บทที่ 13: ศิษย์นักสู้ขั้นสูง
บทที่ 13: ศิษย์นักสู้ขั้นสูง
ตลอดทั้งเช้า นอกจากการเก็บฟองสบู่ค่าคุณสมบัติที่คนอื่นดรอปออกมาแล้ว หวังเต็งก็ยังมองหาคู่ท้าดวลอีกด้วย
ฟุตเวิร์ค ทักษะหมัด ทักษะดาบ และทักษะมีดตราบใดที่เขาต้องการ เขาก็จะสามารถหาคนมาท้าดวลกับเขาได้
และการกระทำนี้เองที่ทำให้เขาได้ชื่อเล่นว่า คลั่งไคล้การต่อสู้ มันเริ่มแพร่กระจายไปในหมู่ลูกศิษย์โดยไม่รู้ตัว และไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนเริ่มชื่อเล่นนี้
“อย่าให้ฉันรู้นะว่าใครมันเป็นคนคิดชื่อนี้!”
เมื่อหวังเต็งได้ยินใครเรียกเขาด้วยชื่อเล่นนี้ ใบหน้าของเขาก็จะเปลี่ยนเป็นสีดำทั้งหน้า
อะไรวะ!
เรามีความแค้นอะไรกัน? ทำไมถึงต้องมาใส่ร้ายฉันแบบนี้
“อา… ชู่ว!”
เจ้าอ้วนหวู่เหลียงกำลังรับประทานอาหารกลางวันที่โรงอาหาร และทันใดนั้นเขาก็จามออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
เขาสำลักและข้าวในปากของเขาก็ลอยกระเด็นขึ้นไปทางจมูกของเขา จากนั้นเศษข้าวก็ไหลลงมาจากจมูกพร้อมกับน้ำมูกของเขา ซึ่งมัน็เป็นภาพที่น่าขยะแขยงเป็นอย่างมาก
เขาลูบจมูกและพูดด้วยความหงุดหงิดว่า “ทำไมฉันถึงจามโดยไม่มีเหตุผลกันนะ? นี่มันมีคนนินทาฉันลับหลังรึเปล่านะ?”
…
หวังเต็งมองไปที่หน้าต่างค่าคุณสมบัติของเขา กำไรจากชั้นสองนั้นมหาศาล ซึ่งมันก็ทำใฝห้ตอนนี้ค่าคุณสมบัติส่วนใหญ่ของเขาใกล้เคียงกับศิษย์นักสู้ขั้นสูงแล้ว
ความรู้แจ้ง: 35
ร่างกาย: 66
ความแข็งแกร่ง: 621
ความเร็ว: 323
เทคนิคการต่อสู้: ทักษะหมัดขั้นพื้นฐาน (ผู้สัมฤทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่), ฟุตเวิร์คขั้นพื้นฐาน (ผู้สัมฤทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่), ทักษะดาบขั้นพื้นฐาน (ผู้สัมฤทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่), ทักษะมีดขั้นพื้นฐาน (ผู้สัมฤทธิ์)
ข้อกำหนดสำหรับศิษย์นักสู้ขั้นสูงคือร่างกาย 70 ความแข็งแกร่ง 700 กก. และความเร็ว 100 เมตรใน 5 วินาที
เขาแค่ต้องฝึกให้หนักขึ้นในตอนบ่าย และศิษย์นักสู้ขั้นสูงก็จะไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันสำหรับเขา!
เทคนิคการต่อสู้ขั้นพื้นฐานของเขาได้รับการอัพเกรดแล้วเช่นเดียวกัน ทักษะหมัด ทักษะดาบ และฟุตเวิร์คของเขาก้าวหน้าจากขั้นผู้สัมฤทธิ์ ไปสู่ขั้นผู้สัมฤทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่ ขณะที่ทักษะมีดของเขาเปลี่ยนจากขั้นผู้ชำนาญไปเป็นขั้นผู้สัมฤทธิ์
กล่าวโดยสรุปคือ ความสามารถของเขาได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
น่าเสียดายที่เขาไม่ได้รับเทคนิคการต่อสู้ใหม่ๆในวันนี้ ดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่จะเลือกเทคนิคการต่อสู้สองสามข้อเหล่านี้เพื่อฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ
หวังเต็งเดินออกจากอาคารฝึกและมุ่งหน้าไปที่โรงอาหารของสถาบันสอนศิลปะการต่อสู้
เขาได้เรียนรู้จากจางเส้าหยางและนักเรียนอีกสองสามคนว่สมันมีโรงอาหารอยู่ในสถาบันแห่งนี้ด้วย
ถ้าคุณมีเงิน คุณก็จะกินอะไรก็ได้ในนี้ และแม้ว่าคุณจะต้องการกินอาหารที่ทำมาจากเนื้อสัตว์อสูรดารา แต่พวกเขาก็จะยังมีขายให้สำหรับคุณ!
สัตว์อสูรดาราเหล่านี้ถูกนักสู้จากสถาบันสอนศิลปะการต่อสู้ฆ่าตายและขายมันให้กับทางสถาบันเพื่อแลกกับคะแนนหรือเงิน ดังนั้นสถาบันสอนศิลปะการต่อสู้จึงมีวัตุดิบเป็นเนื้อสัตว์อสูรดารามากมายเมื่อเทียบกับที่อื่น
และมันก็รวมถึงสัตว์อสูรดาราหายากที่หาซื้อภายนอกไม่ได้
สถาบันสอนศิลปะการต่อสู้ได้จ้างผู้เชี่ยวชาญของฟอร์สเชฟมาดูแลวัตถุดิบเหล่านี้เป็นพิเศษ
ฟอร์สเชฟนั้นเป็นอาชีพรองของนักสู้
ฟอร์สเชฟทุกคนจะมีพลังฟอร์สอยู่ภายในร่างกาย และหากใครต้อการที่จะจัดการกับวัตถุดิบที่มีพลังฟอร์สเหล่นี้ พวกเขาก็จะต้องเป็นพวกนักสู้
นักสู้เป็นพ่อครัว? แค่คิดก็ตลกแล้ว
อย่างไรก็ตาม อาหารที่ปรุงโดยปรมาจารย์แห่งฟอร์สนั้นก็ไม่ใช่ธรรมดา พวกมันจะเป็นประโยชน์ต่อนักสู้อย่างมากเมื่อพวกเขากินมันเข้าไป
วิธีการเตรียมอาหารทั้งหมดเหล่านี้นั้นล้วนมาจากทวีปซินหวู่ และแม้แต่ชื่อของอาชีพนี้เองก็ยังมีต้นกำเนิดมาจากที่นั่น
เงินเดือนของฟอร์สเชฟนั้นสูงมาก แม้ว่าอาชีพของพวกเขาจะไม่ต้องออกไปผจญอันตรายอะไร แต่เหล่านักสู้ทุกคนต่างก็ยกยอพวกเขา เนื่องจากนักสู้เหล่านั้นต่างก็ต้องการที่จะลิ้มลองอาหารที่พวกเขาทำ ด้วยเหตุนี้เอง สถานะของฟอร์สเชฟจึงค่อนข้างสูงมาก
ระหว่างทางไปโรงอาหาร หวังเต็งก็ได้ถามจางเส้าหยางด้วยความสงสัย “นายกำลังบอกว่าโรงอาหารของสถาบันแห่งนี้มีอาหารฟอร์สด้วยอย่างัง้นหรอ?”
จางเส้าหยางอธิบายว่า “ ใช่ สถาบันของเราเป็นหนึ่งในสามสถาบันสอนศิลปะการต่อสู้ชั้นนำของประเทศ ดังนั้นเราจึงสามารถจ้างฟอร์สเชฟมาได้
“ในปัจจุบันนี้ หลังจากการลองผิดลองถูกของฟอร์สเชฟ อาหารจานใหม่ก็ได้ถูกสร้างขึ้นโดยอิงมาจากจานอาหารของโลกอื่น”
“อาหารฟอร์สจากโลกอื่นนั้นมีให้บริการที่ชั้นสามของโรงอาหารเท่านั้น และปกติแล้ว มันก็มีเฉพาะนักสู้เท่านั้นที่จะไปที่นั่นได้ เพราะศิษย์ทั่วไปนั้นไม่มีเงินมากพอจะซื้อมัน”
หวังเต็งพยักหน้า เขาตกใจและถามต่อว่า “โอ้? เราสามารถพบนักสู้ที่นี่ได้ด้วยอย่างงั้นหรอ?”
“แน่นอน แต่พวกเขาก็มีกันไม่มาก ปกติแล้วนักสู้ส่วนใหญ่จะไปสำรวจทวีปซินหวู่หรือทำภารกิจบางอย่างที่ได้รับมาจากสถาบันสอนศิลปะการต่อสู้ พวกเขาจะไม่ใช้เวลามากนักในสถาบันศิลปะการต่อสู้” จางเส้าหยางอธิบายอย่างละเอียด
หวังเต็งพยักหน้าขณะที่เขาขยายความรู้ต่อไป “ว่าแต่อาหารฟอร์สนี่มันราคาแพงมากไหม?”
“อาหารฟอร์สนั้นไม่ได้แพงไปหมด โดยปกติแล้วอาหารฟอร์สจะมีราคาประมาณหลักหมื่น อย่างไรก็ตาม หากวัตถุดิบหรือการปรุงนั้นมีความยาก ราคาของมันก็จะพุ่งสูงขึ้นไปอีก โดยบางจานก็อาจจะมีราคาพุ่งสูงขึ้นถึงหลักล้านหรือสิบล้าน” จางเส้าหยางกล่าง
พระเจ้าช่วย แม้แต่พ่อครัวมิชลินก็ไม่อาจทำอาหารแพงขนาดนั้นได้
หวังเต็งรู้สึกประหลาดใจ
มื้อเดียวก็มีราคาถึงหลักล้าน? นี่นักรบพวกนี้มันเป็นมหาเศรษฐีรึยังไงกันนะ?
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ไปที่ชั้นสามของโรงอาหาร เขาไปกินข้าวที่ชั้นหนึ่งกับจางเส้าหยางและศิษย?คนอื่นๆ
ค่าอาหารหลักล้าน แค่คิดก็ไม่กล้าแล้ว
แม้ว่าเขาอยากจะกิน แต่เขาก็จะรอจนกว่าเขาจะได้เป็นนักสู้และสามารถหารายได้หลักร้อยล้านได้อย่างง่ายดายเสียก่อน และเมื่อถงเวลานั้น เขาก็จะให้พ่อแม่ของเขาได้ลิ้มรสอาหารฟอร์สเหล่านั้นด้วยกัน”
หลังจากกินเสร็จ เขาก็พักสักชั่วโมง
จากนั้นเขาก็เริ่มฝึกต่อในตอนบ่าย
หวังเต็งคว้ามีดข้นมาและเริ่มทาดวลกับศิษย์คนอื่นๆไปทั่ว โดยเขามองหาผู้ที่ฝึกฝนทักษะมีดขั้นพื้นฐานเป็นหลัก
ในบรรดาเทคนิคการต่อสู้ทั้งหมดของเขา มันก็มีเพียงทักษะมีดของเขาเท่านั้นที่อยู่ในระดับผู้สัมฤทธิ์
มนุษย์ต้องมีความเท่าเทียม เขาต้องการให้ทักษะใดทักษะหนึ่งด้อยเกินไปหือโดดเด่นเกินไป ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะยกระดับทักษะมีดขั้นพื้นฐานของเขาไปสู่ระดับขั้นผู้สัมฤทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่เสียก่อน”
เวลาในช่วงบ่ายผ่านไป เวลาหลายชั่วโมงหายไปในพริบตา และค่าคุณสมบัติทั้งหมดของหวังเต็งก็ได้ทะลุเกณฑ์ของศิษย์นักสู้ขั้นสูงไปแล้ว
นั่นหมายความว่าในที่สุด ตอนนี้เขาก็ได้กลายเป็นศิษย์นักสู้ขั้นสูงแล้ว
ในบรรดาศิษย์นักสู้ ตอนนี้เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของศิษย์นักสู้ขั้นสูงแล้ว
ทักษะมีดขั้นพื้นฐานของเขาเองก็มาถึงขั้นผู้สัมฤทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่แล้วเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ฟุตเวิร์ค ทักษะหมัด และทักษะดาบของเขาก็ได้ไปถึงขั้นผู้เชี่ยวชาญแล้วโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งนั่นก็ทำให้ทักษะมีดของเขายังคงล้าหลังอยู่เหมือนเดิม
เกิดอะไรขึ้นกับความเป็นธรรม?
ทุกอย่างดูเหมือนจะพัฒนาขึ้นเร็วเกินไปเล็กน้อย! และมันก็ทำให้หวังเต็งรู้สึกหมดหนทางในใจ
ชีวิตของเขามันช่างโดดเดี่ยวเหลือเกิน!
หวังเต็งตัดสินใจที่จะอยู่บนชั้นสองต่อไปอีกสองสามวัน เขายังคงสามารถเพิ่มค่าคุณสมบัติของเขาได้
มันอาจจะมีค่าคุณสมบัติเพิ่มเติมสำหรับเขาที่จะรวบรวมบนชั้นสามก็จริง แต่การรออีกสักสองสามวันนั้นมันก็ไม่ได้แย่อะไร
ตอนกลางคืนหวังเต็งกลับบ้านและทานอาหารเย็นกับพ่อแม่ของเขา จากนั้นเขาก็กลับไปที่สถาบันอีกครั้ง
เขาฝึกฝนจนถึง 23.00 น. ก่อนที่เขาจะกลับบ้านในที่สุด
หลังจากอาบน้ำเสร็จ เขาก็นอนลงบนเตียงและเปิดหน้าต่างค่าคุณสมบัติของเขาอย่างเงียบๆเพื่อดู
ความรู้แจ้ง: 43
ร่างกาย: 84
ความแข็งแกร่ง: 964
ความเร็ว: 53
เทคนิคการต่อสู้: ทักษะหมัดขั้นพื้นฐาน (ผู้เชี่ยวชาญ), ฟุตเวิร์คขั้นพื้นฐาน (ผู้เชี่ยวชาญ), ทักษะดาบขั้นพื้นฐาน (ผู้เชี่ยวชาญ), ทักษะมีดขั้นพื้นฐาน (ผู้สัมฤทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่)
ไม่เลว เมื่อพิจารณาจากคุณสมบัติแล้ว เขาก็อยู่เหนือกว่าค่าเฉลี่ยของศิษย์นักสู้ขั้นสูงทั่วไปมาก
ตราบใดที่หวังเต็งไม่ได้ไปปะทะเข้ากับพวกนักสู้ เขาก็จะสามารถเอาชีวิตรอดได้อย่างแน่นอน
เขาหมกมุ่นอยู่กับความคิดขณะที่เขานอนอยู่บนเตียง หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ค่อยๆเข้าไปในดินแดนแห่งความฝัน
วันรุ่งขึ้น หวังเต็งตื่นเช้าตามปกติ วันนี้เป็นวันจันทร์ และเขาก็ต้องไปโรงเรียน
เขาเกือบลืมไปว่าเขายังเป็นนักเรียนมัธยมปลายอยู่
แม้ว่าเขาจะเพิ่งกลัชาติมาเกิดใหม่ แต่เขาก็ยังมีความคิดในแบบผู้ใหญ่ และมันก็บังเอิญที่ตอนนั้นเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ดังนั้นเขาจึงไปฝึกศิลปะการต่อสู้ของเขา และเขาก็ไม่ได้ทำในสิ่งที่นักเรียนมัธยมปลายควรทำ
ในตอนเช้าทุกคนนั่งรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน
หวังเฉินกั๋วกินข้าวต้มและพูดว่า “แม้ว่าตอนนี้ลูกจะกำลังฝึกศิลปะการต่อสู้อยู่ แต่ลูกก็จะต้องไม่ลืมเรื่องการเรียนของลูกนะ มันมีหลักสูตรศิลปะการต่อสู้ที่มหาวิทยาลัย ถ้าลูกสามารถเป็นศิษย์ขั้นสูงได้ก่อนการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ลูกก็จะสามารถเข้าไปสมัครได้”
มันเป็นทางเลือกที่ดีถ้าเขาสามารถเข้าโรงเรียนทหารได้ หลังจากที่เขาจบการศึกษา
“ในทุกวันนี้ ยศทหารก็มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับศิลปะการต่อสู้ของแต่ละคน อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบัน มันก็มีเพียงนักสู้ที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนทหารที่ได้รับการยอมรับเท่านั้นที่จะสามารถเข้ารับตำแหน่งทางทหารได้ บัณฑิตนักสู้จากมหาวิทยาลัยปกติจะไม่ได้รับสิทธิพิเศษนี้”
หวังเต็งพยักหน้าและเริ่มครุ่นคิด
ประเทศได้รับการคุ้มครองที่ดีที่สุด ถ้าเขาสามารถเข้าโรงเรียนทหารและได้รับยศทหารหลังจากที่เขาสำเร็จการศึกษาได้ มันก็จะเป็นทางออกที่ดีเช่นกัน
แน่นอน แม้ว่าเขาจะเข้ามหาวิทยาลัยปกติ แต่มันก็ย่อมมีประโยชน์มากมายสำหรับนักสู้ เพราะยังไงซะพวกเขาก็ยังสามารถตั้งกลุ่มกันเองได้ และนั่นก็ทำให้พวกเขามีอิสระมากกว่าการผูกหน้าที่กับทางการ
ดูเหมือนว่าถ้ามีความเป็นไปได้ เขาก็ควรจะเข้ามหาวิทยาลัยที่ดี ในท้ายที่สุดแล้วแม้ว่าเขาจะมีบั๊กอยู่ แต่ยังไงก็ตาม เขาก็ยังต้องการเวลาในการเจริญเติบโตเช่นกัน
ก่อนที่เขาจะกลายเป็นคนที่มีอำนาจมากพอที่จะไม่สนใจกฎเกณฑ์ทั้งหมด ทางออกที่ดีที่สุดก็คือการหาคนสนับสนุนที่แข็งแกร่ง
ปัญหาคือ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตในอดีตหรือปัจจุบัน เขาก็ไม่เคยตั้งใจเรียนหนังสือที่โรงเรียนมาก่อน ดังนั้นผลการเรียนของเขาจึง... แย่มาก