201 - พี่หวังให้ข้ามาช่วยท่าน
201 - พี่หวังให้ข้ามาช่วยท่าน
เอี้ยนลี่เฉียงลูบจมูกของเขาอย่างเชื่องช้า ขณะที่เขามองดูสาวใช้สองคนจากตระกูลลู่ก้มหน้าลงและรีบหลบสายตาจากเขาพร้อมกับเดินหนีด้วยความระมัดระวัง
ลู่เป่ยซินอาศัยอยู่ทางทิศตะวันตกของลานด้านหลัง ซึ่งถือได้ว่าเป็นห้องชั้นในของคฤหาสน์อันโอ่อ่าของตระกูลลู่
ผู้หญิงหลายคนอยู่ในห้องชั้นในและโดยปกติแม้แต่คนรับใช้ชายของตระกูล ลู่ก็ถูกห้ามไม่ให้มาที่นี่ นับประสาคนนอก
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครหยุดเขาเมื่อเขามาที่นี่ในวันนี้ ผู้คุ้มกันและสาวใช้ทั้งหมดในตระกูลลู่ปฏิบัติต่อเขาเหมือนอากาศ
ดูเหมือนว่าสถานะของเขาในฐานะลูกเขยในอนาคตของตระกูลลู่จะเป็นที่ทราบกันถ้วนทั่วแล้ว ถ้าเขาปฏิเสธการแต่งงานในอนาคต เขาสงสัยว่าผู้เฒ่าลู่จะจ้างคนมาเอาชีวิตของเขาหรือไม่
เอี้ยนลี่เฉียงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ครู่หนึ่งก่อนจะผลักประตูลานบ้านเข้าไป
มีหินประดับ สวนเล็กๆ และสระน้ำเล็กๆ อยู่ภายในลานบ้าน ข้างสระน้ำเล็กๆมีศาลาสองชั้น แสงที่ส่องผ่านเข้ามาจากด้านในของศาลาส่องให้เห็นทางเดินแคบๆรอบสระน้ำเล็กๆที่ปูด้วยก้อนกรวด
เอี้ยนลี่เฉียงเดินตามทางแคบๆไปที่หน้าศาลาแล้วเคาะประตู
“ข้าไม่กิน! ข้าไม่กิน! บอกท่านพ่อว่าข้าจะอดตายให้เขาลืมลูกสาวคนนี้ซะ! หากท่านพ่อไม่ปล่อยข้าออกไปข้าจะอดตายจริงๆ? !”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากภายในศาลาและดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยความคับข้องใจไม่รู้จบ
เอี้ยนลี่เฉียงค้นพบจากลู่เปียนว่าลู่เป่ยซินซึ่งอาศัยอยู่ข้างในได้ 'อดอาหารประท้วง' เป็นเวลาสองวันแล้ว วันนี้จะเป็นวันที่สามลู่เป่ยซินได้พูดไปแล้วว่าถ้านายผู้เฒ่าลู่ยังคงบังคับให้ให้นางอยู่ที่นี่นางจะอดอาหารจนตาย
ในช่วงของการถูกจำกัดบริเวณลู่เป่ยซินถูกแยกออกจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง จนถึงตอนนี้นางยังไม่ได้รับข่าวการเสียชีวิตของหวังฮ่าวเฟย
ผู้คนจากตระกูลลู่ไม่กล้าบอกอะไรนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้ว่าลู่เป่ยซินจะดูเหมือนเด็กผู้หญิงที่เชื่อฟัง แต่นางก็มีบุคลิกที่ดื้อรั้นมาก
นายผู้เฒ่าลู่และลู่เปียนต่างกังวลว่านางจะทำอะไรบางอย่างที่แก้ไขไม่ได้หากนางรู้ว่าหวังฮ่าวเฟยถูกงูจงอางฆ่าตายในขณะที่เขากำลังรอพบนาง
ตระกูลลู่จนปัญญาในเรื่องนี้แล้ว
ขณะที่ลู่เป่ยซินกำลังพูดอยู่ข้างใน เอี้ยนลี่เฉียงได้หยิบกุญแจออกมาและปลดล็อคประตูห้องอย่างเงียบๆ เขาเข้าไปในห้องเพื่อพูดคุยกับนางเป็นการส่วนตัว
คุณหนูลู่ซึ่งมีข่าวลือว่า 'อดอาหารประท้วง' เป็นเวลาสามวันกำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนพรมนุ่มๆในห้อง นางกำลังเคี้ยวขนมเปี๊ยะขณะพูดถึงการอดอาหารจนตาย
เนื่องจากนางไม่คิดว่าจะมีใครเข้ามาโดย นางจึงไม่ทันระวัง มือข้างหนึ่งของนางยังคงถือขนมเปี๊ยะที่กินไปแล้วครึ่งหนึ่ง และดูเหมือนว่านางกำลังลำบากใจในการตัดสินใจว่าจะกินต่อหรือโยนทิ้ง
ในเวลานี้คุณหนูลู่รู้สึกประหลาดใจมากเพราะคนที่เข้ามาในห้องคือเอี้ยนลี่เฉียง
ปัจจุบันลู่เป่ยซินแต่งกายด้วยเสื้อขนสุนัขจิ้งจอกสีเหลืองที่เข้ารูปและกางเกงจีบสีเขียวหยก ผมของนางถูกมัดเป็นจุกน่ารักสองอัน
การที่นางนั่งไขว่ห้างบนพรมนุ่มๆนั้น เผยให้เห็นรูปร่างที่งดงามของนางในทันที ที่ที่ควรจะใหญ่ก็ใหญ่ ที่ที่ควรเล็กก็เล็ก ที่ที่ควรเป็นทรงกลมก็กลม และที่ที่ควรจะผอมเพรียวก็ผอมเพียว นางเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์จริงๆ
ภายใต้การจ้องมองของเอี้ยนลี่เฉียงใบหน้าของคุณหนูลู่กลายเป็นสีแดงทันทีก่อนที่นางจะโกรธด้วยความอับอาย หลังจากผลักขนมเปี๊ยะที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งเข้าไปในปากนางก็ยืนขึ้นด้วยความโมโหสุดขีด
"ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่?!"
"ชู่ววว..." เอี้ยนลี่เฉียงยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปาก แล้วลอบมองไปรอบๆตัวเขาอย่างลับๆ “เงียบก่อน...” เขากระซิบ
ลู่เป่ยซินงงงันนางไม่รู้ว่าเอี้ยนลี่เฉียงกำลังทำอะไรอยู่ ดังนั้นนางจึงมองเขาอย่างสงสัย
“พี่หวังฮ่าวเฟยส่งข้ามาที่นี่เพื่อช่วยเจ้า!”
เอี้ยนลี่เฉียงกล่าวเบาๆขณะที่เขาเดินไปหาลู่เป่ยซิน
เมื่อลู่เป่ยซินได้ยินคำพูดของเอี้ยนลี่เฉียงนางก็มีความสุขมากจนกระโดดขึ้นจากพรมนุ่มๆด้วยความปิติยินดี อย่างไรก็ตามในชั่วพริบตาใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความสงสัย
“พวกเจ้ารู้จักกันได้ยังไง แล้วเจ้าเข้ามาที่นี่ได้ยังไง”
“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นนักเรียนของสถาบันศิลปะการต่อสู้ ข้ารู้จักกับพี่หวังและชื่นชมในความองอาจสง่างามของเขาเป็นอย่างมาก
ข้าไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับคุณหนูลู่เลยจนกระทั่งที่หวังเล่าให้ข้าฟังเมื่อสองสามวันก่อนตอนที่ข้ากำลังดื่มกับเขา วันนี้ข้ามีโอกาสมาที่นี่กับท่านลุงและนายผู้เฒ่าลู่ได้ชวนให้เราร่วมดื่มข้าจึงแอบมาหาท่านที่นี่...”
ลู่เป่ยซินยังคงมองหยานหลี่เฉียงอย่างสงสัยและดูเหมือนจะไม่เชื่อเรื่องเราที่เขาพูดอย่างเต็มที่
“ท่านไม่เชื่อคำพูดของข้าหรือคุณหนูลู่ พี่หวังได้คำนวณเรื่องนี้ไว้แล้วเขาบอกให้ค่ากล่าวคำพูดห้าคำแล้วท่านจะยอมเชื่อแน่นอน..” เอี้ยนลี่เฉียงยิ้มอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม
“ห้าคำไหน?”
“ศาลาที่สวนพลัม!”
ตามที่คาดไว้ การแสดงออกบนใบหน้าของลู่เป่ยซินเปลี่ยนไปทันทีที่นางได้ยินห้าคำนั้นจากเอี้ยนลี่เฉียง
สำหรับนางนี่เป็นความลับที่มีแต่นางและหวังฮ่าวเฟยเท่านั้นที่รู้ นางไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใครมาก่อน การที่เอี้ยนลี่เฉียงสามารถพูดออกมาได้อย่างมั่นใจแสดงว่าหวังฮ่าวเฟยต้องเป็นคนบอกเขาแน่นอน
“ฮ่าวเฟยอยู่ที่ไหน” ลู่เป่ยซินรีบวิ่งไปหาเอี้ยนลี่เฉียงทันที นางจับไหล่เขาและถามเขาอย่างกระตือรือร้น
เอี้ยนลี่เฉียงมีสีหน้าจริงจังแล้วกล่าวว่า
“พี่หวังกำลังรอคุณหนูลู่อยู่ในที่ลับ เพื่อประโยชน์ของท่าน เขาได้เตรียมการที่จำเป็นเพื่อพาท่านหนีไปแล้ว ถ้าคุณหนูลู่รู้สึกเช่นเดียวกับพี่หวังข้าจะพาท่านไปพบเขา ถ้าคุณหนูลู่ไม่ได้มีความคิดเช่นนั้นก็ถือว่าข้าไม่เคยพูดเรื่องนี้ออกมา…”
ลู่เป่ยซินลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกัดฟันและตอบว่า “ก็ได้ ข้าจะไปกับเจ้า!”
“เอาล่ะรีบเก็บข้าวของที่จำเป็นแล้วสวมชุดที่หนาที่สุดข้าจะรอท่านอยู่ที่ด้านนอก…”
หลังจากพูดทั้งหมดนี้แล้วเอี้ยนลี่เฉียงก็ออกจากห้องทันทีโดยไม่ได้มองที่ลู่เป่ยซินและรออยู่ข้างนอก
ลู่เป่ยซินยังคงลังเลเล็กน้อยในตอนแรก อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นเอี้ยนลี่เฉียงออกไปและไม่ได้กระตุ้นนางอีก ทันใดนั้นนางก็มีความมุ่งมั่นมากขึ้น
เมื่อพูดถึงเรื่องจิตวิทยาแม้ลู่เป่ยซินจะฉลาดกว่านี้ร้อยเท่าก็ยังไม่สามารถท้าทายเอี้ยนลี่เฉียงได้
ตามที่คาดไว้ลู่เป่ยซินเร็วมาก ในเวลาเพียงไม่ถึงสามนาที นางก็ออกจากห้องพร้อมกับเสื้อผ้าหนาๆและถุงผ้าห่อใหญ่ที่สะพายไว้ด้านหลัง
“ทางนี้…”
เอี้ยนลี่เฉียงนำลู่เป่ยซินไปยังสวนเล็กๆในลานบ้าน เมื่อพวกเขาไปถึงกำแพงลานบ้านเอี้ยนลี่เฉียงก็กระโดดขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเตะกับกำแพงสองสามครั้งและข้ามกำแพงไปอย่างง่ายดายราวกับนกนางแอ่น
ดวงตาของลู่เป่ยซินเป็นประกายเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวร่างกายที่ว่องไวของเขาจากด้านหลัง คงเป็นเรื่องยากที่จะหาใครก็ตามที่มีความว่องไวเช่นนี้ แม้แต่ในสถาบันศิลปะการต่อสู้ก็ตาม
เอี้ยนลี่เฉียงยืนอยู่บนกำแพงและยื่นมือลงมาด้านล่างพร้อมกับพูดว่า
“จับมือข้าไว้ข้าจะดึงเจ้าขึ้นมา…”
ลู่เป่ยซินมองไปที่กำแพงลานสูง จากนั้นมองไปที่มือที่ยื่นออกมาของเอี้ยนลี่เฉียงภายในเวลาไม่ถึงวินาทีนางตัดสินใจยอมรับข้อเสนอของเอี้ยนลี่เฉียง
ข้างนอกมันมืดสนิท สิ่งที่พวกเขาตกใจคือเสียงที่ไม่ชัดเจนของผู้คนในลานด้านหน้า เอี้ยนลี่เฉียง 'ระมัดระวัง' คลำหาทางในความมืด
พวกเขาหลีกเลี่ยงยามลาดตระเวนสองคน และพลิกตัวข้ามกำแพงลานสามกำแพง ก่อนที่พวกเขาจะออกไปนอกคฤหาสน์ใหญ่ของตระกูลลู่
มีม้าแรดยืนอยู่ในตรอกเล็กๆนอกคฤหาสน์
เอี้ยนลี่เฉียงขึ้นม้าก่อนแล้วจึงบอกกับลู่เป่ยซิน
"รีบขึ้นมา!"
“ทำไมถึงมีม้าตัวเดียว เราจะขี่มันได้ยังไง” ลู่เป่ยซินไม่ได้ปีนขึ้นไป แต่กลับจ้องมองที่เอี้ยนลี่เฉียง
“ถ้าคุณหนูลู่คิดว่าข้ามีความสามารถในการขี่ม้าสองตัวพร้อมกันเหตุไฉนท่านไม่คิดว่าข้าควรจะเอาเกี้ยวมารับท่านดีกว่า?”
ใบหน้าของลู่เป่ยซินแดงก่ำและส่งเสียงพึมพำเบาๆ
"เจ้าลงมาเดี๋ยวข้าจะขึ้นไป ... "
"คุณหนูลู่ เจ้าคิดจะขี่ม้าไปสถานที่นัดพบเพียงคนเดียวหรือไม่?“เอี้ยนลี่เฉียงหัวเราะบนม้า”สถานที่แห่งนั้นอยู่ไกลจากที่นี่มาก ถ้าคุณหนูลู่คิดว่ามันเป็นไปได้ที่จะหลบหนีการไล่ตามของผู้คนจากตระกูลลู่ถ้าอย่างนั้นท่านไปคนเดียวก็ได้!”
หลังจากดิ้นรนและไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดลู่เป่ยซินก็กัดฟันและขึ้นม้า นางนั่งอยู่ด้านหน้าของเอี้ยนลี่เฉียงและถูกเขาโอบเอวไว้ด้านหลัง
“ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อนถ้าคิดจะทำอะไรตลกๆเจ้าได้เจอดีแน่…”
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนยังไงคุณหนูลู่” เอี้ยนลี่เฉียงยิ้ม จากนั้นเขาก็เขย่าบังเหียนและกระทุ้งม้าด้วยเท้าของเขาบนโกลน ม้าตัวนี้ก็พุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ที่ด้านบนสุดของกำแพงคฤหาสน์ตระกูลลู่ นายผู้เฒ่าลู่ ลู่เปียน เฉียนซูก็เฝ้าดูทุกอย่างด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม