ตอนที่แล้วWS บทที่ 133 บริวาร PART 2
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปWS บทที่ 135 ความเข้ากันได้

WS บทที่ 134 อุณหภูมิ


เมอร์ลินเปิดภาชนะแก้วออก เขาเห็นของเหลวสีดำเข้ม ส่งกลิ่นเหม็นที่น่าขยะแขยงออกมา

“นะนี่คือน้ำยาห้ามเลือดเหรอ?”

สีหน้าของเมอร์ลินเต็มไปด้วยความสับสน ตามคำอธิบายที่พ่อมดฮาวล์ได้บอกเขามาก่อนหน้านี้ว่า น้ำยาห้ามเลือดจะเป็นสีดำและมีกลิ่นสดชื่นจาง ๆ ออกมา แล้วทำไมของที่เขาสร้างถึงได้ออกมาเป็นแบบนี้

“ยังไงก็เถอะมาลองก่อนดีกว่า”

แม้ว่าน้ำยาห้ามเลือดของเขาจะแตกต่างไปจากปกติ แต่อย่างน้อย ๆ เขาก็ขอลองทดสอบมันดูก่อนจะตัดสินมัน

*ฉัวะ*

เมอร์ลินใช้กริชกรีดแขนของตัวเองหลายครั้งโดยไร้ความปรานีแต่บาดแผลที่เขาได้รับเป็นเพียงบาดแผลตื้น ๆ เท่านั้น นี่แสดงให้เห็นว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งถึงเพียงใด

หลังจากที่เขากรีดแขนของแล้ว เมอร์ลินรีบเทน้ำยาห้ามเลือดลงบนแผลของเขา

เลือดที่ไหลออกมาได้แข็งตัวอย่างรวดเร็ว แต่ทันในนั้นเอง เขารู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา จากนั้นบาดแผลบนแขนของเขาเน่าเปื่อยด้วยความเร็วที่ตกใจ

เมอร์ลินตกใจมาก เขารีบคว้ากริชเฉือดเนื้อเน่าตรงนั้นออก ก่อนที่มันจะลามไปมากกว่านี้

เขาขมวดคิ้วมองดูชิ้นเนื้อเน่าบนพื้น เขารู้เจ็บตรงแขน ดูเหมือนว่าน้ำยาห้ามเลือดของเขาล้มเหลวอย่างไม่มีข้อสงสัย

ตัวเขาไม่ได้สนใจอาการบาดเจ็บของเขามากนัก ด้วยคุณสมบัติทางร่างกายของเขาในตอนนี้บาดแผลพวกนี้จะหายดีภายในสองสามวัน

แต่เขารู้สึกสับสน เขาไม่รู้ว่าทำพลาดตรงไหน เขาทำตามทุกขั้นตอนอย่างเคร่งครัดแถมยังใส่ส่วนผสมตามเดอะเมทริกซ์บอกอย่างเป๊ะ ๆ แต่ทำไมผลลัพธ์ถึงล้มเหลว

“สิ่งสำคัญของการปรุงยาก็คือการควบคุมปริมาณส่วนผสมและขั้นตอนในการปรุงยาไม่่เหรอ?”

เมอร์ลินกลับมาทวนขั้นตอนการปรุงยาและปริมาณส่วนผสมของยาอย่างระมัดระวังอีกครั้ง เขาทำตามอย่างเคร่งครัดแถมยังใช้เครื่องวัดอย่างแม่นยำด้วย ทำไมมันถึงล้มเหลวได้

เขาได้เปิดบันทึกในเดอะเมทริกซ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าและไม่ได้มีส่วนที่เขาทำพลาดเลย

ด้วยความผิดพลาดนี้ ทำให้เขาไม่กล้าสร้างน้ำยามนตราอสูร เขาต้องค้นหาสาเหตุเสียก่อน เนื่องจากส่วนผสมของน้ำยามนตราอสูรมีค่ามากและภายในแหวนก็มีไม่มากนัก

“ไฟ จริงสิ มันจะต้องเกี่ยวกับไฟ ต้องมีตัวแปรอย่างบางที่เกี่ยวข้องกับความร้อน”

ความคิดนี้ได้แวบเข้ามาในหัวของเมอร์ลิน สำหรับการปรุงยานั้นมันจะมีเรื่องของความร้อน ความเย็นเข้ามาเกี่ยวข้อง

บางที ในระหว่างที่เขาปรุงยา เขาไม่สนใจเรื่องอุณหภูมิมากนัก มันจึงเป็นเหตุให้การปรุงยาล้มเหลว มันก็เหมือนการทำอาหาร แม้ว่าคุณจะทำตามสูตรอย่างเป๊ะ ๆ แต่ถ้าคุณควบคุมไฟได้ไม่ดี อาหารของคุณจะรสชาติเปลี่ยนไปจากสูตรเลย

เรื่องพวกนี้แม้แต่เดอะเมทริกซ์ก็ไม่สามารถควบคุมได้อย่างแม่นยำ มันต้องใช้ประสบการณ์และผ่านจะทดลองหลายต่อกลายครั้ง

แต่การทำแบบนี้ทำให้เขาสูญเสียทรัพยากรโดยใช่เหตุ โชคดีที่เขาไม่เหมือนนักเวทย์ทั่วไป เขาสามารถลดจำนวนการทดลองพวกนั้นไปด้วยเดอะเมทริกซ์ เขาจะยังทำตามขั้นตอนตามเดิมเพิ่มเติมคือให้เดอะเมทริกซ์โฟกัสไปที่อุณหภูมิในระหว่างปรุงยา

แม้ผลลัพธ์ในครั้งที่สองจะล้มเหลวแต่เขาสามารถนำข้อพลาดนี้ไปปรับใช้ในครั้งที่สาม โดยครั้งที่สามเขาประสบความสำเร็จโดยมีอัตราสำเร็จอยู่ที่ 30%

แม้อัตราความสำเร็จจะน้อยจนน่ากลัว แต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับพ่อมดฮาวล์ที่ศึกษาศาสตร์ปรุงยามาอย่างยาวนาน เขาก็ปรุงน้ำยาห้ามเลือดสำเร็จเพียง 30% เท่านั้น

ด้วยเวลาอันจำกัด เมอร์ลินจึงไม่คิดจะทุ่มเวลาทั้งหมดให้กับการปรุงยา เขาไม่ต้องการเป็นปรมาจารย์ด้านการปรุงยาแต่เขาอยากเป็นจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่

เมอร์ลินใช้เวลาในช่วงนี้หมดไปกับการทำคุ้นเคยกับการควบคุมไฟ เมื่อเขามั่นใจตัวเองเชี่ยวชาญมากพอแล้วและอัตราความสำเร็จของน้ำห้ามเลือดได้เพิ่มขึ้น ทำให้ตอนนี้เขามีความมั่นใจที่จะสร้างน้ำยามนตราอสูร

ส่วนเรื่องเลอแรนก้า นับตั้งแต่ที่เขากับได้ร่วมรักกัน เขาก็ไม่เห็นเธออีกเลย แม้ว่าเขาจะไม่ลืมช่วงเวลาแห่งความสุขที่ได้สร้างร่วมกันกับเธอแต่เขาก็ไม่คิดจะไปตามหาเธอแต่ทุ่มเทเวลาทั้งหมดของเขาไปกับกับการปรุงยาและการทำสมาธิ

เพราะในท้ายที่สุด เขาต้องเตรียมให้พร้อมสำหรับงานชุมนุมนักเวทย์ที่กำลังมาถึงขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า

...

ไม่กี่วันต่อมา ในที่สุดเลอแรนก้าได้ปรากฏตัวต่อหน้าเมอร์ลิน ตอนนี้เธอได้จัดการธุระต่าง ๆ เสร็จหมดแล้วและในไม่ช้าเธอจะถูกส่งออกจากดินแดนมนต์ดำ

ดังนั้นในช่วงสองสามวันนี้จะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่เธอจะได้อยู่กับเมอร์ลิน

หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้ร่วมกันเสพสุขหลายต่อหลายครั้ง จนที่สุดเลอแรนก้าทิ้งตัวลงนอนอย่างอ่อนแรง เธอโอบกอดเมอร์ลินและถอนหายใจเบา ๆ แล้วพูดว่า

“เมอร์ลิน อีกไม่กี่วันฉันจะไปจากที่นี่แล้ว ฉันมีบางอย่างต้องบอกคุณ ตระกูลของฉันเป็นเพียงตระกูลนักเวทย์ขนาดเล็ก นักเวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นเพียงนักเวทย์ระดับสามเท่านั้นซึ่งท่านได้หายตัวไปหลายปีแล้ว ส่วนนักเวทย์ระดับหนึ่งก็มีไม่กี่คน ถ้าบ้านไหนที่เด็กที่มีศักยภาพ พวกเขาก็จะถูกไปที่องค์นักเวทย์...”

เลอแรนก้าได้แบ่งปันเรื่องของตระกูลของเธอได้เมอร์ลินฟัง เขารับฟังอย่างตั้งใจเพราะเรื่องพวกนี้ใช่ว่าจะได้ยินบ่อย ๆ

ตระกูลของเธอก่อตั้งขึ้นมาอย่างยาวนานหลายศตวรรษ ด้วยมรดกที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นจึงทำให้ลูกหลานได้มีศักยภาพมากพอที่จะเข้าองค์กรนักเวทย์

อย่างไรก็ตามมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถกลายเป็นนักเวทย์ระดับหนึ่งได้ คนที่ล้มเหลวแบบเลอแรนก้า หลังจากออกจากองค์กรนักเวทย์ พวกเขาจะไม่ได้รับทรัพยากรใด ๆ จากตระกูลเลย หากอยากเห็นนักเวทย์ระดับหนึ่ง พวกเขาต้องดิ้นรนเอาเอง ด้วยความลำบากที่ต้องเผชิญ ในที่สุดพวกเขาก็ต้องยอมแพ้ไป

ด้วยเหตุนี้ทำให้ใครหลายคนต้องทำทุกวิถีทางเพื่อจะให้ได้อยู่ที่นี่ ดังที่เลอแรนก้าได้กล่าวไว้ว่า ในบางครั้งก็ต้องสินใจไม่ว่ามันจะถูกหรือผิดก็ตาม

“ไม่ต้องห่วง ฉันจะจำตระกูลชาเดอสันแห่งเมืองโทลเล่ไว้ขึ้นใจ ฉันจะไปรับคุณมาให้เร็วที่สุด” เมอร์ลินกล่าวด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่นละแน่วแน่

เลอแรนก้าเม้มริมฝีปากเล็กน้อย จากนั้นก็เผยรอยยิ้มจาง ๆ ออกมา “ฉันจะรอคุณ นักเวทย์หกธาตุระดับหนึ่งแห่งดินแดนมนต์ดำ”

หลังจากพูดจบ เธอก็มองเมอร์ลินด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง เมื่อสายตาของเมอร์ลินได้สอดประสานกับเธอ เขาก็ได้โน้มไปจูบกันและดื่มด่ำช่วงเวลาแห่งความสุขอีกครั้ง

...

3วันต่อมา เลอแรนก้าออกจากดินแดนมนต์ดำ ก่อนออกไป เธอได้นำแต้มสนับสนุนและเหรียญทองทั้งหมดที่เธอได้จากตระกูล พวกมันทั้งหมดถูกแปลงเป็นแต้มบริจาคให้กับเมอร์ลิน

ทำให้ตอนนี้เขามีแต้มบริจาคทั้งหมด 150แต้มซึ่งค่อนข้างมากสำหรับนักเวทย์ที่เพิ่งเข้าร่วมองค์กรอย่างเขา

ดังนั้นเขาจึงไปที่หอสมุดเพื่อมองหาน้ำยาที่เพิ่มพลังจิตแบบเดียวกับน้ำยามนตราอสูร

แต่น่าเสียดายที่เขาไม่พบของที่เขาต้องการ เขาพบเพียงแค่สูตรน้ำยาโบราณ มันเขียนได้ว่ามีโอกาสทำให้พลังจิตเพิ่มขึ้น

ด้วยความไม่แน่นอนประจวบกับแต้มที่ต้องใช้แลกนั้นสูงลิบลิ่วแบบที่เมอร์ลินไม่สามารถเอื้อมถึง

นั่นทำให้เมอร์ลินไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น พวกสูตรพวกนี้ถึงมีราคาสูงกว่าอุปกรณ์เวทมนต์บางชิ้น เขาจึงนำข้อสงสัยนี้ไปถามพ่อมดชุดในหอสมุด พวกเขาได้บอกว่าที่ตั้งราคาแบบนี้ก็กันไว้สำหรับนักเวทย์ระดับสี่ขึ้นไป สำหรับนักเวทย์ระดับเริ่มต้นราคาพวกนี้ มันสูงมากแต่สำหรับนักเวทย์ระดับสี่ขึ้นไปราคาแค่นี้ถือว่าเล็กน้อยมาก

อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้บอกอีกว่า พวกเขามีแค่สูตรยาเท่านั้น พวกส่วนผสมไม่มี คนที่แลกสูตรต้องเป็นคนค้นหาส่วนผสมด้วยตัวเอง

เรื่องนี้ทำให้เมอร์ลินตกใจมาก เขาจึงไม่แปลกใจที่ไม่มีคนไหนสนใจสูตรยาพวกนี้

เมอร์ลินได้มองหาพวกส่วนผสมที่เขียนไว้ในสูตรของน้ำยามนตราอสูร เขาพบว่าที่นี่แทบจะไม่มีเช่นกัน ส่วนที่มีก็มีราคาสูงมาก

นั่นทำให้เมอร์ลินตระหนักได้ถึงความโหดของการเป้นนักเวทย์ นั่นก็คือการขาดแคลนทรัพยากร

นั่นทำให้เมอร์ลินไม่แปลกเลยที่เลอแรนก้าจะยอมแลกอิสรภาพของตัวมาเป็นบริวารของเขา เพียงจะได้อยู่ในดินแดนมนต์ดำ สำหรับโลกภายนอกนั้น การหาทรัพยากรต่าง ๆ นั้นมันยากมากนักเวทย์ทุกคนล้วนอยากเข้าร่วมกับองค์กรนักเวทย์ก็เพื่อที่จะเข้าถึงแหล่งทรัพยากรเพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น

“ดูเหมือนว่าฉันจะต้องปรุงน้ำยาอสูรมนตราด้วยความระมัดระวังมากยิ่งขึ้นไปอีก ไว้ฉันเริ่มคุ้นเคยกับการปรุงยาให้ถี่ถ้วนซะก่อน ฉันถึงจะเริ่มลงมือทำ”

งานชุมนุมนักเวทย์ก็ใกล้เข้าทุกวัน เมอร์ลินต้องการเพิ่มพลังจิตให้รวดเร็วที่สุดเพื่อให้พร้อมสำหรับการสร้างคาถาระดับหนึ่งเพลิงพิโรธ

ดังนั้นเมื่อเมอร์ลินเข้าใจถึงวิธีการปรุงยาได้อย่างถ่องแท้เมื่อไหร่ เขาก็จะพร้อมสร้างน้ำยามนตราอสูร

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด