[Rewrite,อ่านฟรี] Special District 9 ตอนที่ 98 แค่มีโชคหรือโชคร้ายกันแน่
ตอนที่ 98 แค่มีโชคหรือโชคร้ายกันแน่
เมื่อฉิงจื่อหาวเห็นหลินเซียวรีบก้าวเข้ามาหาเขา ปฏิกิริยาแรกของเขาคือการถอยหลังไปอย่างเร็วสองสามก้าว จ้องมองพร้อมตะโกน “ให้ตายห่าสิวะ พวกแกตาบอดกันหมดเรอะ? จัดการมัน!”
เสียงตะโกนของเขาทำให้สมุนติดตามตื่นตัว และสมุนหนุ่มทางใกล้เคาน์เตอร์ที่กำลังจะช่วยจับผู้เฒ่าหม่าก็หันหลังกลับรีบวิ่งเข้าใส่หลินเซียว
“อย่าเสือก แกเก่งมาจากไหน?!” สมุนหนุ่มที่แข็งแกร่งยกด้ามปืนขึ้นฟาดเข้าที่หัวของหลินเซียวอย่างแรง
หลินเซียวหันขวับหลบไปด้านข้างครึ่งก้าวอย่างรวดเร็ว เอี้ยวศีรษะเล็กน้อยก็หลบพ้น เขายกแขนขวาขึ้นคว้าข้อมือของอีกฝ่ายอย่างฉับพลัน จากนั้นก็ตีเข่าเข้าที่ท้องสมุนหนุ่มอย่างจังจนเขาหงายหลังไป
“โครม!”
ในความชุลมุนวุ่นวาย ผู้ติดตามของหลินเซียว รีบเข้ามาและเตะสมุนหนุ่มซ้ำเข้าที่ขมับ สมุนหนุ่มกระเด็นไปครึ่งเมตรล้มดังโครม นอนกลอกตางงงวยและความเจ็บปวดอยู่ตรงนั้น
“พวกแกกล้าดียังไงมาสู้กับพวกข้า!”
“เอามันให้ตาย!” ฉิงจื่อหาวเลือดขึ้นหน้า ตะโกนสั่งด้วยความเกรี้ยวโกรธ
หลังจากที่หลินเซียวและผู้ติดตามของเขาล้มหนึ่งในสมุนนั้นได้ อีกฝ่ายก็ระเบิดในทันที คนสี่ห้าคนรุมเข้ามาตะลุมบอนทั้งสองคนด้วยปืนและมีดสั้นกันอย่างพัลวัน
ที่ใกล้ประตูทางเข้า
หย่งตงมองดูผู้คนที่กำลังต่อสู้กันอย่างวุ่นวายอยู่ เขาจึงพยายามโน้มน้าวฉิงจื่อหาวทันที “ฉันว่าเอาพวกเขาออกไปซะ และอย่าไปสนใจคนที่ไม่เกี่ยวข้องจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นมันจะสร้างปัญหาให้เราเปล่าๆ นะ”
“ไอ้ระยำพวกนี้! ถ้าเกิดอะไรขึ้นในเฟิ่งเป่ย ฉันจัดการเองได้” ฉิงจื่อหาวล้วงมือในกระเป๋ากางเกงพลางตะโกนด้วยความโกรธ “ถ้ามันยังสู้กลับก็ยิงมันเลย ให้พวกมันรู้จักความตายซะบ้าง!”
เมื่อหย่งตงได้ยินอย่างนี้ เขาขมวดคิ้วหันมองจ้องไปด้านข้างของฉิงจื่อหาวทันทีด้วยความไม่พอใจลึกๆ
ถัดจากโต๊ะไพ่ แม้ว่าหลินเซียวและผู้ติดตามของเขาจะมีฝีมือการต่อสู้ไม่ด้อยกว่าใคร และสามารถยืนหยัดต่อสู้ได้ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่เพราะอีกฝ่ายมีคนจำนวนมากกว่าและมีอาวุธอยู่ในมือ ดังนั้นพวกเขาจึงสูญเสียการตั้งรับทันทีเมื่อถูกล้อมหนักมากขึ้น ทั้งกลุ่มการต่อสู้ลามไปบริเวณโต๊ะเล่นไพ่ ขาไพ่หลายคนยังยืนดูการต่อสู้ด้วยใจจดใจจ่อต่างวิ่งหนีกระจาย ทำเอาโต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาด
สมุนหนุ่มสี่ห้าคนที่เป็นนักเลงนั้นเจ้าเล่ห์และมีเทคนิคการต่อสู้ที่ดุร้ายไร้หลักการ หลังจากพวกเขาไม่สามารถจับหลินเซียวและผู้ติดตามของเขาเพราะทั้งคู่ร่วมมือกันตั้งรับต่อสู้แบบเป็นทีม ดังนั้นพวกสมุนจึงใช้กลยุทธ์แยกทั้งสองออกจากกัน ผู้ติดตามถูกดึงออกไปรุมกระทืบจนได้ ในขณะที่สมุนหนุ่มคนหนึ่งได้โอกาส ตีเข่าใส่หว่างขาของหลินเซียว จนเขาจุก หมดแรงสู้ไปชั่วขณะ
หลินเซียวถูกเหวี่ยงไปชนและพิงอยู่ข้างโต๊ะไพ่และถูกรุมซ้อมอีกระลอกจนหมดแรง เขาฟุบล้มลงกับพื้นโครมใหญ่ และนอนจุกอยู่กับพื้น
หลินเนี่ยนเหล่ยค่อยๆ ฟื้นตัวลุกยืนขึ้นมาได้ข้างๆ กลุ่มที่ยังต่อสู้กัน พวกสมุนของฉิงจื่อหาวจะเข้าไปทำร้ายหลินเนี่ยนเหล่ยอีก เมื่อฉินหยู่เห็นว่าเพื่อนที่ช่วยเหลือเขากำลังจะถูกทำร้ายอีก เขาก็ตะโกนร้องขอทันที “ปล่อยพวกเขาไป! เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขา…”
“ฉึก!”
ก่อนที่คำพูดของเขาจะจบ สมุนหนุ่มคนที่ถือล็อกแขนฉินหยู่ไว้ อีกมือล้วงมีดสั้นออกมา แล้วแทงไปที่ต้นขาฉินหยู่ “ก้มหัวลง! ถ้าแกแหกปากอีกครั้ง ฉันจะทำให้แกสูญพันธุ์ด้วยมีดเล่มนี้ เข้าใจไหม?!”
“ปัง!”
ทันใดนั้นก็เสียงปืนก็ดังขึ้นในบาร์ และคนทั้งสองกลุ่มที่กำลังต่อสู้กันเป็นพัลวัน ต่างก็ตกตะลึงค้างไปชั่วขณะ
ในกลุ่มฝูงชน ผู้ติดตามของหลินเซียวยืนขึ้นยกปืนยิงขึ้นฟ้าแล้วตะโกนทั้งที่มีเลือดอาบหน้า “ใครจะเข้ามาอีก อยากจะลองอีกไหม?!”
“นายมีปืน แล้วเราไม่มีใช่ไหม?”
“แกกำลังขู่ใคร?”
“……!”
กลุ่มสมุนที่ฉิงจื่อหาวนำมา ต่างกระจายแยกย้ายออกไปทันทีและเริ่มชักปืนออกมาพร้อมตะโกนเซ็งแซ่
หลินเซียวลุกขึ้นยืนมีเลือดท่วมตัว เขาเหลือบมองฉิงจื่อหาวและสมุนหนุ่มที่เพิ่งตีเข่าใส่เขาเมื่อกี้ด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ จากนั้นก็กัดฟันพูดออกมา “พี่ชาย เราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนเหล่านี้ มันเป็นเรื่องความเข้าใจผิด...เราให้พวกคุณตีเราไปแล้ว ปล่อยเราไปเถอะ โอเคมั้ย?”
“หา นายไม่ได้มาจากสื่อเหรอ? ถ้างั้นนายจะรีบไปไหน? มาคุยกันก่อนดีกว่า!” ฉิงจื่อหาวพูดโดยไม่แสดงสีหน้าพลางหันหลังกลับเดินจากไป
หลินเซียวอดทนต่อความเจ็บปวดแสนสาหัส เขาเงยหน้าขึ้นแล้วตะโกน “ฉันก็มีเพื่อนในเฟิ่งเป่ยเหมือนกัน แล้วคุณให้ฉันโทรไป โอเคไหม?”
ทันใดนั้นฉิงจื่อหาวก็หันกลับมา ชี้ไปที่หลินเซียวและแสดงความโอหังออกมา “ดูจากชุดที่นายใส่ ดูเหมือนนายจะทะมัดทะแมงดีนี่ แต่ให้ฉันบอกนายให้ฟังนะว่า นายมันก็แค่ไอ้ขี้ขลาดในเฟิ่งเป่ยเท่านั้น! นายต้องการหาใครบางคนเหรอ? ฉันจะให้โอกาสนายคราวหน้า แล้วนายจะโทรหาใครก็ได้ตามสบาย”
หย่งตงได้ยินคำพูดอย่างนี้ เขาขมวดคิ้วพร้อมก้าวเข้าไปเตือนฉิงจื่อหาวที่ข้างหู “คนเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้อง ไม่จำเป็นต้องพาพวกเขาไปน่า”
ฉิงจื่อหาวหันกลับมาตอบว่า “เจ้าโง่ พวกมันมาจากสื่อ ถ้าคุณไม่จัดการมันก่อน จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันทำให้คุณตาสว่างในภายหลัง”
“เชื่อฉันเถอะ สาวน้อยคนนั้นมีภูมิหลังบางอย่างที่แม้แต่เฒ่าหยวนก็ยังไม่เข้าใจ อย่าเพิ่งเอาคนออกไปตอนนี้ ถ้าพวกเขาสร้างปัญหาทีหลัง เราก็ยังมีคอนเน็กชันที่ดีที่จะจัดการกับสื่อได้ทันเวลา” หย่งตงโน้มน้าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “จุดประสงค์ของเราคือทำให้เฒ่าหม่าและคนอื่นๆ กลับไป ไม่ใช่มาทะเลาะกับพวกที่ไม่เกี่ยวข้องพวกนี้ คุณคิดว่ายังไง?”
เมื่อฉิงจื่อหาวได้ยินสิ่งที่หย่งตงพูด เขาก็ตอบอย่างไม่อดทน “หากสื่อต้องการก่อปัญหา คุณแก้มันได้ด้วยตัวเอง”
ในบาร์เล็กๆ ผู้เฒ่าหม่ามองดูฉินหยู่พร้อมกับส่งสัญญาณเย็นชาบางอย่างให้ และคนหลังก็ส่ายหัวเป็นเชิงปฏิเสธกลับไป
“พี่น้องทั้งหลาย พวกเขาจะพาเพื่อนของฉันไป”
หลินเนี่ยนเหล่ยลากพี่ชายของเธอมาด้วยพร้อมพูดอย่างเร่งด่วน “ฉินหยู่ช่วยชีวิตฉันในซงเจียงครั้งนั้นจากมัตสึชิตะจริงๆ”
หลินเซียวเดินกะโผลกกะเผลกไปนั่งบนเก้าอี้และกระซิบกับผู้ติดตามอย่างไร้ความรู้สึก “โทรหาคนที่ใกล้ที่สุดแล้วบอกพวกเขาว่าฉันถูกแก๊งอันธพาลจับตัวไปและไม่สามารถออกไปได้”
ผู้ติดตามรับคำแล้วจึงเดินจากไป
หลินเซียวหันไปมองน้องสาวของเขา แล้วต่อว่าด้วยสีหน้าจริงจังมาก “ตอนนี้เธอฉลาดขึ้นแล้วหรือยัง ยัยโง่! นี่คือสิ่งที่เธอทำเวลาทำข่าวใช่ไหม?”
เมื่อหลินเนี่ยนเหล่ยเห็นผู้ติดตามของเธอกำลังคุยโทรศัพท์ เธอก็เข้าใจสถานการณ์ทันทีและยังคงนิ่งเงียบต่อไป
……
ไม่กี่นาทีต่อมา ฉินหยู่ แมวแก่ ผู้เฒ่าหม่า และคนอื่นๆ ต่างก็ถูกนำตัวออกจากคลับหน่วนตง และพวกเขาก็ถูกบังคับให้ขึ้นรถโดยลูกน้องที่ทุบตีพวกเขา
ฉิงจื่อหาว นั่งหาวอยู่ในรถแล้วสั่งลูกน้องที่จะขับรถอีกคัน “พาพวกเขาไปที่ชานเมืองทางใต้”
“ครับผม” คนที่อยู่นอกรถพยักหน้าแล้วจากไป
ฉิงจื่อหาวหันมองกลับไปที่เบาะหลัง และพูดกับหย่งตงอย่างเฉยเมย “ถึงเวลาเช็ดขี้เยี่ยวของคุณแล้ว ฉันยังยืนยันเหมือนเดิมว่า บริษัทฉันดึงเฒ่าหยวนมาร่วมงานเพื่อลดปัญหา ไม่ใช่ให้มาสร้างปัญหาเพิ่ม ถ้าคุณทำได้ก็ทำต่อ ถ้าไม่ เราจะหาคนอื่นมาแทนพวกคุณ”
คำพูดเหยียดหยามเหล่านี้ยากที่จะทนฟังได้ แต่หย่งตงยังคงตอบอย่างสุภาพ “ฉันเข้าใจ”
“ฉันจะยกเรื่องนี้ให้คุณ คุณจัดการเองได้” ฉิงจื่อหาวสั่งคนขับรถอย่างง่วงนอน “ส่งฉันกลับก่อน”
คนขับได้ฟังจึงสตาร์ตรถและแล่นออกจากคลับหน่วนตงไปตามถนนจนลับตาไป
……
ยี่สิบนาทีต่อมา
ที่เบาะหลังของรถตู้ ฉินหยู่ก้มตัวลงถามผู้เฒ่าหม่าเบาๆ “พวกมันตามเราทันได้ยังไง?”
“บัตรผ่านเข้าเมือง ต้องเป็นบัตรผ่านเข้าเมือง” ผู้เฒ่าหม่ากัดฟันสบถ “ฉิบหาย เหล่าเอ้อทำพลาด ปล่อยให้พวกมันนำหน้าเราแค่ปลายจมูกตลอดเวลาละสิ”
“ฉันให้แกพูดหรือเปล่าหา? ฉันให้แกพูดหรือเปล่า!” ลูกน้องฉิงจื่อหาวซึ่งนั่งอยู่แถวกลางของรถ คว้าด้ามปืนมาฟาดที่หัวของผู้เฒ่าหม่าหลายครั้ง
ผู้เฒ่าหม่าโกรธและเจ็บปวดมากแต่เก็บกดไว้และพูดกับฉินหยู่อย่างอดทน “ตอนนั้นในคลับ นายน่าจะต่อสู้อย่างหนักเมื่อกี้นี้ ถ้าหากมีอะไรผิดพลาด นายก็ยังมีโอกาสหนีไปได้หลายครั้ง แต่ทำไมนายไม่ปล่อยให้ฉันลุยกับมัน?”
ฉินหยู่พูดทั้งเลียริมฝีปากที่แตก “ฉันคิดว่าเรายังมีโอกาสรอด… ลุงลุย ลุงจบเห่”
“ฉันบอกให้เงียบ แกยังเสือกจะพูดอีกเหรอ?” สมุนรับใช้คว้าด้ามปืนของเขาและกำลังจะฟาดเข้าที่ฉินหยู่อีกคน
“บรึ้นน!”
จู่ๆ ก็มีเสียงเครื่องยนต์รถเร่งเครื่องดังขึ้นมาจากบนถนนด้านหลัง และรถบรรทุกสีเขียวเข้มสองคันและรถออฟโรดสี่คันขับเร่งความเร็วขึ้นมา
ฉิงจื่อหาวลืมตาขึ้นอย่างง่วงนอน หันไปมองด้านข้างรถแล้วพึมพำ “ทำไมถึงยังมีรถทหารบนถนนกลางดึก…?”
ทันใดนั้นขบวนรถสีเขียวเข้มก็แซงไปทางซ้ายและหยุดกะทันหัน ในแนวทแยงบนถนนขวางเส้นทางไว้
“เอี๊ยดด!”
คนขับตกใจกระทืบเบรกทันที รถหยุดกะทันหันอยู่ข้างถนน
บนถนนสลัวๆ ไฟหน้ารถบรรทุกส่องสว่าง นายทหารจ่าสิบเอกในวัยสามสิบกระโดดลงจากรถบรรทุก สวมรองเท้าบูตหนัง ถือปืนไรเฟิลอัตโนมัติในมือ ก้าวเดินมาตรงหน้ารถกลุ่มรถของพวกฉิงจื่อหาว ชี้ปืนขึ้นฟ้าแล้วเหนี่ยวไกปืน
“ปัง ปัง ปัง……!”
เสียงปืนที่บาดหูดังขึ้น จ่าสิบเอกก็ออกคำสั่งลั่น “มันเกิดเหี้ยอะไรกันขึ้นมาวะ! พวกขายยาพยายามพลิกแผ่นดินเรอะ พลทหาร! ลงจากรถพร้อมปืนกระสุนจริง เตรียมพร้อมยิงเพื่อฆ่าถ้าจำเป็น!”
“พรึบ!”
บนรถบรรทุกสองคัน ทหารสี่สิบถึงห้าสิบนายกระโดดลงจากรถพร้อมปืนไรเฟิลในมือ
บนรถออฟโรดคันที่สอง หลินเซียวกระโดดลงมาด้วยใบหน้าที่หม่นหมองและย่างก้าวที่ไม่มั่นคงเล็กน้อย เขาเอื้อมมือปลดกระดุมเสื้อคลุมขนสัตว์ออก เผยให้เห็นชุดทหารที่สมบูรณ์แบบข้างใต้และมีตราสัญลักษณ์ชั้นยศบนหน้าอกเสื้อ เขาโบกมือพร้อมตะโกนใส่ฉิงจื่อหาว “เชิญเลย นายน้อยผู้เก่งกาจและยิ่งใหญ่ที่สุดในเฟิ่งเป่ย ลงจากรถ คราวนี้ฉันจะให้คุณโทรออกก่อน ตามที่คุณต้องการ”
……………………………………………………………