ตอนที่ 1 กายเด็กหนุ่มจากเขต 7
ตอนที่ 1 กายเด็กหนุ่มจากเขต 7
โลกราชันถูกแบ่งด้วยแสงตะวันและราตรีแห่งความมืด กษัตริย์มนุษย์ลอยตัวสูงขึ้นเหนือท้องนภาพร้อมด้วยลอร์ดใต้บัญชาทั้ง 4
ในมือของพวกมันมีตราประทับชูขึ้นเหนือศีรษะสูบเอาพลังชีวิตและเลือดเนื้อเพื่อเป็นพลังเกื้อหนุนให้แก่กษัตริย์มนุษย์ที่ถือตราประทับอีกหนึ่งเช่นกัน
เสียงสั่งเสียของลอร์ดดังออกมาทีละคน แต่ใจความทั้งหมดยังคงเป็นประโยคเดียว
“ชีวิตของข้าขอมอบแก่ท่าน เพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์”
หลังสิ้นเสียงร่างกายและวิญญาณพวกมันก็หายไป เหลือแต่กษัตริย์มนุษย์ผู้โดดเดี่ยวเพียงหนึ่งเดียว ที่ซึ่งไม่เคยหันกลับมาเหลียวแลเสียงของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
อันที่จริงแล้วในใจของกษัตริย์มนุษย์รู้ดีว่าต่อให้หันไปมอง อย่างไรพวกมันก็ยังต้องตายอยู่ดี
จึงคิดสนใจหน้าที่ของตนเพียงเท่านั้น เพราะมันเกี่ยวพันถึงทุกสรรพสิ่งในโลกราชัน
หลังจากตราประทับทั้ง 4 หมุนวนรอบตัวของกษัตริย์มนุษย์ ทันใดนั้นตราประทับในมือของกษัตริย์มนุษย์ก็ลอยออกไปร่วมกับตราประทับจนพวกมันกลายเป็น 5 ตราประทับ
พร้อมกันนั้นที่ห่างไกลออกไปหลายพันหลายหมื่นกิโลเมตร นครทั้ง 5 ตอบสนองตามตราลอร์ดที่ปกครองส่งพลังแห่งจิตวิญญาณเกื้อหนุนจนครบองค์ประกอบ
หล่อหลอมร่างของกษัตริย์มนุษย์ที่อยู่ตรงศูนย์กลางตราทั้ง 5 ตกตายไป จะเหลือก็เพียงแต่เจตจำนงที่คงอยู่ในตราที่สร้างขึ้นมาด้วยร่างกาย
เจตจำนงของกษัตริย์มนุษย์ ก็คือ เจตจำนงของตราประทับกษัตริย์ที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่
ตราประทับกษัตริย์ที่ใหญ่ดังท้องนภา แต่ก็เล็กดังเม็ดฝุ่นทราย เพราะเมื่อมองจากสิ่งที่ทำให้เกิดแสงและความมืดพร้อมกัน มันช่างเล็กยิ่งนักราวกับไม่อยู่ในสายตาด้วยซ้ำ
แต่มันกลับใหญ่เท่าท้องนภาเมื่ออยู่ในสายตาของมนุษย์ที่สั่นด้วยความหวาดกลัว
ตราประทับกษัตริย์ลอยขึ้นสูงไปเรื่อย ๆ รอบด้านมีตราประทับทั้ง 5 ล้อมรอบรอยหมุนวน ขับไล่ความมืดและแสง สายลมหยุดพัด สายน้ำหยุดไหล เวลาหยุดเคลื่อนไหว โลกหยุดหมุน สรรพสิ่งหยุดนิ่ง
พร้อมกันนั้นตราประทับกษัตริย์ก็หายไป แสงตะวันและราตรีที่มืดมิดก็หายไปด้วยเช่นกัน
แต่สิ่งที่ตามมาคือพลังแห่งการทำลายล้างที่กวาดผ่านไปทั่วทั้งผืนดินและมหาสมุทรของโลกราชัน
สร้างความตายกระจายไปทุกที ถึงจะเป็นเช่นนั้นการเสียสละของหนึ่งกษัตริย์มนุษย์และ 4 ลอร์ดก็ยังคงส่งผล เพราะไม่เช่นนั้น เกรงว่าเมื่อแสงตะวันและราตรีแห่งความมืดมาเยือนพร้อมกันโลกราชันใบนี้ก็คงไม่สามารถดำรงอยู่ได้อีก
เวลากลับคืนสู่ธรรมชาติ ทุกชีวิตกลับคืนสู่วิถีเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปก็คือการหายไปของกษัตริย์และลอร์ด
ดินแดนมนุษย์จึงไร้ผู้ปกครอง เกิดสงครามแก่งแย่งมาซึ่งอำนาจและดินแดน เลือดไหลเป็นมหาสมุทร ซากศพกองเป็นภูเขา ผู้คนตกตายราวกับใบไม้ร่วงในผืนป่า
เมื่อลองคิดดูแล้วชีวิตที่ตายมากมายกว่าตอนที่เกิดแสงตะวันและราตรีแห่งความมืดรวมกันซะอีก
จนกระทั่งหลายสิบหลายร้อยปี ก้าวผ่านชั่วอายุคน โลกก็เข้าสู่ยุคนครเมืองทั้ง 5 ที่แบ่งแยกปกครอง แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือสงครามที่ยังคงดำเนินต่อไป
ส่วนเรื่องราวของกษัตริย์มนุษย์ก็กลายเป็นเรื่องเล่านิทานก่อนนอนที่ไม่มีใครสนใจ
ขณะที่โฆษณา “เกมราชัน สงครามออนไลน์” กำลังฉายผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์เครื่องเก่าภายในห้องใต้หลังคาที่ดูทรุดโทรม เด็กหนุ่มอายุ 19 ปี ข้าและดวงตาสีดำ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่เก่าเล็กน้อยแต่ก็ดูสะอาด กำลังฟุบหลับอยู่หน้าจอคอมก็ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยท่าทีสะลึมสะลือ มือเลือนไปกดที่หน้าจอเพื่อกดข้ามโฆษณา
หลังจากนั้นเพลงที่เล่นค้างไว้ก็เริ่มเล่นต่อ ขณะที่เขาฟุบหลับลงไปอีกครั้ง แต่แล้วเสียงนาฬิกาปลุกก็ดังขึ้นรบกวนการนอนหลับของเขาต่อ
กริ้ง ๆ ๆ ๆ
เสียงนาฬิกาปลุกยังคงดังต่อเนื่อง ทันใดนั้นเด็กหนุ่มที่ได้สติก็รีบดีดตัวขึ้นจากเก้าอี้ ปิดคอมพิวเตอร์และเปิดประตูเหล็กออกจากห้องด้วยท่าทีลนลาน เสียงตะโกนด่าของป้ามิแรนด้าดังไปทั้งบ้าน
“กาย...ตื่นสายอีกแล้วใช่ไหม นอนกินบ้านกินเมืองอย่างนี้จะไปทำอะไรกินได้ เมื่อคืนเปิดเพลงทิ้งไว้ทั้งคืนใช่ไหม รู้จักช่วยกันประหยัดค่าไฟบ้างไม่ได้หรือไง เดือนที่แล้วฉันต้องจ่ายค่าไฟตั้ง 8000 บิท... แล้วป่านนี้ยังไม่ทำงาน คิดจะให้เขาไล่ออกหรือยังไง”
“ครับป้า ผมขอโทษครับ เดียวผมจะรีบไปเดียวนี้” กายรีบเข้าไปในครัวหยิบอาหารกระป๋องสังเคราะห์ออกมาเปิดกินอย่างเคยชิน
“ขอโทษแล้วค่าไฟมันลดลงหรือไง เดือนนี้เงินเดือนทั้งหมดของแกต้องเอามาจ่ายค่าไฟทั้งหมด”
กายได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มอย่างขมขื่น ในที่สุดป้าของเขาก็หาข้ออ้างเอาเงินเดือนทั้งหมดของเขาอีกจนได้ แต่กายก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ตัวเขาเป็นเด็กกำพร้าพ่อกับแม่เสียไปตั้งแต่ตัวเขายังเด็ก ตามที่ป้ามิแรนด้าและลุงแฟรงค์บอกเขา พ่อกับแม่ทั้งสองคนตายด้วยอุบัติเหตุโรงงานถล่ม ทำให้เขาต้องย้ายมาอยู่กับลุงและป้าที่เลี้ยงเขามาตั้งแต่ยังเด็กด้วยความยากลำบาก ดังนั้นการที่เอาเงินเดือนให้ลุงและป้าก็ถือเป็นการตอบแทนอย่างหนึ่ง ซึ่งคำพูดนี้มักเป็นป้ามิแรนด้าย้ำกับเขาเสมอมา
“ลุงแฟรงค์ออกไปก่อนแล้วแน่เลย” กายรีบหยิบหน้ากากกันฝุ่นเปิดประตูวิ่งออกจากบ้านไป
บ้านของกายที่อาศัยอยู่เป็นบ้านสองชั้นมีห้องใต้หลังคา ทั้งตัวบ้านสร้างขึ้นมาจากชิ้นส่วนเหล็กจำนวนมาก ซึ่งหาได้ง่ายตามแหล่งทิ้งชิ้นส่วนโลหะ ชั้นล่างเป็นห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำและห้องนอนลุงกับป้า
ส่วนชั้นสองกายไม่มีสิทธิได้ห้องที่ชั้นนี้อย่างแน่นอนเพราะมันเป็นห้องของลูกทั้งสองคนของลุงแฟรงค์และป้าแรนด้า ลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคนของกายประกอบไปด้วย ลูกชายคนโตของป้าที่แก่กว่ากายสองปี ชื่อ อานนและลูกสาวคนเล็กที่อายุ 19 เท่าเขาชื่ออันยา
เมื่อ 6 เดือนก่อนกายและอันยาได้จบการศึกษาภาคบังคับมัธยมศึกษาตอนปลายแล้ว แต่เพราะสถานะด้านการเงินที่บ้านไม่ดีนัก จึงไม่สามารถส่งพวกเขาทั้งสองให้เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยพร้อมกันได้ ดังนั้นป้ามิแรนด้าจึงตัดสินใจให้อันยา ลูกสาวของเธอเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย แม้เธอจะเรียนไม่เก่งก็ตามแต่นั่นไม่ใช่ปัญหามากนัก ปัญหามันอยู่ที่อันยา เธอเป็นเด็กเกเรและติดเที่ยว ทำให้ไม่ใส่ใจการเรียนเลยแม้แต่น้อย
แต่แน่นอนว่าเมื่อป้ามิแรนด้าตัดสินแล้วก็ไม่มีใครเปลี่ยนความคิดเธอได้เพราะในบ้านคนที่เป็นใหญ่สุดก็คือป้ามิแรนด้า อันยาตอนนี้ได้ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยภาคพื้นโลก เขต 7 ที่เดียวกับอานนพี่ชายของเธอ
ส่วนกายที่โดนดับฝันในการเป็นวิศวกรหุ่นยนต์ และเพราะไม่ได้เรียนต่อ จึงต้องออกไปทำงานเพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายทางบ้านของลุงและป้า กายจึงได้ไปทำงานที่โรงงานแยกชิ้นส่วนโลหะกับลุงแฟรงค์ได้ 3 เดือนแล้ว
และแน่นอนรายได้ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา ป้ามิแรนด้าเอาไปทั้งหมดเพราะบอกคือค้าใช้จ่ายในบ้าน ซึ่งตามจริงแล้วลึก ๆ เขาก็รู้ว่าทั้งหมดเป็นข้ออ้าง ป้ามิแรนด้าก็แค่นำเงินไปใช้ลูกทั้งสองของเธอใช้จ่ายตอนเรียนที่มหาวิทยาลัย
กายก็ได้แต่ก้มหน้าทำงานไป แต่เขาก็ไม่คิดมานักเพราะที่ผ่านมาเขาขอบคุณลุงและป้าที่เลี้ยงเขามาจนโต
......
กายเดินไปตามถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่นควันที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพถ้าสูดดมเข้าไปมาก ๆ ดังนั้นในทุกครั้งที่ผู้คนออกจากบ้านมักจะสวมใส่หน้ากากกันฝุ่นเสมอ
เขาได้แต่คิดถึงเรื่องที่คุณครูเล่าให้ฟังสมัยตอนที่เรียน ว่าโลกของเราเมื่อก่อนนั้นสวยงามมาก มีทั้งอากาศที่บริสุทธิ์ น้ำที่สะอาด สัตว์และแมลงมากมาย ในตอนนั้นคุณครูเปิดรูปถ่ายของสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์พวกนี้ไปด้วย
เขาก็จำไม่ค่อยได้แล้วว่ามันชื่ออะไร แต่น่าจะชื่อว่าผึ้งเป็นแมลงที่สำคัญที่สุดในบรรดาแมลงเลยก็ว่าได้ เห็นว่ามันสามารถผลิตน้ำหวานได้ ช่างหน้าเหลือเชื่อมาก ยังมีมนุษย์สมัยก่อนนั้นมีเนื้อสัตว์ที่ไม่ใช่เนื้อสังเคราะห์ให้กินในราคาที่ถูกมาก แต่ตอนนี้ด้วยคนชนชั้นแรงงานที่อาศัยอยู่บนพื้นโลกแบบเขาการจะซื้อเนื้อสังเคราะห์คุณภาพดี ๆ สักชิ้นยังยากเลย
กายมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มีเมฆและฝุ่นบดบังเล็กน้อย มองตรงไปยังสิ่งที่เรียกว่า “โอเอซิส” หรืออาณานิคมบนอวกาศแห่งใหม่ของมนุษย์ มันมีขนาดเล็กกว่าดวงจันทร์เล็กน้อย มีลักษณะเป็นเหมือนบอลแก้วขนาดใหญ่ ด้านในมีโครงสร้างเป็นวงแหวนหมุนวนสลับกันไปซึ่งมีแรงโน้มถ่วงจำลองอยู่ อีกทั้งยังมีธรรมชาติที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่อีกด้วย
ที่นั่นคือสวรรค์ของมนุษย์มันมีทั้งอากาศที่บริสุทธิ์ สิ่งมีชีวิตและสัตว์มากมาย เขาเคยได้ยินผู้ใหญ่พูดกันว่า ถ้าต้องการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจะต้องไปอยู่บนนั้นให้ได้ซะก่อน
กายมองดูภาพตรงหน้าของเขาอย่างน่าเหลือเชื่อ แม้เขาจะเห็นมันตั้งแต่เกิด ว่ากันว่ามีคำพูดของคนสมัยก่อนที่ว่า “พระเจ้าเป็นสร้างโลกใบนี้ขึ้นมา” แต่กายในตอนนี้กำลังมองดู “โลกที่มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้นมา”
และการสร้างโอเอซิสขึ้นมาต้องย้อนกลับไปเมื่อ 120 ปีที่แล้ว จุดเริ่มต้นเกิดจากสงครามนิวเคลีย ทุกประเทศเอาแต่ทำสงครามโลกครั้งที่สามกัน จนกระทั่งสิ้นสุดสงครามลงเมื่อ 100 ปีก่อน แต่ทุกอย่างมันสายไปแล้วกว่าที่มนุษย์จะตระหนักถึงสภาพแวดล้อมที่ถูกทำลาย โลกทั้งใบมีแค่พื้นที่ 7 แห่งที่มนุษย์พออาศัยอยู่ได้ ภายหลังได้แบ่งออกเป็นเขตทั้ง 7 ภาคพื้นโลก
แต่แล้วผู้คนมีอำนาจทั้งหลายก็มองว่าโลกใบนี้กำลังจะตายอย่างช้า ดังนั้นหนทางที่มนุษย์จะดำรงอยู่ต่อไปได้คือต้องออกไปนอกโลก
หลังจากเกิดแนวคิดนี้ประเทศทั้งหมดก็รวมตัวกันเป็นหนึ่งก้าวผ่านยุคแบ่งแยกประเทศและได้ใช้เวลาอีก 30 ปีสร้างอาณานิคมบนอวกาศได้สำเร็จ และตั้งชื่อว่าโอเอซิส
แต่ไม่ได้หมดแค่นั้นพวกเขายังเริ่มนับปีใหม่โดยเริ่มที่โอเอซิสเปิดตัวเป็นปีที่ 1 และวันนี้คือวันที่ 11 เมษายน ปีที่ 70 แล้ว แต่โลกในอวกาศนี้มีพื้นที่จำกัดดังนั้นมันจึงตกเป็นของผู้มีเงิน อำนาจที่จะได้อยู่อาศัย
กายนึกแล้วก็ขำกับเรื่องที่โรงเรียนสอนถึงโอเอซิส เขามีปัญญาได้แค่มอง ไม่สามารถแม้แต่จะไปเยือน