ตอนที่ 7 ท่านพ่ออยู่ที่ไหน?
ตอนที่ 7 ท่านพ่ออยู่ที่ไหน?
ลู่สุ่ยรอฉีซี่อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะกลับมาพร้อมทั้งหินและลูกปัด เธอพูดว่า “นายน้อย หินนี้เป็นธาตุทองคำ และลูกปัดนี้เป็นธาตุไม้ พลังธาตุที่อยู่ในสิ่งของทั้งสองนี้อยู่ในขั้นที่สอง”
ลู่สุ่ยเหลือบมองและพยักหน้า
ฉีซี่เดินออกไปนอกลานอย่างเงียบๆ
ลู่สุ่ยไม่ได้สนใจเธอ เขาหยิบหินทองคำขึ้นมาแทน
เมื่อเขาวางหินสีทองไว้ในมือ เขาก็เริ่มฝึกฝนวิธีกระตุ้น หลังจากนั้นครู่หนึ่ง รูปแบบการก่อตัวของสีทั้งของธาตุทั้งเจ็ดขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา
มันเริ่มดูดซับพลังภายในของหินสีทองนั้น
สิ่งที่ลู่สุ่ยทำนั้นไม่ได้ทำให้คนอื่นๆแปลกใจอะไร เขาสัมผัสได้ถึงพลังที่ดูดซับจากหินสีทองและพูดพร้อมกับถอนหายใจ “มันคงช้ากว่าที่ข้าคิดไว้ จากที่ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งวันในการดูดซับพลังจากหินสีทองนี้ คงต้องเป็นเจ็ดวันเพื่อไปสู่ขั้นที่สาม”
ลู่สุ่ยส่ายหัว เขาทำได้เพียงพึ่งพาวิธีการฝึกตนที่ไม่ใช้งานเท่านั้น ความก้าวหน้าของการฝึกตนเชิงรุกนั้นช้าเกินไป ถ้าเขาต้องไปทำภารกิจที่สำคัญในตระกูลอีกสองสามอย่าง มันอาจยืดเวลาไปอย่างน้อยถึงสองสามเดือน
แม้ว่าเขาจะสามารถยกเลิกการหมั้นได้ในตอนนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องการแต่งงานกับคนอื่น
มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าผู้อาวุโสเหล่านั้นจะกำหนดให้ใครแต่งงานกับเขา
ถ้าลู่สุ่ยต้องการปฏิเสธการบังคับของผู้อาวุโสนั้นจะต้องแข็งแกร่งกว่านี้อีกมาก
เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะกระทืบผู้อาวุโสคนลำดับสาม ต่อยหน้าผู้อาวุโสลำดับหนึ่งและทำให้ผู้อาวุโสลำดับสองร้องไห้
*อะแฮ่ม *
หลังจากที่หยุดคิดความเพ้อฝันนั้นไว้ ลู่สุ่ยก็ยังคงดูดซับพลังจากหินสีทองและลูกปัดต่อไป
และเขาก็ไม่ได้หยุดอ่าน 'การก่อตัวของสวรรค์และโลก' ด้วยเช่นกันแม้ว่าจะดูดซับพลังอยู่
เขากำลังซับและฝึกฝนการฝึกตนเชิงรุกและการฝึกตนที่ไม่ได้ใช้งานในเวลาเดียวกัน
ขณะที่พระอาทิตย์กำลังจะโผล่ขึ้นขอบฟ้า หลินยิ่นตงเฟ่ยก็มาที่ลานว่าง
“ท่านหญิง” ฉีซี่ทักทายด้วยความเคารพ
หลินยิ่นตงเฟ่ยมองมาที่เธอและถามว่า “เจ้าลู่เริ่มคัมภีร์ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
ฉีซี่ตอบทันที: “ตั้งแต่ช่วงตี5 ถึง 6 โมงเช้าค่ะ”
หลินยิ่นตงเฟ่ยถอนหายใจ “ทำไมเขาถึงขยันอ่านคัมภีร์ไร้ประโยชน์เล่มนั้นจังเลยนะ”?
มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเขาอ่านและฝึกฝนจากคัมภีร์เล่มอื่นโดยที่ไม่ต้องทำเป็นว่ากำลังฝึกอย่างหนักอยู่?
แต่ลูกชายของเธอไม่ได้คิดแบบที่เธอคิด
“กลับไปพักผ่อนเถอะ” หลินยิ่นตงเฟ่ยกล่าว
"ค่ะท่านผู้หญิง" ฉีซี่โค้งคำนับและจากไป
หลังจากที่เธอจากไป หลินยิ่นตงเฟ่ยก็เดินเข้าไปในสนามทันที ขณะที่เธอเข้าไปในสนาม ลู่สุ่ยก็เหลือบเห็นแม่ของเขา
เมื่อเห็นว่าเป็นใคร เขาก็วางคัมภีร์ลงแล้วพูดว่า “ท่านแม่”
อันที่จริง เขาไม่ชอบที่เธอตามหาเขาในตอนเช้า เก้าในสิบครั้งที่มาหาคือมักจะมาถามเรื่องอาหารเช้า
การทำอาหารของแม่ของเขาแย่มาก
แม่ของเขานั่งข้างๆและยิ้ม “ทำไมลูกถึงมองมาที่แม่แบบนี้? แม่ไม่ได้จะทำอะไรลูกสักหน่อย”
ลู่สุ่ยทำได้เพียงเปลี่ยนเรื่อง เขาพูดว่า "ท่านพ่ออยู่ที่ไหน"?
เธอถอนหายใจและพูดอย่างรู้สึกเหงาเล็กน้อย “เขารีบลงไปจากภูเขา โดยบอกว่าอุปกรณ์ของตระกูลนั้นจำเป็นต้องอัพเกรดแล้ว เขาไม่ได้กินข้าวเช้าไปด้วยซ้ำ อันที่จริงเขาไม่ได้กินอาหารเช้าที่บ้านมาหลายปีแล้ว”
เมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจของแม่ ลู่สุ่ยรู้สึกว่าพ่อของเขาทำเกินไปนิดหน่อย ดูเหมือนว่าเขาจะหนีจากอาหารเช้าของแม่ของเขาแน่นนอน แม้ว่าแม่ของเขาเป็นหญิงชราอายุร้อยปีแล้วก็ตาม แต่เธอดูเหมือนเด็กผู้หญิงในวัยยี่สิบจากภายนอก
“แต่ไม่ต้องเป็นห่วงพ่อของเจ้าหรอก เพราะพ่อของจะกลับมาทาอหารกลางวันและอาหารเย็นที่บ้านแน่นอน”
ดูเหมือนว่าลู่สุ่ยจะเข้าใจพ่อขงอเขาผิดมาตลอด เขาพึ่งรู้ว่าพ่อของเขาใช้ชีวติลำบากมาก
ไม่แปลกใจเลยที่เขามักจะเห็นพ่อทำอาหารเองอยู่บ่อยๆ
หลินยิ่นตงเฟ่ยพูดต่อว่า “อืม ในเมื่อพ่อของเจ้าไม่อยู่ที่นี่ ลูกจะไปกินอาหารเข้ากับแม่ไหม?”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ลู่สุ่ยก็ยืนขึ้นทันทีก่อนที่จะหยิบขนมสองสามชิ้นแล้วพูดว่า
“ท่านแม่ ข้าอิ่มแล้ว ข้ากำลังคิดว่าจะลงไปดูท่านพ่อที่ข้างล่างภูเขาสักหน่อย”
หลังจากนั้นลูสุ่ยก็วิ่งออกไปโดยไม่รอคำตอบของหลินยิ่นตงเฟ่ยเลย
เมื่อเห็นลูกชายของเขาแบบนั้น หลินยิ่นตงเฟ่ยก็ส่ายหัวและพูดว่า “ถ้าลูกหิวก็มาหาแม่นะลูก”
หลู่สุ่ยเดินออกจากอาคารของตระกูลลู่ ขณะที่เขากำลังจะก้าวออกไป เจิ้นหวู่และเจิ้นหลิงก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขา
เจิ้นหวู่กล่าวด้วยความเคารพ “นายน้อย ผู้อาวุโสคนลำดับสามของให้ท่านอย่าสร้างปัญหาอะไรก็ตาม เมื่อไปที่ตระกูลมู่เพื่อยกเลิกการหมั้น”
ลู่สุ่ยไม่ตอบ เขาแค่เดินไปข้างหน้าแล้วคิดในใจ “ทำไมถึงได้คอยย้ำข้าแบบนั้นตลอดเลยนะ?”
แล้วเขาเองจะทำแบบนั้นได้หรือไม่?
แต่นั่นมันไม่ใช่เรื่องสำคัญ เขาแค่ต้องการดูว่าการอัปเกรดอุปกรณ์ไปถึงไหนแล้ว
เพราะว่าผู้อาวุโสคนที่สามได้ให้คำมั่นเอาไว้แล้ว
ขณะที่ลงจากภูเขา ลู่สุ่ยถือหินสีทองไว้ในมือข้างหนึ่งและอีกมือหนึ่งถือ 'การก่อตัวของสวรรค์และโลก' โดยเขาวางแผนที่จะอ่านมัน
ในตอนนี้เขาดูเหมือนนักวิชาการที่ขยันขันแข็งอย่างมาก
เจิ้นหวู่และเจิ้นหลิงมองมาที่ลู่สุ่ยและถอนหายใจ นายน้อยของเขากำลังแกล้งทำเป็นฝึกต่อหน้าพวกเขาอยู่หรือไม่?
ข้าคงไม่ได้คิดมากไปหรอกนะ?
ตั้งแต่เมื่อวานที่พวกเขารู้สึกว่านายน้อยนั้นเปลี่ยนไป แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ตอนนี้ เหมือนนายน้อยแกล้งทำเป็นเข้มแข็งมากกว่า
หลังจากเดินมาได้ซักพัก ลู่สุ่ยก็มาถึงเมืองคิวหยุน
“พ่อของข้าอยู่ที่ไหน”? ลู่สุ่ยถาม
เจิ้นหวู่บอกทันทีว่า “ท่านอยู่ทางฝั่งตะวันตกของเมือง”
ลู่สุ่ยพยักหน้าและเดินไปทางตะวันตกของเมือง หลังจากก้าวไปไม่กี่ก้าว เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังลอยมาหาเขา
ทันทีที่มันลอยมาถึง ลู่สุ่ยก็ก้าวถอยหลังเล็กน้อยก่อนที่มันจะตกลงมาต่อหน้าเขา
มันเป็นแอปเปิ้ลที่ถูกกัดแล้ว
ทันใดนั้นก็มีเสียงแปลกๆดังขึ้น “อ้าว นั่นทายาทคนโตของตระกูลลู่ ลู่สุ่ยไม่ใช่เหรอ? ข้าไม่ได้พบเจ้ามาหลายปีจนข้าเกือบจะจำเจ้าไม่ได้แล้วนะเนี่ย”
ลู่สุ่ยหันไปมอง นั่นเป็นเสียงของชายหนุ่มที่เขาจำไม่ได้
เมื่อเห็นว่าชายคนนั้นกำลังมองมาที่เขา ชายหนุ่มก็พูดว่า “นายน้อยลู่ แอปเปิ้ลของข้าไปโดนท่านหรือเปล่า?”
ลู่สุ่ยเหลือบมองเขาและพูดว่า “ระวังปากของเจ้าหน่อย”
เมื่อได้ยินลู่สุ่ยพูดแบบนั้น เจิ้นหวู่ก็เคลื่อนไหวทันที
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้น
ชายหนุ่มคนนั้นถูกตีและล้มลงกับพื้น เขาดูตกตะลึงอย่างมาก
ลู่สุ่ยมองไปที่เขาและพูดว่า “พูดได้ดีนี่ ทำไมถึงกล้าพูดกับข้าแบบนั้นกัน”?
ทำเป็นเล่นลิ้นพูดแบบนี้กับข้า เจ้ากำลังดูถูกข้างั้นเหรอ?
ชายหนุ่มยืนขึ้นโดยจับที่ใบหน้าของเขา เขาพูดว่า “ลู่สุ่ย เจ้าทำเกินไปแล้ว”
เจิ้นหวู่และเจิ้นหลิงที่ยืนอยู่ด้านซ้ายและขวาของลู่สุ่ยพร้อมที่จะทำตามคำสั่งของเขา
ลู่สุ่ยจ้องมองชายหนุ่มคนนั้นอย่างเฉยเมย
ทันใดนั้นมีคนวิ่งไปหาชายหนุ่มและพูดว่า “นายน้อย ท่านไหวไหม?”
“นายน้อย อีกฝ่ายเป็นนายน้อยคนที่สองของตระกูลเฉียว เฉียวกาน ดูเหมือนว่าเขาจะมาคุยเรื่องบางอย่างกับผู้อาวุโสลำดับสาม ข้าได้ยินมาว่าหัวหน้าตระกูลของพวกเขาอายุพอๆกับผู้อาวุโสลำดับสามของเรา”
เจิ้นหลิงกังวลว่าลู่สุ่ยจะมีปัญหา เธอจึงเตือนลู่สุ่ยล่วงหน้า
เธอหวังว่าลู่สุ่ยจะไม่โดนชายหนุ่มคนนั้นยั่วยุ
เพราะว่าอีกฝ่ายนั้นเก่งมากหากลู่สุ่ยจะสู้จริงๆ มันจะทำให้ลู่สุ่ยแพ้และต้องอับอายหนักกว่าเดิม