Ep.1080 - รวมพลจ้าวเหนือหัว
Ep.1080 - รวมพลจ้าวเหนือหัว
มิตินี้ดูเหมือนจะว่างเปล่า ไม่มีเผ่าพันธุ์ทรงภูมิปัญญา อันที่จริงมันไม่มีอะไรเลย
เฉียนมู่ไม่ได้อธิบายอะไรให้ผู้ติดตามคนอื่นๆฟัง แต่หยุดรออยู่เฉยๆที่นี่ ผ่านไปไม่นาน ผู้ใช้พลังอีกกลุ่มหนึ่งก็มาถึง
ในบรรดาผู้ใช้พลังเหล่านั้น มีอยู่สี่คนที่เป็นจ้าวเหนือหัว
แม้ร่างกายจะหดเล็กลง แต่กลิ่นอายของพลังชีวิตที่แผ่ออกมายังคงทรงพลังจนน่าหวาดกลัว ราวกับว่าในร่างกายของคนเหล่านี้ มีอำนาจอันเหนือล้ำไหลเวียนอยู่
หากไม่นับจ้าวเหนือหัวอันผิงกับจ้าวเหนือหัวยักษ์วิญญาณแล้ว ในที่สุดฉินเฟิงก็ได้พบกับจ้าวเหนือหัวของพันธมิตรมนุษย์อีกสองคน อันได้แก่ จ้าวเหนือหัวไลท์ และจ้าวเหนือหัวเซินซู
ถัดไปข้างหลังเซินซู มีผู้ติดตามคนหนึ่งที่ฉินเฟิงรู้จักเป็นอย่างดี เป็นเทพบุปผา
“ฉินเฟิง!?” เทพบุปผาอุทานด้วยความประหลาดใจ แต่สายตาของเธอกลับจับจ้องไปทางไป๋หลี
ได้ยินชื่อนี้ อันผิงกับยักษ์วิญญาณก็หันไปเช่นกัน เมื่อเห็นฉินเฟิง สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป
“ฉินเฟิง นี่เจ้าเข้าร่วมกับพันธมิตรองค์กรมืด?”
ต้องไม่ลืมนะว่า เมื่อไม่นานมานี้ฉินเฟิงเพิ่งมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมากในพันธมิตรมนุษย์ เขาแข็งแกร่งมาก ตอนแรกเหล่าจ้าวเหนือหัวยังคิดว่าฉินเฟิงน่าจะมาอ้อนวอนหนึ่งในพวกเขาเพื่อเดินทางสู่มิติบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ แต่ผลลัพธ์กลายเป็นว่าฉินเฟิงไม่ได้มาหาใครเลย
แต่ในช่วงหลายปีมานี้ มันไม่มีใครสามารถก้าวขึ้นเป็นจ้าวเหนือหัวได้เลย กระทั่งผู้ใช้พลังเลเวล SSS9 หลายคนที่ตัดสินใจเดินทางมาที่นี่ ยังไม่ได้กลับออกไปตลอดกาล ดังนั้นทุกคนต่างตระหนักถึงความอันตรายของที่นี่
พวกเขาเลยพาลคิดไปว่าฉินเฟิงอาจไม่ต้องการเสี่ยง--
--ซึ่งพวกเขาคิดผิด!
ตอนนี้ดูเหมือนว่า ฉินเฟิงไม่เพียงไม่ง้อพวกเขา แต่ยังค้นหาหนทางมาได้เองอีกด้วย
“ฮ่าฮ่าฮ่า ถึงเวลานี้แล้ว จอมมารซวนเฟิงมีที่มาอย่างไร มันไม่สำคัญอีกต่อไป ตราบใดที่เขาสามารถตัดผ่านสู่ขอบเขตจ้าวเหนือหัวได้ เขาก็จะกลายเป็นหนึ่งในผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์เรา ว่าไหม?” จ้าวเหนือหัวเฉียนมู่กล่าว
ฉินเฟิงทำเรื่องใหญ่โตในพันธมิตรมนุษย์ ตอนลงมือมิได้เก็บงำวิชากำลังภายใน ดังนั้นเฉียนมู่ทราบถึงสถานะที่แท้จริงของฉินเฟิงตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่ได้เปิดโปงมันออกมา
เพราะบางครั้ง ด้วยความแข็งแกร่งที่บุคคลคนหนึ่งมี มันอาจช่วยให้มองข้ามหลายสิ่งหลายอย่างไปได้ หนึ่งในนั้นคือกฏเกณฑ์ที่ไม่ต้องยึดติดมากนัก
เพราะคนอย่างฉินเฟิง ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรมนุษย์หรือพันธมิตรองค์กรมืด จะฝ่ายไหนก็ยินดีต้อนรับเขาทั้งนั้น
เพียงแต่ว่า ปัจจุบันฉินเฟิงอยู่ในกลุ่มผู้ติดตามฝ่ายองค์กรมืด จุดยืนนี้ย่อมหมายความว่าเขาได้ละทิ้งพันธมิตรมนุษย์แล้ว เห็นแบบนี้อันผิงจะอยู่เฉย ไม่เอ่ยปากถามได้อย่างไร
“นั่นสินะ ถึงเวลานี้แล้ว เขาจะอยู่ฝ่ายไหนก็ช่าง ทางฝั่งฉันมีคนให้คอยดูแลน้อยลงก็ดีเหมือนกัน .. ออกเดินทางได้!” จ้าวเหนือหัวอันผิงมองฉินเฟิงอย่างลึกล้ำ
แม้ปากเอ่ยเช่นนั้น แต่ในใจกำลังภาวนาว่าอย่าให้ฉินเฟิงสามารถขึ้นเป็นจ้าวเหนือหัวได้เลย ทว่าหากเขาสามารถขึ้นเป็นจ้าวเหนือหัวได้จริงๆ เกรงว่าอันผิงคงไม่ปล่อยฉินเฟิงไปง่ายๆ อย่างน้อยที่สุด เขาจะต้องชักนำฉินเฟิงกลับสู่พันธมิตรมนุษย์
สิ้นเสียง อันผิงก็เรียกเรือสมบัติออกมาทันที นี่คือเรือลำเดียวกับที่ฉินเฟิงเคยนั่ง ตอนเข้ารับการฝึกฝนในงานประลองเพื่อสันติภาพ
คนอื่นๆเริ่มทยอยกันนำเรือสมบัติออกมาเช่นกัน
หนึ่งในเรือที่โดดเด่นที่สุด คือเรือสมบัติของจ้าวเหนือหัวปีศาจเสพวิญญาณ รูปร่างของมันเหมือนโครงกระดูก มองแล้วทำให้ผู้คนรู้สึกขนลุกและหวาดกลัว
ในขณะที่เรือของจ้าวเหนือหัวเฉียนมู่เป็นสีทองอ่อน ให้บรรยากาศที่ดีมาก ส่วนเรือของจ้าวเหนือหัวไลท์ก็สมชื่อ เขาเป็นผู้ใช้อบิลิตี้แสง ดังนั้นเรือของเขายิ่งเปล่งประกายสดใส มองไปมองมาเหมือนรังไหมแสงศักดิ์สิทธิ์
เรือของแต่ละคนมีเอกลักษณ์เฉพาะเป็นของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดมีฟังก์ชันการทำงานเหมือนกัน นั่นคือใช้สำหรับเดินทางผ่านพื้นที่พลังงาน
ฉินเฟิงก้าวขึ้นไปบนเรือของเฉียนมู่ โล่พลังงานเริ่มกางออก ป้องกันพลังงานจากภายนอก ห่อหุ้มตนเองเอาไว้ จากนั้นเรือใหญ่ทั้งเจ็ดลำก็เริ่มเดินหน้า แล่นเข้าไปในรอยแยกมิติ
เมื่อเข้ามา ฉินเฟิงพบว่านี่คือมิติมวลหมู่ดาวรูนจริงๆ เขาอดขมวดคิ้วไม่ได้
“ท่านผู้ใหญ่เฉียน ที่นี่ใช่มิติบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์จริงๆน่ะหรือ? จากข้อมูลที่ผมมี มิติแบบนี้ มันเคยปรากฏขึ้นหลายครั้งแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่า มิตินี้ เป็นสถานที่ที่มีเพียงผู้ใช้อบิลิตี้เท่านั้นที่สามารถได้รับผลประโยชน์”
ฉะนั้นมิติบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถให้กำเนิดจ้าวเหนือหัวได้ จะเป็นสถานที่แบบนี้ได้อย่างไร?
เฉียนมู่ทราบดีถึงความสงสัยของฉินเฟิง คนอื่นๆเองก็สงสัยเช่นกัน
“พูดแบบนั้นก็คงจะไม่ถูกต้องนัก เพราะท่ามกลางมิติมวลหมู่ดาวรูน มันสามารถพบพลังงานอันบ้าคลั่งได้ทุกหนแห่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วหนึ่งในพลังงานเหล่านั้น มีอยู่ชนิดนึงที่รุนแรงเกินกว่าจะดูดซับได้”
ฉินเฟิงเลิกคิ้ว คล้ายกับว่าเคยเจออะไรทำนองนี้เหมือนกัน พยักหน้าเห็นด้วย
จ้าวเหนือหัวเฉียนมู่กล่าวต่อว่า “แน่นอนว่าที่นี่ไม่ใช่มิติบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ แต่มิติบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ จริงๆแล้วต้องเดินทางผ่านมิติมวลหมู่ดาวนับครั้งไม่ถ้วน เพื่อตามหาแหล่งพลังงานที่ว่านั่น--
-- มันคือพลังงานที่สามารถเปลี่ยนร่างของสิ่งมีชีวิตให้กลายเป็นพลังงานได้ วิวัฒนาการลักษณะทางชีวภาพให้พัฒนาไปอีกขั้น ประจวบกับเรื่องที่ว่ามิติที่กักเก็บพลังงานแห่งนั้น มีลักษณะคล้ายแอ่งขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่ในอวกาศที่ว่างเปล่า ดังนั้นเลยถูกเรียกว่ามิติบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์”
“หรือว่าเราต้องหาสถานที่แห่งนั้นจากท่ามกลางมิติมวลหมู่ดาวรูน?” หัวใจของฉินเฟิงเต้นระรัว เริ่มกระจ่างถึงความจริง
ท่ามกลางมิติมวลหมู่ดาวรูน แม้ว่าไป๋หลีจะเทเลพอร์ตมาได้ทันที แต่หากต้องการปักหมุดพิกัดที่แน่นอน เธอไม่สามารถทำได้
ตรงจุดนี้เอง ที่นำไปสู่ความจริงที่ว่า กระทั่งจ้าวเหนือหัวยังไม่สามารถระบุตำแหน่งที่แน่ชัดของมิติบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ได้
เฉียนมู่กล่าวว่า “ใช่ แต่มันไม่ใช่แค่นั้น การเดินทางไปหามัน จำเป็นต้องมีจ้าวเหนือหัวร่วมทางไปด้วย รอยแยกทั้งหมดที่เชื่อมต่อกับมิติมวลหมู่ดาวรูน สุดท้ายจะนำไปสู่มิติบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ หากไม่แข็งแกร่งพอ จะไม่สามารถเข้าไปได้”
ฉินเฟิงพยักหน้า แม้ยังมีอีกหลายสิ่งที่ไม่เข้าใจ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถามมันออกมา
เรือสมบัติของจ้าวเหนือหัวแล่นได้รวดเร็วเป็นอย่างมาก เมื่อครั้งฉินเฟิงเดินทางมาที่นี่จากรอยแยกของมิติบลูสตาร์ เขากับไป๋หลีใช้เวลาเดินทางตั้งหลายวัน แต่เรือสมบัติกลับใช้เวลาสั้นกว่านั้นเยอะ
เรือสมบัติแล่นผ่านทวีปอักษรรูนมากมาย เหลียวมองจากในเรือ ทวีปเหล่านั้นโผล่มาให้เห็นเพียงพริบตาเดียว ก่อนค่อยๆหดเล็กลง กลายเป็นจุดสีขาวในสายตา แล้วหายไปในที่สุด
เรือสมบัติใช้เวลาเพียงสองชั่วโมง ก็สามารถมาถึงศูนย์กลางของมิติมวลหมู่ดาวรูน
ฉินเฟิงพบว่าศูนย์กลางของมิติแห่งนี้ แท้จริงแล้วเป็นกระแสวังวนสีดำ เป็นช่องว่างมิติซ้อนอีกที
เฉียนมู่กับจ้าวเหนือหัวคนอื่นๆไม่ได้พูดอะไรกัน บังคับเรือแล่นเข้าไป
กระแสวังวนเกิดการเปลี่ยนแปลง พวกเขามาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งท่ามกลางมิติมวลหมู่ดาวรูนอีกครั้งอย่างไม่คาดฝัน แต่มองไปยังการเคลื่อนไหวของอักษรรูนบนทวีปใหญ่ ก็ทราบได้ทันที ว่าที่นี่คือช่วงปลายขอบของมิติมวลหมู่ดาวรูนอีกแห่งหนึ่ง
‘ไม่ใช่มีคนบอกว่ามิติมวลหมู่ดาวรูนมันหาได้ยากเย็นมากหรอกหรือ? ทำไมเจอติดๆกันแบบนี้?’
ฉินเฟิงคิดในใจ ส่วนเฉียนมู่ยังคงแล่นเรือต่อไป
พวกเขาได้แล่นไปถึงใจกลาง ข้ามช่องว่างมาโผล่ในมิติมวลหมู่ดาวอีกครั้ง จากนั้นก็ทำเหมือนเดิม กลับมาโผล่ยังมิติมวลหมู่ดาวที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม คราวนี้สภาพแวดล้อมของที่นี่แตกต่างจากครั้งก่อนๆอย่างชัดเจน เพราะที่นี่ไม่เพียงมีทวีปอักษรรูนที่ใหญ่โตเท่านั้น แต่พวกเขายังเห็นสิ่งมีชีวิตอีกเผ่าพันธุ์หนึ่งกำลังเกาะกลุ่มเดินทางอยู่
“ดูนั่น … มันตัวอะไรกัน? อย่าบอกนะว่าเป็นมังกร ..!?”
ผู้ใช้พลังเลเวล SSS9 คนหนึ่งที่ติดตามมากับเฉียนมู่ ชี้ไกลออกไป เฝ้ามองสิ่งมีชีวิตที่อยู่ไกลโพ้น อดสูดหายใจเข้าลึกๆไม่ได้
เพราะเพียงมองก็สามารถทราบได้ทันที ว่านั่นคือเผ่ามังกรยักษ์!