยะยิ้มที่มุมปาก คิดจะส่งฉันเข้าคุกเหรอ สิ่งที่มีค่าน้อยที่สุดในยุคสมัยนี้ก็คือชีวิตของมนุษย์ไงล่ะ
เมื่อเธอกำลังจะลงมือ เธอก็ได้ยินเสียงรถมาแต่ไกล ทำให้คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย และตัดสินใจอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงร้องด้วยความแปลกใจของหวางค่างทิง
ฉินอีรู้สึกได้ถึงอันตราย สัญชาตญาณของเธอแม่นยำเสมอ เธออำพรางกลิ่นของตนแล้วรีบออกจากอพาร์ตเมนท์แห่งนั้นอย่างรวดเร็ว
ตอนที่หวางค่างทิงคิดว่าตนกำลังจะตายด้วยน้ำมือของฉินอีเสียแล้ว จู่ ๆ เธอก็ได้ยินเสียงรถ เมื่อมองตามเสียงไป ก็พบว่าเป็นรถของพ่อเธอจึงร้องตะโกนออกมาอย่างเก็บอาการไม่อยู่
เมื่อหวางเจียงเห็นว่าลูกสาวตนยังอยู่ดีไม่มีบุบสลาย เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาในวัยห้าสิบปี แต่มีลูกอยู่เพียงคนเดียว เขาจะปล่อยให้เธอเป็นอะไรไปได้อย่างไร
“ป๊ะป๋า” หวางค่างทิงกระโจนเข้าไปในอ้อมกอดของหวางเจียงอย่างมีความสุข แต่เมื่อนึกไปถึงฉินอีที่กำลังจะลงมือกับเธอ จึงชี้ไปที่ด้านหลังอย่างดุดันแล้วกล่าวว่า “เขากำลังจะฆ่าหนูเมื่อกี้”
เมื่อหวางเจียงได้ยินแบบนั้น ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความโกรธ และมองไปทางที่ลูกสาวของตนชี้ไป แต่ก็พบว่าไม่มีใคร หวางค่างทิงก็รู้ตัวแล้วเช่นกัน และรู้สึกประหลาดใจว่าเป็นไปได้อย่างไรกัน พ่อของเธอเพิ่งจะมาถึงได้ไม่ถึงหนึ่งนาที ทำไมฉินอีถึงหนีหายไปได้ท่ามกลางสายตาสองคู่ของทั้งของพ่อและของตัวเธอเองได้นะ
หวางค่างทิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง “ป๊ะป๋า ขอให้พวกอาโจวตามหาบริเวณรอบ ๆ นี้หน่อยเถอะนะ ไอ้เด็กนั่นมันคงยังไปได้ไม่ไกลหรอก”