ตอนที่ 3 ข้าคือบิดาแห่งความโชคดี
ตอนที่ 3 ข้าคือบิดาแห่งความโชคดี
“ข้าจะกำจัดปีศาจ ดูตามให้ทันล่ะมันอาจจะเร็วจนมองตามไม่ทันเลย”
เจิ้นหวู่และเจิ้นหลิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย พวกเขาคิดว่านายน้อยคนนี้ดูถูกปีศาจตนนี้มากเกินไป
เขารู้ว่าการฝึกตนของพวกเขาไม่เหมือนกับลู่สุ่ย การฝึกตนของลู่สุ่ยอยู่ในขั้นที่สอง และถึงแม้ว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ลู่สุ่ยเองก็ไม่สามารถฆ่าปีศาจตนนี้ได้อย่างรวดเร็ว
พวกเขาคิดว่าลู่สุ่ยแค่โม้ ถ้าเขาสามารถฆ่าปีศาจได้จริงๆ ทั้งสองคนนี้จะยอมกลืนดาบของเขาเลย
ในขณะนั้น ปีศาจเที่ห็นพวกเขา มันพุ่งเข้าหาลู่สุ่ยด้วยเสียงคำรามและเขาใกล้เขาอีกเพียงแค่สองก้าว
ปีศาจตนนี้ไวมาก
เมื่อเห็นแบบนี้เจิ้นหวู่ ก็ขมวดคิ้ว เขาจำได้ว่าปีศาจนี้อยู่ในการฝึกตนขั้นที่สอง
ลู่สุ่ยไม่สามารถรับมือกับมันมาได้ในครั้งก่อน แล้วทำไมตอนนี้เขาถึงบอกว่าทำได้ล่ะ?
“นายน้อย ปีศาจตนนี้อยู่ในการฝึกตนขั้นที่สอง” เจิ้นหวู่พูดอย่างสุภาพ
เจิ้นหลิงรู้สึกว่าเจิ้นหวู่นั้นพูดเข้าข้างนายน้อยเกินไป เธอจึงพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “นายน้อย ร่างกายของท่านตอนนี้ยังอ่อนแอ บางทีท่านอาจจะ…”
ปีศาจได้ตนนั้นกำลังกระโจนใส่ลู่สุ่ยแล้ว เขายังยืนอยู่ที่นั่นอย่างสงบ และเมื่อปีศาจมาถึงเขา เขาคว้าดาบพลังจิตวิญญาณและเหวี่ยงมันไปทางปีศาจอย่างใจเย็น
ทันทีที่ดาบถูกเหวี่ยงออกไป ดาบนั้นก็แทงทะลุคอของปีศาจ ปีศาจตนนั้นกลิ้งลงบนพื้นด้วยความเจ็บปวดและตายลง
หลังจากฆ่าปีศาจแล้ว ลู่สุ่ยก็มองไปข้างหลังเขาและถามว่า “เมื่อกี้เจ้าจะพูดว่าอะไรนะ?”
เจิ้นหวู่ตกตะลึง แต่สำหรับเจิ้นหลิง เธอไม่มีเวลาแม้แต่จะพูดให้จบประโยคเลยด้วยซ้ำ
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าเขาทั้งสองคนเร็วมากจนมองไม่ทัน
ความเร็วที่ดาบแทงคอของปีศาจด้วย… มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? เป็นไปได้อย่างไร?
พวกเขาไม่เห็นลู่สุ่ยใช้พลังของเขาด้วยซ้ำ
ในตอนนี้พวกเขาจำสิ่งที่ลู่สุ่ยบอกกับพวกเขาก่อนหน้านี้ได้
“ข้าจะกำจัดปีศาจ ดูตามให้ทันล่ะมันอาจจะเร็วจนมองตามไม่ทันเลย”
พวกเขาไม่ได้คิเว่ามันจะเป็นจริงอย่างที่นายน้อยคนนี้พูดเลย
เมื่อรู้สึกตัวกับคำถามของลู่สุ่ย เจิ้นหลิงก็สะดุ้งเล็กน้อย
“ปะ เปล่า ไม่มีอะไร…” เจิ้นหลิงพูดอย่างเร่งรีบ
แม้ว่าลู่สุ่ยจะไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น แต่การแสดงออกของเขามันเกินขีดจำกัดไปมากจนทำให้ทั้งสองคนนั้นต่างตกตะลึง
ทำไมกัน หากการฆ่าปีศาจขั้นที่หนึ่งมันยาก แล้วทำไมนายน้อยของเขาจึงฆ่าปีศาจขั้นที่สองได้อย่างง่ายดาย?
ลู่สุ่ยไม่ได้สนใจเจิ้นหลิงและเจิ้นหวู่และเดินไปหาปีศาจที่ตายแล้ว เมื่อเขาไปถึงศพเขาก็ขมวดคิ้ว
“นี่มัน โรคอะไรกัน”?
ลู่สุ่ยหันไปบอกเจิ้นหวู่ว่า “ไปที่ป่าและตรวจดูว่าพืช สัตว์ หรือสัตว์วิญญาณมีอาการคล้ายกันหรือไม่ ถ้าเป็นแบบนั้น ให้ค้นหาแหล่งที่มาโดยเร็วที่สุด”
เมื่อได้คำสั่งที่ปฏิเสธไม่ได้ของลู่สุ่ย เจิ้นหวู่ก็พูดว่า “ขอรับนายน้อย”
จากนั้นลู่สุ่ยมองไปที่เจิ้นหลิงและสั่งว่า “บอกเมืองเล็กๆบริเวณนี้ ว่าหากพวกเขาเจอปัญหาโรคระบาดบางอย่าง ให้พวกเขาส่งคนไปขอความช่วยเหลือจากตระกูลลู่”
เจิ้นหลิงลังเล เธอคิดว่าเธอไม่จำเป็นต้องทำเรื่องไร้สาระแบบนั้น
เมื่อมองดูเธอลังเล ลู่สุ่ยจึงถามว่า “เจ้ามีปัญหาอะไรไหม?”
ลู่สุ่ยไม่ได้แสดงอะไรออกมากนัก ดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าเขาแข็งแกร่งแค่ไหน แต่เธอรู้ว่าออร่าพลังของเขาแข็งแกร่งพอที่จะทำให้บางคนหวาดกลัว
ขณะที่เจิ้นหลิงเห็นออร่าพลังของลู่สุ่ยที่กำลังจ้องมาที่เธอ เธอก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว เธอคิดว่าออร่าพลังของเขาคล้ายกับผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่บางคน
เจิ้นหลิงก้มศีรษะลงทันทีและพูดว่า “ไม่มีอะไร นายน้อย”
“งั้นก็รีบไป” ลู่สุ่ยพูด
เจิ้นหวู่และเจิ้นหลิง รีบออกจากที่นี่เพื่อปฏิบัติตามคำสั่งของนายน้อยของเขา
พวกเขารู้สึกว่าออร่าพลังของนายน้อยในวันนี้ดูแปลกไปเล็กน้อย
เมื่อพวกเขาค่อยๆคิด พวกเขาคิดว่านายน้อยอาจไปฝึกฝนอะไรใหม่ๆมา
ลู่สุ่ยไม่สนใจสิ่งที่พวกเขาคิด หลังจากแน่ใจว่าทั้งสองคนออกไปแล้ว เขาก็กอดเอวและถอนหายใจ“โอ้ย เจ็บๆ…”
เขาไปที่ภูเขานั้นด้วยอาการบาดเจ็บทั่วร่างกายของเขา
สำหรับการโยนกิ่งไม้นั้น มันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ
ในชีวิตชาติก่อนของเขา เนื่องจากเขาอยู่ในขอบเขตที่ค่อนข้างสูง และเป็นบิคาแห่งความโชคดี
จากนั้นเขาก็เกิดใหม่ด้วยความประหลาดใจ แต่โชคของเขาก็ยังคงมีอยู่ แม้ว่าจะไม่ได้โชคดีเหมือนชาติที่แล้วก็ตาม
เขาไม่ได้แข็งแกร่งมากในชาติที่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเป็นคนที่แข็งแกร่งระดับหนึ่งของภูมิภาค
มู่เซี่ยซึ่งอยู่ในการขอบเขตการฝึกตนใกล้เคียงกับเขาก็ตื่นตระหนกเช่นกัน นั่นจึงทำให้เขาถูกทำร้ายแล้วลงไปนอนกองที่พื้นห้อง
แม้มันจะเป็นเรื่องส่วนตัว แต่สุดท้ายเธอก็ระเบิดห้องลับของเขาจนกระจาย
พูดถึงมู่เซี่ย ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดของพ่อแม่และพ่อสื่อ เขาจะไม่มีวันแต่งงานกับเธอเด็ดขาด แม้ว่าจะต้องตายก็ตาม
ลู่สุ่ยคิดเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาเดินไปหาปีศาจและหยิบโทรศัพท์รุ่นเก่าออกมา แล้วเปิดกล้อง
แชะ
“อืม สวยดีแหะ”
เขาถ่ายรูปนี้ให้ผู้อาวุโสลำดับสามดูเวลาที่ถามถึงหลักฐานที่ฆ่าปีศาจได้
สำหรับพยานเขาจะให้เจิ้นหวู่และเจิ้นหลิงเป็นพยานให้
ลู่สุ่ยเดินขึ้นไปบนภูเขาและนึกถึงอาการบาดเจ็บที่เอวของเขา หลังจากที่เขากลับถึงบ้านแล้ว เขาจำเป็นต้องใช้ยาจริงๆ ไม่อย่างนั้นเขาจะสูญเสียเอวของเขาไป
ณ ห้องโถงของตระกูลลู
ผู้อาวุโสลำดับสามจ้องที่รูปถ่ายบนโทรศัพท์ของลู่สุ่ยอย่างเงียบๆ
ลู่สุ่ยยืนอยู่ที่นั่น รอให้ผู้อาวุโสลำดับสามพูด
หลังจากนั้นชั่วครู่ ผู้อาวุโสลำดับสามกล่าวว่า “เจ้าทำได้ดีมาก เจ้าไม่ได้ให้คนอื่นช่วยเลยจริงๆ”
ลู่สุ่ยไม่ได้ตอบอะไร แม้ว่าผู้อาวุสำลดับสามจะพูดอะไรก็ตาม ตราบใดที่เขาไม่ปฏิเสธกับความสำเร็จของเขา ลู่สุ่ยก็โอเคกับมัน
ผู้อาวุโสลำดับสามโยนโทรศัพท์กลับไปที่ลู่สุ่ยแล้วพูดว่: “มาคุยเรื่องธุระของเรากัน”
ลู่สุ่ยขมวดคิ้ว “ธุระ?”
เขาไม่ได่พูดถึงรางวัลของเขาหรอกหรือ?
“ไม่ต้องกังวล อุปกรณ์ในหอคอยจะได้รับการอัปเกรด เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับสัญญาณของเจ้า มาคุยเรื่องธุระของเรากันอย่างสบายใจก่อน”
ลู่สุ่ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ธุระอะไรที่ทำให้ผู้อาวุโสลำดับสามต้องพูดกับเขาโดยตรง?
เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในชิตก่อนของเขาเลย
ลู่สุ่ยรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย “ธุระอะไร?”
ผู้อาวุโสลำดับสามกล่าวว่า “มันเกี่ยวข้องกับตระกูลมู่”
“ตระกูลมู่?” ลู่สุ่ยคิด หรือว่าเขาจะต้องแต่งงานอีกครั้ง?