ตอนที่ 139 ฝน
ตอนที่ 139 ฝน
ทางทิศเหนือของกำแพงชั้นในด่านเป่ยเหอ
เมิ่งชวนมองลงมา กำแพงเมืองนั้นสูงกว่า 80 จั้ง (240 เมตร) คนธรรมดาคงจะขาสั่นเมื่อต้องมองลงจากความสูงขนาดนี้แล้ว!
ประตูพิภพที่ยาวประมาณสองลี้และกว้างประมาณครึ่งลี้นั้นทำให้เกิดจิตสังหารก่อตัวขึ้นในใจเมิ่งชวน อีกฝั่งของประตูพิภพนั้นคือต้นเหตุของความทุกข์ทรมาณของมนุษย์มากมายในช่วงเวลากว่า 800 ปีที่ผ่านมา เมิ่งชวนได้กลิ่นเลือดที่คละคลุ้งไปทั่ว ทหารและเทพอสูรมากมายต้องสิ้นชีพลง ณ ที่แห่งนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีอสูรที่ต้องสิ้นชีพลงไปมากเสียยิ่งกว่า!
“เป็นยังไงบ้าง?” จางหวินอู่เดินมาข้างๆและมองลงไป “ได้มองลงไปเป็นครั้งแรกรู้สึกยังไงบ้างล่ะ?”
“ยังดีขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้าน้อยๆ “เราสามารถปล่อยน้ำลงพื้นได้รึเปล่า? หรือของจำพวกโซ่โลหะ?”
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่รึ?” จางหวินอู่ใจสั่น
“อย่างที่ท่านรู้ ข้าใช้สายฟ้าได้” เมิ่งชวนมองลงไป “หากข้าไม่มีตัวกลาง ผลของสายฟ้าข้ามันอาจจะด้อยลง เพราะพลังงานเดินทางผ่านฉนวนไม่ได้ แต่หากเราทำให้พื้นเต็มไปด้วยน้ำหรือโซ่ พลังสายฟ้าของข้าก็จะปกคลุมไปทั่วทั้งสนามรบในทันทีขอรับ”
แววตาของจางหวินอู่เป็นประกายก่อนจะถามอย่างเคร่งขรึม “มันจะทรงพลังแค่ไหน?”
“ทุกสิ่งที่ระดับต่ำกว่าราชาอสูรจะตายในทันที ราชาอสูรระดับสองจะบาดเจ็บสาหัส และจะส่งผลต่อราชาอสูรระดับสามเพียงเล็กน้อย” เมิ่งชวนกล่าว “แต่ว่าวิธีการนี้คงจะได้ผลดีที่สุดในครั้งแรกเท่านั้น ในอนาคตพวกศัตรูคงจะระมัดระวังในสิ่งนี้กันแล้ว”
“ด่านเป่ยเหอไม่มีโซ่มากขนาดนั้น แต่พสกเราสามารถสร้างแอ่งน้ำตื้นๆได้สบายมาก” จางหวินอู่กล่าวยิ้มๆ
…
ตกกลางคืน
“ข้าอัดพื้นข้างล่างให้แน่นแล้ว น้องหยานเจ้าเรียกฝนมาได้เลย” จางหวินอู่สั่ง ในด่านเป่ยเหอมีเทพอสูรกว่า 31 คน แต่ละคนนั้นต่างเก่งกันคนละด้าน อย่างบางคนสามารถเรียกลมฝนได้ และบางคนก็สามารถควบคุมไฟและสายฟ้าได้
"ได้เลยพี่จาง" หยานจุนควบคุมสภาพแวดล้อมด้วยปราณในทันที เธอสามารถใช้เขตแดนวารีเพื่อควบคุมน้ำได้! ดังนั้นการเรียก “ฝน” จึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับเธอ
ซู่ๆๆๆ!
ฝนเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้สายฝนที่โปรยปรายก็ค่อยๆมีน้ำขังที่บนพื้น
“พอลึก 3 ฉื่อแล้วให้หยุด” จางหวินอู่สั่ง
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com
“เจ้าค่ะ” หยานจุนพยักหน้าอย่างตั้งใจ เธอใช้เขตแดนของเธอเพื่อเรียกฝนต่อไป
…
อีกด้านของประตูพิภพ
ในแดนอสูรเองก็มีกองกำลังอสูรถูกประจำการเอาไว้อยู่ตลอดเวลาเช่นกัน เหล่าอสูรมีความได้เปรียบอย่างมหาศาล ดังนั้นแล้วพวกมันจึงไม่กลัวที่มนุษย์จะบุุกเข้ามาแม้แต่น้อยเพราะนั่นจะเป็นการฆ่าตัวตาย เวรยามนั้นไม่จำเป็น แต่พวกมันก็ยังต้องระมัดระวังกับดักของมนุษย์ในโลกอีกฝั่งอยู่ดี ดังนั้นแล้วพวกมันจึงมักจะส่งอสูรชั้นต่ำเพื่อไปดูสถานการณ์ อันที่จริงแล้วกับดักทุกชนิดนั้นมีผลเพียงเล็กน้อยต่อกองกำลังของราชาอสูร ไม่คุ้มค่าที่จะทำกับดักแม้แต่น้อย
“ฝนตกในโลกมนุษย์” อสูรเสือโคร่งยื่นหัวขนาดใหญ่ของมันผ่านไปและมองดูโดยรอบอย่างระมัดระวัง มันเห็นฝนที่ตกหนักในโลกมนุษย์ได้อย่างชัดเจน “ฝนตกค่อนข้างหนักเลย”
พวกอสูรไม่ได้คิดอะไรมาก พายุจะเข้าก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?
…
วันที่ 29 กุมภาพันธ์ ในตอนกลางคืน สามเดือนหลังจากที่เมิ่งชวนมาถึงด่านเป่ยเหอ
ภายในห้องพักในคฤหาสน์
เมิ่งชวนนั่งขัดสมาธิและกินยาพันดาราอีกเม็ดเข้าไป นีเป็นยาพันดาราเม็ดที่สิบแล้วที่เขากินไปในคืนนี้ จากนั้นเขาก็ใช้พลังแก่นสารแห่งจิตและสำรวจร่างกายของเขาดูอย่างละเอียด ไม่ใช่เพื่อการเสริมกำลัง! แต่เพื่อการสำรวจร่างกายล้วนๆ เขาสำรวจร่างกายอย่างละเอียดโดยใช้วิชาลับ เขาฝึกร่างกายด้วยระบบการฝึกฝนที่เขาได้รับมาจากถ้ำสวรรค์หยวนชู แต่ละส่วนของร่างกายถูกตรวจสอบอย่างละเอียดโดยวิชาลับ เขาสามารถเห็นอานุภาคเล็กใหญ่ได้อย่างชัดเจน
จากมุมมองของเขาในตอนนี้ เมิ่งชวนสามารถเห็นได้ว่าร่างของมนุษย์นั้นถูกสร้างขึ้นมาโดยอานุภาคเล็กๆจำนวนนับไม่ถ้วน เมิ่งชวนรู้สึกตกตะลึงเมื่อได้รับวิธีการฝึกฝนนี้ แต่เขาก็ยังฝึกฝนต่อไปอยู่ดี ต้องขอบคุณร่างเทพอสูรที่ทรงพลังของเขา พร้อมกับแก่นสารแห่งจิตขั้นสอง และระดับวิชาที่สูง มันทำให้เขาสร้างรากฐานขึ้นมาได้สำเร็จโดยใช้ผลึกดาราที่ได้รับมาจากถ้ำสวรรค์หยวนชู และในตอนนี้เขาก็ฝึกฝนอยู่ในระดับเพชร
คนที่ฝึกในระดับเพชรนั้นจะฝึกฝนร่างกายในระดับที่ลึกกว่า เขาสามารถมองเห็นอานุภาคขนาดเล็กมากมายได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อ ผิวหนัง กระดูก อวัยวะภายใน เลือด หรือสิ่งใดๆในร่างกายของเขาต่างถูกสร้างขึ้นมาด้วยอานุภาคเล็กๆนับไม่ถ้วน ระดับเพชรนั้นจะสามารถรวมอานุภาคเล็กๆจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านี้เข้าด้วยกันได้ด้วยพลังของจิตวิญญาณกระบี่ เมื่ออานุภาคเล็กๆเหล่านี้รวมเข้าด้วยกันมันก็จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างมหาศาลก่อให้เกิดกายาเพชรขึ้นมา
ฟู่วๆๆๆ!
เมิ่งชวนชักนำพลังปราณจำนวนมหาศาลไปด้วยจิตกระบี่ เขาคุมการเคลื่อนไหวของพวกมันและใช้พลังของแก่นสารแห่งจิตในการเสริมกำลังอานุภาคเล็กๆเหล่านั้น
นี่เป็นวิธีการฝึกฝนที่ละเอียดและซับซ้อน มันยากยิ่งกว่าการเสียบดอกไม้ลงบนเม็ดข้าวเสียอีก ผู้ที่ฝึกฝนระดับเพชรนั้นจะต้องเสริมพลังของอานุภาคเล็กๆในร่างกายเหล่านั้นให้หมด! และนั่นต้องใช้พลังจำนวนมหาศาล ต้นกำเนิดพลังของเมิ่งชวนนั้นมาจากพลังปราณ และเขาต้องใช้ยาพันดาราเพื่อเสริมพลังปราณอย่างต่อเนื่อง เขาต้องใช้ยาพันดาราถึงสิบเม็ดในช่วงการฝึกฝนสองชั่วยามของเขา
แต่ว่านั่นก็ยังต้องใช้เวลาถึงครึ่งปีกว่าจะสำเร็จระดับเพชร! โชคดีที่เมิ่งชวนฝึกฝนที่ยอดเขานานาอัสนีตอนที่อยู่ที่เขาหยวนชู ดังนั้นในตอนนั้นเขาจึงใช้ยาพันดาราไปน้อยมากจึงทำให้เก็บยาพันดาราเอาไว้ได้กว่า 2000 เม็ด ซึ่งมันก็เพียงพอต่อการผ่านพ้นระดับเพชรไปได้อย่างฉิวเฉียด
ในตอนนี้เขาอยู่ในระดับเพชรมาได้สองเดือนแล้ว แต่เขาก็ยังอยู่ห่างไกลจากการฝึกฝนระดับเพชรได้เสร็จสมบูรณ์
วิ้ง
ผิวของเขาเปล่งแสงราวกับหยก
พลังของเขาเพิ่มมากขึ้น แต่จู่ๆพลังของเขาก็ถูกดูดกลับเข้าไปในร่างทำให้เขาดูเหมือนปกติ เมิ่งชวนเปิดตา ‘การฝึกฝนนี้ใช้ยาพันดารามากมาย แต่มันก็คุ้มค่ามากๆ ข้าฝึกกายาเพชรมาได้สองเดือนแล้ว และร่างของข้าก็แข็งแกร่งขึ้น’
เขาฝึกฝนผิวหนังของเขาในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาตลอด ในตอนนี้ผิวหนังของเขานั้นเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงแล้ว หากศัตรูฟันใส่ ผิวหนังของเขาก็สามารถดีดอาวุธนั้นออกไปได้โดยอัตโนมัติ และเมื่อรวมเข้ากับเกราะปราณของเขาแล้ว เมิ่งชวนสามารถทนต่อการโจมตีของราชาอสูรระดับสามหัวกะทิได้เลยด้วยซ้ำ
ที่สำคัญที่สุด เส้นลมปราณของเขาเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน พวกมันยืดหยุ่นมากขึ้น เมิ่งชวนรู้สึกยินดี การระเบิดพลังปราณของเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเก่าถึงสามเท่า เขาสามารถปล่อยพลังปราณได้มากกว่าเดิมและเสริมความแข็งแกร่งให้ร่างกายได้อย่างมหาศาล ความแข็งแกร่งโดยรวมของเขาเพิ่มขึ้นประมาณห้าส่วน
ถ้าข้าฝึกฝนกายาเพชรได้สำเร็จ ข้าก็จะแข็งแกร่งมากยิ่งกว่าเดิม การฝึกฝนร่างกายนี้มีความต้องการหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นแก่นสารแห่งจิต ฯลฯ ในโลกมนุษย์นั้นการฝึกฝนนี้จะไปถึงจุดสูงสุดที่เพียงแค่ระดับหยาดโลหิตเท่านั้น สำหรับจอมยุทธระดับสรรค์สร้างแล้ว ระบบนี้ถือได้ว่าปานกลาง แต่เมิ่งชวนรู้สึกพึงพอใจมากๆ
หลังจากที่ฝึกฝนเสร็จ เมิ่งชวนก็ออกจากห้องฝึกและกลับไปที่ห้องนอน
หลิวชีเยว่หลับไปแล้ว เมื่อเขาเดินเข้าไปเธอก็ตื่น
“เจ้าใช้เวลาฝึกฝนวิชาลับของเจ้าเยอะมากเลยนะ” หลิวชีเยว่กล่าวยิ้มๆและลุกขึ้นนั่ง “แต่ว่ามันต้องเป็นวิชาที่ดีแน่ๆหากมันช่วยให้เจ้ามีโอกาสรอดมากขึ้น”
เธอเป็นนักเกาฑัณฑ์ เธอต้องซ่อนตัวอยู่ไกลๆและยิงออกไป
ส่วนเมิ่งชวนนั้นต้องต่อสู้กับราชาอสูรในระยะประชิด หลิวชีเยว่มีความสุขมากที่เขาได้วิชาลับนี้มา
“แต่มันก็ใช้ยาพันดาราไปเยอะอยู่” เมิ่งชวนยิ้มก่อนจะถอดเสื้อผ้าเข้านอน
“พวกเราพึ่งจะมาที่นี่แล้วก็ยังไม่ได้สู้เลยซักครั้ง” หลิวชีเยว่กล่าวเบาๆ “พวกเราจะได้แต่งงานกันเมื่อไหร่นะ?”
“ก่อนอื่นพวกเราก็ต้องตั้งตัวใช่มั้ยเล่า?” เมิ่งชวนกอดหลิวชีเยว่เบาๆ ชีวิตของเทพอสูรนั้นแขวนไว้อยู่บนเส้นด้าย ไม่มีใครรู้ว่าจะมีพรุ่งนี้สำหรับเขารึเปล่า พวกเขาคบกันแล้วก็จริง แต่ก็ยังต้องมีงานแต่งงาน
“หลังจากที่พวกเราตั้งหลักในด่านเป่ยเหอได้แล้ว พวกเราก็จะมีสถานะเพียงพอ จากนั้นพวกเราก็จะได้ชวนพ่อกับคนอื่นๆมางานแต่งของเรา ไม่มีใครในด่านเป่ยเหอจะบ่นได้หรอก” เมิ่งชวนกล่าว “ในตอนนี้พวกเราทั้งคู่ยังเป็นเทพอสูรหน้าใหม่ พวกเรายังไม่มีผลงานอะไรเลย หากพวกเราแต่งงานตอนนี้ คนก็คงจะเริ่มนินทาพวกเรา งานแต่งงานเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับพวกเรา ข้าอยากทำให้มันสมบูรณ์แบบมากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“อืม” หลิวชีเยว่เอนตัวลงบนแขนของเมิ่งชวน “ข้าสงสัยจังว่าเมื่อไหร่อสูรจะบุกเข้ามา บางครั้งข้าก็หวังว่าพวกอสูรจะไม่กลับมาอีกเลย แต่ข้าก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้”
“พวกเราก็แค่ต้องเตรียมตัวทุกเวลา” เมิ่งชวนกล่าวอย่างใจเย็น
แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะได้พบกับการต่อสู้นองเลือดครั้งแรกของพวกเขาในวันพรุ่งนี้นี่เอง