บทที่ 15: ฉันทำอะไรผิดไปหรือเปล่า?
บทที่ 15: ฉันทำอะไรผิดไปหรือเปล่า?
ไม่ว่าจะเป็นชีวิตที่ผ่านมาหรือชีวิตนี้ หวังเฉินกั๋วก็มักจะทำทุกอย่างสำหรับลูกชายของเขา
ในชีวิตที่แล้ว หวังเต็งเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกับหลินซัวหานมาเป็นระยะเวลานานหนึ่งปี หญิงสาวที่สวยที่สุดในโรงเรียนอยู่ตรงหน้าเขา แต่เขาก็ไม่สามารถแตะต้องเธอได้ นี่มันน่าผิดหวังเป็นอย่างมาก
หลังจากที่พวกเขาจบการศึกษาระดับมัธยมปลาย หลินซัวหานก็ไปที่เมืองเซี่ยและศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยอันดับต้นๆของเมือง
หลังจากนั้น เขาก็ได้ยินว่าเธอได้ไปต่างประเทศเพื่อศึกษาต่อและกลับมาในอีกสามปีต่อมา ในเวลานั้น เธอก็ได้แสดงความสามารถทางธุรกิจที่ยอดเยี่ยมและสร้างแฟรนไชส์ขนาดใหญ่ทั่วประเทศภายในระยะเวลาไม่กี่ปี บริษัทของเธอได้ก้าวไปสู่ระดับสากล ในขณะที่เธอก็ได้กลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลในโลกธุรกิจในยุคนั้นและกลายเป็นคนที่น่าทึ่ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองย้อนกลับมาที่ชีวิตของเขา...
เขารู้สึกเหมือนปลาเค็มที่นอนอยู่หน้าปลาวาฬ ปลาเค็มที่อยู่ตรงหน้าเธอตลอดทั้งปี
หวังเต็งหรี่ตาลงและมองไปที่ต้นขาของหลินซัวหาน เขามีความปรารถนาที่จะก้าวไปข้างหน้าและกอดพวกมันแน่น
ขาที่สวยงามคู่นี้ให้ความรู้สึกราวกับถูกหุ้มด้วยทองคำ
พูดตามตรง ร่างของหญิงสาวคนนี้นั้นสมบูรณ์แบบ
หลินซัวหานกำลังอ่านตำราของเธออยู่ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกได้ว่ามีสายตาจ้องมองไปที่ต้นขาของเธอ และมันก็ทำให้เธอขมวดคิ้วอย่างควบคุมไม่ได้
“ฮึ่ม!”
เสียงพึมพำปลุกหวังเต็งให้ตื่นขึ้นจากภวังค์
หวังเต็งมองไปที่ใบหน้าที่เย็นชาของหลินซัวหาน และเกาจมูกของเขา เขาหัวเราะเบาๆและถอนสายตาของเขา
“ทำไมเขาถึงยังหัวเราะกัน? ไอ้นี่มันน่ารำคาญจริงๆ” หลินซัวหานพึมพำกับตัวเองเบาๆ
หวังเต็งส่ายหัว เขามีประสบการณ์มาสองช่วงชีวิต แต่เขาก็ยังวอกแวกได้ง่าย ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่น่าอาย
เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาและวางแผนที่จะค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
สิ่งที่หวังเฉินกั๋วกล่าวในตอนเช้านั้นทำให้เขาเห็นการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในมุมมองใหม่
หวังเต็งคิดเสมอว่าหลังจากที่เขากลายเป็นนักสู้แล้ว สถานะของเขาก็จะแตกต่างออกไป และเขาก็จะไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
เขาไม่รู้ว่ามันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาต้องทำและต้องเข้าใจแม้ว่าเขาจะเป็นนักสู้ก็ตาม
โชคดีที่หวังเฉินกั๋วเตือนเขาทันเวลา ไม่อย่างนั้นเขาก็อาจจะพลาดการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีนี้ก็ได้
เขาค้นหาโดยไม่ได้ตั้งใจ และข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ผุดออกมา
ต้องบอกว่าโลกนี้และโลกในชาติก่อนของเขานั้นมีความแตกต่างกันเล็กน้อย และถ้าไม่สังเกตให้ดี มันก็จะหาไม่เจอ
ตัวอย่างเช่น ดาวเคราะห์ดวงนี้ไม่ได้มีชื่อว่าโลก แต่มันถูกเรียกว่าดาวโลกแทน
ตัวอย่างเช่น ประเทศของพวกเขาที่ถูกเรียกว่าหัวเซี่ย (ชื่อโบราณของจีน)
ตงไห่นั้นก็คล้ายกับเซี่ยงไฮ้ มหาวิทยาลัยตงไห่และมหาวิทยาลัยเซียนั้นก็ล้วนเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ
เวลาสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็เปลี่ยนไปเช่นกัน จากปกติเดือนมิถุนายนก็กลายเป็นวันที่ 5 เดือนกรกฎาคม ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่านี่คือวันที่ศิลปะการต่อสู้เริ่มได้รับความนิยมในที่สาธารณะ
ทุกวันนี้การสอบศิลปะการต่อสู้ก็เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ดังนั้นการทดสอบจึงจัดขึ้นในวันพิเศษนี้โดยมีความหมายพิเศษ
หวังเต็งได้ทำการค้าหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสอบเข้าหลักสูตรศิลปะการต่อสู้
การสอบหลักสูตรศิลปะการต่อสู้นั้นแตกต่างจากการสอบหลักสูตรปกติมาก
ศิลปะการต่อสู้นั้นไม่ใช่แค่การทดสอบภาษา ,คณิตศาสตร์ ,ภาษาอังกฤษ และวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่มันยังรวมถึงกายวิภาคของมนุษย์ ประวัติของศิลปะการต่อสู้ การศึกษาสมุนไพรวิญญาณ และเรื่องอื่นๆ
กระทรวงศึกษาธิการได้รวบรวมความรู้ทั้งหมดเหล่านี้ไว้ในหนังสือชื่อ "การสอบศิลปะการต่อสู้ห้าปี เอกสารจำลองสามปี"
ใครก็ตามที่ต้องการเรียนหลักสูตรศิลปะการต่อสู้ก็จะได้รับหนังสือเล่มนี้หนึ่งเล่ม
หวังเต็งมองไปที่ชื่อด้วยท่าทางแปลกๆ เขาสงสัยว่าเขาควรจะรับมันมาด้วยหรือไม่ หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ตัดสินใจยอมแพ้
มันเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะเรียนรู้ทุกๆอย่าง สิ่งที่เขาทำได้คือเขาจะต้องพึ่งพาการเก็บฟองสบู่ค่าคุณลักษณะ
มีศิษย์นักสู้ขั้นสูงห้าคนในโรงเรียนมัธยมอันดบหนึ่งของตงไห่ ดังนั้นพวกเขาก็จะต้องสอบศิลปะการต่อสู้อย่างแน่นอน และพวกเขาก็น่าจะศึกษา 'การทดสอบศิลปะการต่อสู้ห้าปี เอกสารจำลองสามปี' ด้วยเช่นกัน
เขาสามารถหาเวลาไปเยี่ยมพวกเขาและเก็บฟองสบู่ค่าคุณสมบัติบางอย่างได้ และด้วยวิธีนี้เอง หวังเต็งจึงจะสามารถรวบรวมความรู้เกี่ยวกับ "การสอบศิลปะการต่อสู้ห้าปี เอกสารจำลองสามปี" ได้
และหากมันยังไม่เพียงพอ มันก็ยังมีนักเรียนคนอื่นๆจากโรงเรียนอื่นที่เรียนหลักสูตรศิลปะการต่อสู้อีก ดังนั้นเขาจึงยังสามารถมองหาผู้คนเหล่านั้นและรวบรวมฟองสบู่จากพวกเขาได้
หวังเต็งได้รับแผนเอาไว่ในใจ
“แม้ว่าเขาจะมาเร็ว แต่เขาก็ยังเอาแต่เล่นโทรศัพท์”
เมื่อหลินซัวหานเห็นหวังเต็งเล่นโทรศัพท์ทั้งเช้า เธอก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง เธอพูดด้วยเสียงต่ำ “หวังเต็ง ออกมากับฉันสักครู่”
หลังจากพูดจบ เธอก็ลุกขึ้นยืนตรงและเดินออกจากห้องเรียน
หวังเต็งยังคงไตร่ตรองเรื่องการสอบศิลปะการต่อสู้ ดังนั้นเขาจึงสูญเสียการได้ยินเมื่อหลินซัวหานพูด
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขามองดูด้านหลังของอีกฝ่ายขณะที่เธอเดินออกมาจากห้องเรียน เขาก็ลุกขึ้นและเดินตามเธอไป
ลืมมันไปซะ เพราะว่าเธอน่ารักไง ดังนั้นฉันก็จะเป็นคนตามเธอไปเอง!
หวังเต็งเก็บโทรศัพท์และวางมันไว้ในกระเป๋าเสื้อ เขาเดินออกมาจากชั้นเรียนอย่างไม่ตั้งใจและเห็นหลินซัวหานกำลังรอเขาอยู่ที่มุมๆหนึ่ง
“มีอะไรอย่างงั้นหรอหัวหน้าห้องหลิน?” หวังเต็งมองไปที่ใบหน้าที่สวยงามตรงหน้าเขาและถาม
“หวังเต็ง อีกไม่ถึงเดือนก็จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ทำไมนายถึงยังเล่นทุกวันอีก นายไม่ได้วางแผนที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเลยหรอ?” หลินซัวหานถามด้วยท่าทางเย็นชา
“ก็ในเมื่อมันถึงเวลาไม่ถึงเดือน แล้วฉันจะทำงานหนักไปเพื่ออะไรกันล่ะ?” หวังเต็งพูดอย่างติดตลก
น้ำเสียงที่ไม่ใส่ใจของหวังเต็งทำให้หลินซัวหานยิ้มไม่ออก
คิ้วของเธอย่น ในท้ายที่สุด เธอก็ควบคุมอารมณ์และพูดว่า “ฉันมีบันทึกบางอย่าง แม้ว่าจะมีเวลาน้อยกว่าหนึ่งเดือน แต่หากนายทำงานหนักพอ นายก็อาจจะทำคะแนนได้บ้างในการสอบเข้า ภูมิหลังครอบครัวของนายนั้นดี ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับนายที่จะเข้ามหาวิทยาลัยที่ดี”
“หัวหน้าห้องหลิน ทำไมเธอถึงเป็นห่วงฉันจัง” หวังเต็งถามขึ้นทันที
“อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย” หลินซัวหานตอบโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ
นายหมายถึงอะไรที่บอกว่าฉันเป็นห่วงนาย หลงตัวเองเกินไปแล้ว
“ทำไมเธอถึงกังวลเกี่ยวกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของฉันล่ะ” หวังเต็งถามต่อ
“ครูใหญ่ให้นายนั่งข้างฉันเพราะเขาต้องการให้ฉันช่วยนายในเรื่องการเรียน มันไม่เป็นไรที่เมื่อก่อนนายจะไม่ฟังฉัน อย่างไรก็ตาม การสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็กำลังจะมาถึงแล้ว ดังนั้นฉันจึงขอเตือนนายอย่างจริงใจเป็นครั้งสุดท้าย” หลินซัวหานอธิบาย
“ ขอเตือนหรือกำลังปกปิด? หวังเต็งล้อเธอ
“ฉัน...” หลินซัวหานตกตะลึงกับความไร้ยางอายของเขา เธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง เธอพูดต่อด้วยความหงุดหงิด “ฉันกำลังเกลี้ยกล่อมนายเพราะเราเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกัน นายสามารถเลือกได้ว่าต้องการฟังฉันหรือไม่ และถ้านายเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน”
เธอหันกลับมาและอยากจะกลับไปที่ห้องเรียน อย่างไรก็ตาม เพราะรีบเดินกลับเข้าไป เธอจึงไม่ทันสังเกคุไม้กวาดที่ตกอยู่บนพื้น ซึ่งมันก็ทำให้เธอสะดุดไม้กวาดและและเซ
อึก ไม่มีอะไรให้ฉันยึด
หลินซัวหานตกใจอย่างมาก แต่ในวินาทีถัดมา เธอก็รู้สึกได้ว่ามันมีคนกำลังกอดเธออยู่
หวังเต็งได้สังเกตเห็นความรู้สึกแปลกๆในมือของเขาด้วย จากนั้นเขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง
“เร็วเข้า ปล่อยฉันได้แล้ว!”
หลินซัวหานอยากจะร้องไห้
“อยากให้ฉันปล่อยจริงๆหรอ?” หวังเต็งกล่าว
“ปล่อยได้แล้ว!” หลินซัวหานกล่าวอย่างหนักแน่น
“โอเค...” จากนั้นหวังเต็งก็ปล่อยมือออก…
เขาปล่อยมือ...
“อ๊ะ!” หลินซัวหานล้มลงไปกับพื้น และใบหน้าของเธอก็ราบกับพื้นเช่นเดียวกัน
“หัวหน้าห้อง เธอเป็นคนขอให้ฉันปล่อยเองนะ” หวังเต็งพูดอย่างตรงไปตรงมา
หลินซัวหานยกมือข้างหนึ่งขึ้นจากพื้นและชี้ไปที่หวังเต็ง
“เอิ่ม… เธอโอเคดีไหม?” หวังเต็งก้มลงข้างเธอและถามอย่างระมัดระวัง
หลินซัวหานเงยหน้าขึ้น ผมของเธอยุ่งเหยิง จมูกที่สวยงามและหน้าผากของเธอก็เป็นสีแดงทั้งหมด
เธอดูหมดสภาพมาก!
“หวังเต็ง ไอ้สารเลว!”
เธอลุกขึ้นจากพื้นแล้ววิ่งหนีไปโดยไม่หันหลังกลับ
เธอรู้สึกเขินอายมาก!
หวังเต็งมองไปที่ด้านหลังของหลินซัวหานขณะที่เธอวิ่งไปไกลขึ้นเรื่อยๆ การแสดงออกของเขาดูอึดอัดเล็กน้อย เขาทำอะไรผิดไปอย่างงั้นหรอ?