213 - บุคคลในตำนาน
213 - บุคคลในตำนาน
ซุนปิงเฉินคาดว่าจะมีอายุมากกว่าหกสิบปี!
ความเป็นมา : สามัญชนที่สอบได้เป็นข้าราชการ หลังจากทำงานมาสี่สิบปีเขาก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากผู้พิพากษาเทศมณฑลเป็นผู้ตรวจการของจักรวรรดิ
ในช่วงปีที่ 37 ของรัชกาลเฉียนอู่ ซุนปิงเฉินได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าการแคว้นต้านหยางของเขตปกครองพิเศษล่าย
ในเดือนจันทรคติที่หกของปีเดียวกันกลุ่มนักการทูตชาวชาตูประมาณหนึ่งร้อยคนเดินทางผ่านแคว้นต้านหยางอย่างหยิ่งยโสโดยได้รับใบอนุญาต
ในวันที่ 11 ค่ำเดือน 6 เหล่าทูตของชาตูได้เข้าสู่เมืองต้านหยางโดยที่เมืองต้านหยางมีขบวนเจ้าสาวผ่านมาพอดี
ในบรรดาทูตของชาตูที่กำลังออกจากเมืองต้านหยางพวกเขาขวางทางพี่เลี้ยง ทำร้ายเจ้าบ่าวและผู้คุ้มกันคนอื่นๆและดึงเจ้าสาวออกจากเกี้ยว
จากนั้นพวกเขาก็ดึงผ้าคลุมหน้าของนางออกและทำให้นางอับอายด้วยวาจาและท่าทาง หลังจากที่ชาวชาตูจากไป เจ้าสาวก็ทนความอัปยศอดสูไม่ไหวจึงได้ฆ่าตัวตาย
ครอบครัวของเจ้าสาวและเจ้าบ่าวเข้ามาในเมืองเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมในขณะที่ตีกลองพวกเขาก็บอกเล่าความประพฤติชั่วช้าของทูตชาตู
ทันทีที่ซุนปิงเฉินได้รับข่าว เขาก็นำทหารม้าติดอาวุธหกร้อยนายออกไล่ล่าทูตชาตูเหล่านั้น หลังจากไล่ล่าประมาณสองร้อยลี้ในตอนกลางคืน ในที่สุดพวกเขาก็สกัดกั้นทูตของชาตูและนำพวกเขากลับไปยังเมืองต้านหยางโดยตรงหลังจากผ่านการสู้รบมารอบหนึ่ง
การจับกุมทูตชาตูทำให้โลกสั่นสะเทือน ทันใดนั้นตัวตลกและเจ้าหน้าที่ที่ทุจริตก็กระโดดออกมาวิพากษ์วิจารณ์ซุนปิงเฉินที่ขัดขวางขบวนทูตจากต่างประเทศ
พวกเขาชี้ให้เห็นว่าการกระทำดังกล่าวอาจทำให้เกิดสงครามระหว่างจักรวรรดิกับชาวชาตูได้ เนื่องจากเป็นความผิดร้ายแรง
ผู้หญิงเลวจำนวนหนึ่งได้ปรากฏตัวและพยายามปกป้องชาวชาตูโดยอธิบายว่าชาวชาตูมีวัฒนธรรมที่แปลกประหลาดซึ่งแตกต่างจากจักรวรรดิของเรา
ดังนั้นการสกัดกั้นขบวนเจ้าสาวและการคุ้มกันของนางอาจเป็นส่วนหนึ่งของขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวชาตู หรือบางทีพวกเขาอาจแค่สงสัย ไม่จำเป็นต้องวุ่นวาย
การตายของเจ้าสาวเป็นการฆ่าตัวตายและไม่เกี่ยวข้องกับชาวชาตู ดังนั้นถ้าใช้เงินสักสองสามตำลึงก็เพียงพอแล้ว
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ประเดประดังมาทุกทิศทางซุนปินเฉิงก็พูดเพียงไม่กี่คำ
“ประชาชนคือชาติ และจักรวรรดิของเราก็ครอบครองทหารม้ามากกว่าหนึ่งล้านคน หากเราไม่สามารถปกป้องหญิงสาวในชุดแต่งงานของนางได้ แล้วกองทัพนับล้านเหล่านั้นจะมีประโยชน์อะไร?
ชาวชาตูคือผู้ที่เริ่มต้น หากปล่อยพวกมันไปพวกมันจะมีความบังอาจมากขึ้น มีเพียงการเตรียมพร้อมสำหรับการทำสงครามเท่านั้นที่สามารถป้องกันสงครามได้!”
ในวันที่ 15 ของเดือนทางจันทรคติที่ 6 เพียงสามวันหลังจากการจับกุมของทูตชาตู ซุนปิงเฉินได้จัดให้มีการพิจารณาคดีในที่สาธารณะในเมืองต้านหยาง
ทูตชาตูถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานรล่วงละเมิดสตรีพลเรือน การต่อต้านระหว่างการจับกุม และการสังหารและทำร้ายทหารของจักรวรรดิอีกด้วย
พวกเขาทั้งหมดถูกตัดสินให้ต้องถูกตัดศีรษะและต่อมาศีรษะของพวกเขาก็ถูกแขวนไว้ที่ทางเข้าเมืองต้านหยาง
ในวันเดียวกันนั้น ซุนปิงเฉินได้ประหารชีวิตทูตของชาตู เขาถอดหมวก เสื้อคลุม อย่างเป็นทางการของผู้ว่าการแคว้นออก จากนั้นเขาก็รออยู่ที่บ้านเพื่อให้ราชทูตจากเมืองหลวงของจักรวรรดิมาอ่านราชโองการ
ทูตของจักรพรรดิมาถึงในสองสามวันต่อมา แต่ไม่สามารถเข้าไปในเมืองต้านหยางเนื่องจากทางเข้าทั้งสี่นั้นถูกขัดขวางโดยพลเมืองหลายแสนคนในเมือง
เมื่อรู้ว่าทูตของจักรพรรดิได้มาถึงแล้ว พลเมืองจำนวนนับไม่ถ้วนในแคว้นต้านหยางก็รวมตัวกันที่ประตูเมืองเพื่อปิดถนนทุกสายโดยไม่ได้ตั้งใจ
พวกเขาไม่ยอมให้ราชทูตผ่านเข้ามาเพื่อปฏิบัติตามราชโองการ ตามปกติแล้ว ทูตของจักรวรรดิไม่สามารถปฏิบัติภารกิจได้หากไม่ได้พบกับซุนปิงเฉิน
สีหน้าของราชทูตที่มายังแคว้นต้านหยางบิดเบี้ยวทันทีเมื่อถูกชาวเมืองต้านหยางหลายแสนคนด่าว่าพวกเขาและไม่ให้เข้าเมือง
ไม่เพียงเท่านั้นพวกเขาไม่สามารถซื้ออะไรหรือหาที่พักได้แม้ว่าพวกเขาจะมีเงินก็ตาม เมื่อสถานที่ต่างๆนอกเมืองต้านหยางรู้ว่ามีทูตของจักรพรรดิเข้ามาแล้ว
โรงเตี๊ยม ร้านอาหาร และแผงขายอาหารทั้งหมดก็ปิดให้บริการในวันนั้น หลังจากอยู่นอกเมืองต้านหยางเพียงครึ่งวัน ทูตของจักรพรรดิที่หิวโหยและเหน็ดเหนื่อยก็เข้าใจดีว่าพวกเขาต้องล่าถอย
หากซุนปิงเฉินถูกลงโทษในเวลาเช่นนี้ มันจะทำให้เกิดการจลาจลครั้งใหญ่ในแคว้นต้านหยางทันที และผู้ที่มาทำภารกิจนี้อาจจะไม่รอดชีวิตจากแคว้นต้านหยางในท้ายที่สุด
ในท้ายที่สุด ชาวชาตูก็พยายามสร้างปัญหาที่ชายแดนเช่นกัน อย่างไรก็ตาม มันไร้ประโยชน์ ดังนั้นเรื่องนี้จึงถูกปล่อยปละละเลย
จากเรื่องนี้เพียงอย่างเดียว ซุนปิงเฉินได้รับชื่อเสียงอันโด่งดังในฐานะผู้ว่าการที่ซื่อตรงและไม่เห็นแก่ตัว ในทศวรรษต่อๆมา นักการทูตต่างชาติคนใดที่ประสงค์จะถวายบรรณาการให้กับราชสำนักจะต้องเดินทางอ้อมเพราะไม่มีใครกล้าที่จะเข้าสู่แคว้นต้านหยาง...
ในเวลาเดียวกันซุนปิงเฉินก็ค่อยๆก้าวขึ้นจากการเป็นผู้ว่าการแคว้นมาเป็นผู้ตรวจการของเขตปกครองพิเศษ ต่อมาเขาถูกย้ายไปยังเมืองหลวงของจักรวรรดิ
ซึ่งเขาดำรงตำแหน่งรองเสนาบดีวัง และยังเป็นนักวิชาการผู้ยิ่งใหญ่แห่งศาลาหลงหยวนอีกด้วย
คราวนี้เขาออกจากเมืองหลวงของจักรวรรดิในฐานะทูตของจักรพรรดิเพื่อลาดตระเวนในหกแคว้นของเขตปกครองพิเศษกานทางตะวันตกเฉียงเหนือของจักรวรรดิ
ทันทีที่เขามาถึงแคว้นกาน เขาก็รับรู้ได้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแคว้นผิงซี ดังนั้นเขาจึงเดินทางมาที่นี่ทันที
เอี้ยนลี่เฉียงเดินผ่านสนามหญ้าและทางเดินคดเคี้ยวด้านหลัง ขณะที่จิตใจของเขายังคงนึกถึงข้อมูลที่เขาได้ยินจากเสิ่นเติ้งเกี่ยวกับท่านซุน
พูดตามตรงเอี้ยนลี่เฉียงรู้สึกเคารพคนประเภทนี้ และหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเพราะเขากำลังจะพบกับคนที่เป็นตำนานของอาณาจักร
หลังจากเลี้ยวสองหรือสามรอบแล้ว เอี้ยนลี่เฉียงและคนอื่นๆก็ถูกพาไปที่ทางเข้าห้องรับแขกในลานอันเงียบสงบ
“รายงานนายท่าน ข้าได้นำเด็กสามคนจากสถาบันศิลปะการต่อสู้ของเมืองผิงซีมาที่นี่แล้ว!”
คนนำทางแสดงความเคารพที่ด้านนอกของห้องพร้อมกับตะโกนรายงานออกมา
ทันทีที่เขาพูดจบ ราชองครักษ์ที่มีความองอาจกล้าหาญวัยสามสิบก็ออกมาจากห้อง เขาสวมชุดเกราะหนังและมีดาบยาวห้อยอยู่ที่เอว เขากวาดตามองเอี้ยนลี่เฉียงและอีกสองคนก่อนจะพยักหน้า
"ตามข้ามา!"
เอี้ยนลี่เฉียงและอีกสองคนมองหน้ากัน จากนั้นเดินตามราชองครักษ์เข้าไปในห้องรับแขก โดยที่เสิ่นเติ้งเดินอยู่ข้างหน้า สือต้าเฟิงอยู่ตรงกลางและเอี้ยนลี่เฉียงรั้งท้าย
พวกเขาเดินผ่านประตูยักษ์และมาถึงห้องรับแขก เอี้ยนลี่เฉียงเห็นผู้เฒ่าที่ดูสุขภาพดีสวมชุดคลุมสีเขียวปักลาย*งูเหลือมอย่างเป็นทางการ
เขานั่งตัวตรงในตำแหน่งประธานในห้องรับแขกอย่างสง่างาม เขามองดูทั้งสามคนเข้ามาในห้องรับแขกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
สายตาของชายชราผู้นั้นอ่อนโยนเหมือนน้ำ อย่างไรก็ตามทันทีที่สายตาของเอี้ยนลี่เฉียงสบตากับเขา เอี้ยนลี่เฉียงก็รู้สึกได้ทันทีว่าร่างกายของเขากลายเป็นฟองน้ำที่สามารถมองเห็นได้ทันทีตั้งแต่หัวจรดเท้า
น่าประทับใจ!
นี่เป็นครั้งแรกที่เอี้ยนลี่เฉียงเคยเจอคนแบบนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น
“คารวะท่านซุน!”
ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ด้านนอก เอี้ยนลี่เฉียงและคนอื่นๆ ก็ทักทายชายชราด้วยความเคารพทันทีที่พวกเขาเข้ามาในห้อง