สุดยอดนักสืบในโลกแห่งจินตนาการ (SDFW)-ตอนที่ 68
ตอนที่ 68 มิสตี้ทาวน์ (5 IN 1)
ลุคคิดอยู่ครู่หนึ่งว่า “เอฟบีไอกำลังไล่ตามคุณเพราะยีน X ที่มีอยู่ในตัวคุณ คุณเป็นแค่เหยื่อและไม่ได้ทำอะไรผิด และผมก็เป็นตำรวจควรปกป้องประชาชนก็ถูกต้องแล้ว ผมไม่ต้องการใช้ชีวิตของผู้บริสุทธิ์เพื่อเลื่อนตำแหน่งงานของผมหรอก มันเป็นเรื่องของหลักการ”
แครอลนิ่งเงียบไปอีกครั้งและรู้สึกเหมือนจะร้องไห้
สองสามวันที่ผ่านมานี้เป็นเรื่องฝันร้ายที่เธอต้องการตื่นเพื่อให้ผ่านพ้นไป
เธอถูกหัวขโมยยิงตายในอพาร์ตเมนต์ของเธอเอง และตื่นขึ้นมาอีกทีในห้องเก็บศพ เธอรู้สึกกลัวจึงเลือกที่จะหนีไป แต่เพราะความแค้นที่ไม่อาจต้านทานได้ทำให้เธอต้องกลับไปหาพวกเม็กซิกันในโกดัง แต่เธอก็เกือบถูกเจ้าหน้าที่เอฟบีไอจับในขณะที่เธอกำลังจะจัดการพวกเม็กซิโกและหลังจากนั้นการต่อสู้ก็ตะลุมบอนไม่รู้ฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไหน
ในท้ายที่สุด ลุคก็ปล่อยเธอไป และเสนอทางรอดให้เธอด้วย
ลุคเป็นเจ้าหน้าที่ยศน้อยที่สามารถหารายได้เพียงห้าหมื่นถึงหกหมื่นเหรียญต่อปี เมื่อพิจารณาถึงค่าใช้ต่างต่อเดือนของเขาเอง เงินจำนวนแปดพันเหรียญก็มากแล้ว
และเห็นได้ชัดว่าลุคเพิ่งเริ่มทำงาน แปดพันเหรียญน่าจะเป็นเงินเก็บทั้งหมดของเขา กระนั้น ลุคก็ยังมอบมันให้กับคนแปลกหน้าโดยปราศจากซึ่งความลังเล
มีผู้ชายดีๆ แบบนี้อยู่บนโลกจริงหรือ?
แครอลรู้สึกทำอะไรไม่ถูกเป็นอย่างมากเมื่อเผชิญกับความใจดีของลุคแบบนี้
ลุคไม่รู้ว่าแครอลกำลังคิดเรื่องลุคไปถึงไหนต่อไหนอยู่ขณะที่เขากำลังสอนทักษะการปลอมตัวให้กับเธอ
ความสามารถของ Salazar เหมาะสมกับ แคโรลมาก
ไม่ถึงสามชั่วโมงต่อมา ในที่สุดลุคก็หยุดอธิบายเกี่ยวกับทักษะที่เขาสอนแคโรล
“เอาหละตอนนี้คุณจะจำได้แค่ไหน อยู่ที่ความสามารถของคุณเท่านั้น” ลุคกล่าว “ออกเดินทางตอนที่ฟ้ายังมืดอยู่นะ”
แครอลนิ่งสงบลงมากในครั้งนี้
อันที่จริงเธอมาที่นี่เพื่อกล่าวคำขอบคุณลุคเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เธอกลับได้รับความช่วยเหลือที่คาดไม่ถึง
ตอนนี้เธอมีจุดหมายและความหวังสำหรับอนาคต เธอไม่ได้เคว้งคว้างเหมือนเมื่อก่อน
ถ้าเธอมีจุดมุ่งหมายปลายทางที่แน่นอน เธอคงไม่ไปแก้แค้นพวกเม็กซิกันเหมือนที่เคยทำ แต่เลือกจะอยู่ห่างจากพวกเขาให้มากที่สุด
เธอยืนขึ้นและโค้งคำนับลุคอย่างเคร่งขรึม "ขอบคุณมาก คุณเป็นคนดีมากเลย”
ลุคค่อนข้างหดหู่
บทสนทนานี้มันไม่ถูกต้อง อันที่จริงบทสนานี้เป็นสิ่งที่ตัวละครตัวต่อไปที่กำลังจะตายในหนังกำลังจะกล่าวลา!
แครอลไม่พูดอะไรอีก และออกจากบ้านไปหลังจากเหลือบมองลุคเป็นครั้งสุดท้าย
เมื่อมองดูหญิงสาวหายตัวไป ลุคก็ถอนหายใจ "โชคดีนะ นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่ผมสามารถทำได้เพื่อคุณ” จากนั้นเขาก็ปิดประตู
เซลิน่ามีค่ำคืนที่แสนวิเศษ เธอกินอาหารมื้อใหญ่ แม้ว่าจะแบ่งกันกินสามคน และได้ยินข้อมูลภายในต่างๆ มากมาย นอกจากนี้เธอยังได้ดูลุคสอนนักเรียนคนหนึ่งด้วย เธอรู้สึกค่อนข้างพอใจ
หลังจากที่ลุคปิดประตู เขาโบกมือให้เธอ "เซลิน่า ลุกได้แล้ว ได้เวลาทำงานแล้ว”
เซลิน่าตกตะลึง "ฮะ?"
“ทำความสะอาดห้อง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีร่องรอยของแครอลเหลืออยู่ ผมไม่ต้องการให้เจ้าหน้าที่เอฟบีไอสังเกตเห็นและสาวมาถึงตัวผม” ลุคพูดขณะหยิบเครื่องมือทำความสะอาด
เซลิน่าหน้าบึงไปทันที
ขณะที่ลุคกำลังทำความสะอาด เขานึกถึงแครอลไปพลางๆ
อย่างที่ลุคได้พูดไป นี่แหล่ะคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาสามารถทำได้เพื่อเธอ
สิ่งเดียวที่ลุคทำได้คือปล่อยเธอไป ให้เงินเธอ และเสนอทางออกให้เธอ
ในตอนนี้ ลุคยังมีความสามารถไม่เพียงพอที่จะจัดการเรื่องราวแบบนี้
เชนีย์เองก็กำลังมีปัญหาอยู่ และนิวยอร์กเองก็เป็นสถานที่ราวกับหลุมดำที่ยิ่งใหญ่ และลุคไม่ต้องการเข้าไปเกี่ยวข้องในตอนนี้
ลุคได้รับความสามารถของแครอล และพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยเธอเป็นการตอบแทน อนาคตของเด็กสาวตอนนี้ขึ้นอยู่กับโชคและความสามารถของเธอเองแล้ว
ลุคกับเซลิน่าทำความสะอาดห้อง ในฐานะเจ้าหน้าที่ตำรวจ พวกเขาคุ้นเคยกับการจัดการกับที่เกิดเหตุมากที่สุด
แครอลไม่ได้ทิ้งของอะไรไว้ที่นี่ยกเว้นเสียแต่รอยนิ้วมือหรือผมของเธอที่ยังคงอยู่ในห้องนี้
พวกเขาทำเสร็จก็ล่วงเวลามาแล้วห้าทุ่ม ต่างคนต่างอาบน้ำและเข้านอน
วันรุ่งขึ้น ลุคกับเซลิน่าก็ออกเดินทางด้วยรถของลุค
ลาควินท์อยู่ห่างจากฮูสตันไปทางตะวันออกเฉียงเหนือไปประมาณสี่ร้อยกิโลเมตร เป็นเมืองที่ค่อนข้างห่างไกล
สามชั่วโมงต่อมา หลังจากที่นั่งรถข้ามเมืองมาอย่างยาวนานตอนนี้พวกเขาห่างจากลาควินท์ไม่ถึง
ห้าสิบกิโลเมตร และตอนนี้พวกเขากำลังเข้าไปในเมืองเล็กๆ
เมืองนี้ถูกเรียกว่ารัมฟอร์ด เป็นเมืองเล็กๆ แต่ดูเหมือนว่าจะมีป่าและเหมาะกับการอยู่อาศัยร่วมกับธรรมชาติมากกว่าแช็คเคิลฟอร์ด
เมืองนี้มีทิวทัศน์ที่สวยงาม และราคาที่พักก็ไม่สูงเท่าเมืองใหญ่
ในทางกลับกัน เซลิน่าถามขณะขับรถว่า “ลุคช่วยมองหาปั้มน้ำมันหรือซุปเปอร์มาร์เก็ตให้หน่อย ฉันอยากเข้าห้องน้ำ”
เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ลุคชี้และพูดว่า “โอเคแวะซูเปอร์มาร์เก็ตข้างหน้าละกัน”
เซลิน่าหมุนวงล้อแล้วขับไป “รัมฟอร์ดไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไรเลยนะ มีแต่ป่า”
ลุคหัวเราะเบาๆ
แม้ว่าเซลิน่าเป็นสาวสวยทรงเสน่ห์ แต่เธอกลับมีนิสัยเหมือนกับเด็ก เป็นเรื่องธรรมดาที่เธอจะพบว่า "การเดินทาง" ไปในสถานที่ห่างไกลและไร้สถานบันเทิงเช่นนี้น่าผิดหวัง
ภายใต้แสงยามเช้าที่สดใส พวกเขาจอดรถในลานข้างซูเปอร์มาร์เก็ต
เซลิน่ารีบไปเข้าห้องน้ำ
เมื่อลุคมองดูไปรอบๆ ทางเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตจากรถ ลุคพบว่ามันแปลก
ลุคเห็นคนพวกนั้นซื้อของถุงใหญ่ออกจากซุปเปอร์มาร์เก็ต ราวกับว่าทุกอย่างในซุปเปอร์มาร์เก็ตลดราคา
คนสองสามคนพูดคุยกันขณะที่พวกเขาเดินผ่านรถของลุค ในที่สุดลุคได้เรียนรู้ว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาพายุได้พัดทำลายสิ่งของภายในเมืองมากมายทั่วทั้งบริเวณ รวมทั้งบ้าน รถยนต์ สายไฟฟ้า สายโทรศัพท์ และแม้แต่ป้ายโฆษณาเองก็ไม่เว้น
ลุคลองหยิบโทรศัพท์ออกมาก็พบว่าไม่มีสัญญาณ เขาพยายามโทรหา 911 แต่ไม่มีสัญญาณ
พวกเขาแค่ขับรถผ่านมาและแวะเข้าห้องน้ำไม่ได้อยากจะมีปัญหาอะไรเพิ่มเติม หวังว่าที่ลาควินท์ไม่โดนพายุไปด้วย
ลุคได้ยินเสียงไซเรนและหันกลับมามองตามเสียง เขาเห็นขบวนยานรถวิ่งตามกันเป็นแถวยาว
มีทั้งรถดับเพลิง รถพยาบาล รถซ่อมบำรุง และแม้กระทั่งรถบรรทุกทหาร
จากข้อมูลที่ชาวเมืองพูดกันที่เดินผ่านไปเมื่อกี้ ลุคได้ข้อมูลว่ามีฐานทัพของทหารตั้งอยู่บนภูเขาอยู่ใกล้ๆ กับเมือง แต่เขาไม่ได้ใส่ใจมากนัก
มีฐานทัพของทหารในอเมริกามากมายจนน่าแปลกใจ ประชากรชาวสหรัฐก็ไม่ได้สนใจและคิดว่าไม่แปลกอะไร
สิบนาทีต่อมา เซลิน่ากลับมาที่รถ เธอพูดแกมบ่นและอธิบายเพียงว่า “พระเจ้า...คนรอคิวเข้าห้องน้ำเยอะมากเลย แทบไม่ต่างกับสนามรบเลย เด็กบางคนถึงขั้นอั้นไม่ไหวด้วยซ้ำ”
ทันใดนั้น สัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้น
ชาวเมืองที่กำลังแบกของที่กำลังเดินออกจากซุปเปอร์มาร์เก็ตก็อุทานตกใจ ลุคหันไปมองข้างหลังเห็นหมอกขาวขุ่นที่ไหลลงมาบนภูเขาด้วยความรวดเร็วและในตอนนี้มันก็อยู่ไม่ไกลจากทางเข้าของซุปเปอร์มาร์เก็ต
ชาวเมืองเริ่มวิ่งด้วยความแตกตื่นและเต็มไปด้วยความวุ่นวาย หลายคนรีบเข้าไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตโดยไม่รู้ตัว
ชายชราคนหนึ่งก็ร้องออกมาด้วยความสยดสยองขณะที่มีเลือดออกจากปากและจมูก
เซลิน่าไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด แต่ลุคได้ยินเขา
“สัตว์ประหลาด! มีสัตว์ประหลาดอยู่ในหมอก!” ชายชรากรีดร้องขณะที่เขาวิ่งผ่านพวกลุคไป
ลุคขับรถไปที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและพูดว่า “เซลิน่า เอากระสุน อาวุธ และชุดเกราะของพวกเรามาให้หมด”
ในฐานะที่ลุคเป็นคนรอบคอบ ลุคเชื่อเสมอว่าความปลอดภัยเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ลุคเตรียมพร้อมเสมอสำหรับเหตุการณ์ผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้น
แม้ว่าลุคจะอยู่ระหว่างการเดินทาง แต่ลุคก็นำอุปกรณ์ที่จำเป็นทั้งหมด รวมทั้งกระสุนจำนวนมากใส่ไว้ในรถของเขาด้วยเช่นกัน
เซลิน่าเปิดที่เก็บของในรถโดยไม่ลังเล
อันที่จริงไม่มีอะไรมากที่อยู่ในที่เก็บของของรถ เพราะอุปกรณ์สำรองของพวกเขาถูกเก็บไว้ในกระเป๋าสองใบ ใบหนึ่งบรรจุปืนและกระสุน และอีกใบเป็นระเบิด สิ่งที่เธอต้องทำตอนนี้คือนำพวกมันมาไว้ที่ตัว
ลุคขับรถไปด้านหนึ่งของซูเปอร์มาร์เก็ตแล้ว และเขาจอดรถชิดกับกำแพงกระจกของซุปเปอร์มาร์เก็ต
ลุคกับเซลิน่าคว้ากระเป๋าทั้งสองใบเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ตอย่างรวดเร็ว
ลุคได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนลอยออกมาจากหมอกที่หนาทึบที่ถนนด้านหน้าก่อนเข้าซุปเปอร์มาร์เกต เขาจึงสั่งให้เซลิน่าเตรียมอุปกรณ์และอาวุธให้พร้อมสำหรับการต่อสู้
ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่มีเพียงไม่กี่คนที่ได้ยินเสียงกรีดร้อง เนื่องจากตอนนี้สถานการณ์รอบอยู่ในความวุ่นวายและมีเสียงอื่นๆปนเปกันไปหมด เพราะฉะนั้นเสียงกรีดร้องจึงถูกกลบด้วยเสียงเตือนภัยที่กำลังดังอยู่ตอนนี้
นอกจากนี้ลุคยังเห็นได้กับตาตัวเองว่ามีผู้ชายคนหนึ่งถูกสัตว์ประหลาดคีบเข้าไปในหมอกทันทีที่หมอกเข้าใกล้ตัวของผู้ชายคนนั้น
ก้ามที่คล้ายก้ามปูนั้นยาวมากกว่าห้าเมตรเสียอีก
ลุครู้ได้เลยว่าปืนของเขาคงจะสามารถจัดการกับสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาขนาดนี้ไม่ได้แน่ ดังนั้นลุคจึงเลือกที่จะหลบซ่อนและสังเกตุจากภายในอาคารดีกว่า
ไม่นานหลังจากที่พวกเขาเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ต ก็มีพนักงานเข้ามาปิดประตูอย่างตื่นตระหนก เพราะว่าในที่สุดแล้วทุกคนในซูเปอร์มาร์เก็ตก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของเหยื่อในหมอก ชายชราที่มาถึงก่อนหน้านี้ยังคงร้องไห้และตะโกนไปทั่วเกี่ยวกับ “สัตว์ประหลาด” ที่เขาพบเจอและทำให้ทุกคนหวาดกลัว
ใบหน้าของผู้คนที่ติดอยู่ภายในซุปเปอร์มาร์เก็ตเห็นได้ชัดว่าพวกเขาหวาดกลัวต่อเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น
“มันต้องเป็นเพราะโรงงานที่อยู่ทางทิศตะวันตกระเบิด และหมอกควันพิษรั่วมาจากโรงงาน” มีบางคนเสนอทฤษฎีแปลกๆ ขึ้นมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ลุคหัวเราะเยาะทฤษฎีนี้ ลุคบอกได้ในทันทีเลยว่าหมอกที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้ไม่มีกลิ่นของสารเคมีเลย มันเป็นหมอกตามธรรมชาติที่อบอวลไปด้วยกลิ่นของต้นหญ้าและป่าไม้ ที่จะแปลกไปจากหมอกในธรรมชาติจริงๆ ก็คงเป็นเพราะมีกลิ่นเลือดจางๆ ที่เป็นของเหยื่อที่เพิ่งถูกสังหารไป
ลุคสะกิดเซลิน่าและเตือนเธอด้วยเสียงกระซิบว่าให้ระวังตัวไว้
สิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาที่เขาเห็นคงจะสามารถทำลายกำแพงกระจกของซูเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ด้านหน้าได้อย่างง่ายดายอย่างแน่นอน
ดังนั้นมันจึงไม่ปลอดภัยที่จะอยู่ติดกับผนังกระจก
ในขณะนั้นเองจู่ๆ เกิดแผ่นดินไหวขึ้น มีหลายคนล้มลงไปกับพื้น ลุคช่วยดึงเซลิน่าให้กลับมาทรงตัวได้ตามปกติและเอามือไปปัดหลอดไฟที่กำลังตกลง
จากนั้นเวลาประมาณยี่สิบวินาทีต่อมาแผ่นดินไหวหยุดลง
แรงของแผ่นดินไหวไม่ได้ทำให้ซุปเปอร์มาร์เก็ตพังทลายลง แม้ว่าจะมีสิ่งของหลายอย่างตกลงเกลื่อนกลาดบนพื้นก็ตาม ลุคค่อนข้างโล่งใจ
หากที่ซ่อนของพวกเขาพังทลายลงในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ มันคงเป็นเรื่องยากที่จะวางแผนทำอะไรต่อไป
แม้ว่าโครงสร้างของที่นี่นั้นจะดูไม่ได้แข็งแรงอะไรขนาดนั้นก็ตาม แต่มันก็ยังคงเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ดังนั้นผนังและเสาของอาคารทั้งหมดถูกทำมากจากคอนกรีต ยกเว้นกระจกที่ด้านหน้าเท่านั้น
อย่างน้อยที่สุด พวกเขาไม่ต้องกังวลว่าจะมีก้ามสัตว์ประหลาดยื่นออกมาคีบเขาจากด้านหลังในขณะที่พวกเขากำลังซ่อนตัวอยู่ที่นี่
ความตื่นตระหนกที่เกิดจากแผ่นดินไหวไม่นานก็จางหายไป แต่มีสิ่งที่ตามมาบางอย่างทำให้สภพจิตใจของคนข้างในอาคารเกิดอาการหดหู่ใจเพราะว่าไฟฟ้าดับ
ลุคได้สอบถามข้อมูลจากพนักงานและช่างของที่นี่ว่าซุปเปอร์มาร์เก็ตมีการใช้ไฟสำรองใช้จากเครื่องกำเนิดไฟฟ้า และมันถูกใช้งานมาตั้งแต่ตอนเช้าของวันนี้แล้วเนื่องจากเหตุการณ์พายุที่ผ่านมาเมื่อคืน
เครื่องกำเนิดไฟฟ้าอาจได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวเมื่อสักครู่นี้
ลุคคุยกับชายร่างเตี้ยที่เป็นผู้จัดการของที่นี่ “คุณกำลังจะตรวจสอบเครื่องกำเนิดไฟฟ้าใช่ไหม”
ผู้จัดการมองมาที่เขาและพยักหน้าให้กับลุค "ใช่ เราต้องการไฟฟ้าสำหรับทั้งแสงสว่างและระบบระบายอากาศ มิฉะนั้นคนในนี้จะหายใจไม่ออก”
ลุคเสนอว่า “เราจะไปด้วย”
ผู้จัดการก็มึนงง "ฮะ?"
ลุคหยิบเหรียญตราของเขาออกมา “พวกเราเป็นตำรวจแผนกอาชญกรรมจากฮูสตัน เรากำลังเดินทางไปลาควินท์เพื่อทำคดี ฉันคิดว่าคุณน่าจะให้ความร่วมมือกับเราได้”
ผู้จัดการโล่งใจเมื่อเห็นตรา
แม้ว่านี่ไม่ใช่เขตอำนาจของฮูสตัน แต่เจ้าหน้าที่ที่มีความเป็นมืออาชีพก็จะสามารถรับมือกับเหตุฉุกเฉินได้ดีกว่าพลเรือน
เขาพยักหน้าอย่างรวดเร็วและเรียกพนักงานมาอีกสองคน
และมีชายอีกคนหนึ่งที่เห็นพวกเขากำลังจะไปที่ด้านหลังของซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อจัดการกับระบบไฟฟ้า ชายคนนั้นเสนอตัวที่จะเข้ารวมกลุ่มไปด้วย
ลุคไม่ได้คัดค้านอะไร การที่มีอาสาสมัครเป็นเรื่องที่ดีกว่าที่ทุกคนจะมัวแต่หดหู่และหวาดหลัวจนไม่เป็นอันทำอะไรเลย
ระหว่างทาง ลุคพบเสื้อกั๊กขนาดใหญ่สองตัวที่แขวนโชว์อยู่ เขาโยนหนึ่งให้เซลิน่า
เมเนเจอร์มองลุคตามอย่างมึนงงและเหม่อลอย จนลุคสังเกตุเห็นได้อย่างชัดเจน
ลุคตอบคำถามของผู้จัดการโดยที่ไม่ต้องรอให้เขาเป็นคนถาม “ไม่ต้องห่วง ผมจะจ่ายเอง”
ผู้จัดการเชื่อเขา เขาไม่คิดว่านักสืบสองคนจะขโมยของที่มีมูลค่าไม่เกินร้อยเหรียญ
ทุกคนแนะนำตัว
ผู้จัดการตัวเล็กคนนี้ชื่อ ออลลี่
พนักงานซุปเปอร์มาร์เก็ตเป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบปี ชื่อจิม เขามีหน้าที่เสริมเป็นช่างที่คอยดูแลเครื่องปั่นไฟสำหรับในวันทำงานของเขา
พนักงานอีกคนหนึ่งเป็นวัยรุ่นชื่อนอร์ตัน ซึ่งถูกเรียกตัวมาโดยผู้จัดการเมื่อซักครู่
และท้ายที่สุด เดวิดผู้อาสาเข้ามาร่วมทีมกู้ระบบไฟฟ้าในครั้งนี้ เขาเป็นจิตรกรที่ตอนนี้ยังไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรและมีบ้านบนภูเขาที่อยู่ใกล้ๆ ที่นี่
อย่างไรก็ตาม พายุเมื่อคืนที่พัดผ่านมาได้ทำลายบ้านของเขาบนภูเขาและทำให้ไฟฟ้าในบ้านของเขาถูกตัดขาด และสิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือออกมาหาช่างภายนอกและให้ภารยากับลูกชายอยู่บนภูเขาไปก่อน
ในตอนนี้พวกเขาได้มาถึงชั้นใต้ดินซึ่งไม่มีแสงสว่างและดูมืดสนิท
ผู้จัดการออลลี่เปิดไฟฉายในมือของเขา
โชคดีที่พวกเขาติดอยู่ภายในซูเปอร์มาร์เก็ตจึงมีไฟฉายที่สามารถนำออกมาใช้เมื่อมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น
พนักงานทั้งสองก็เปิดไฟฉายและมองไปรอบๆ
จิมเดินไปที่มุมหนึ่ง ที่ซึ่งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าตั้งอยู่ภายในลูกกรงเหล็ก
เขาตรวจสอบอยู่ครู่หนึ่งแล้วตะโกนว่า “ออลลี่ ฉันว่าเครื่องปั่นไฟน่าจะสามารถใช้ได้อยู่นะ ไม่น่าจะมีอะไรผิดปกติ เดี๋ยวฉันจะรีสตาร์ทเครื่องปั่นไฟนะ”
แน่นอนว่าในฐานะ ผู้จัดการ เขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเช่นกัน ออลลี่จึงอนุมัติไปโดยปริยาย
จิมเริ่มเปิดเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ทันใดนั้นไฟในห้องใต้ดินก็สว่างขึ้น
ทุกคนก็โล่งใจ
การเดินไปเดินมาโดยที่ไม่สามารถมองรอบๆ ได้อย่างสะดวกนักเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตาม จิมดมกลิ่นและพูดว่า “มีอะไรไม่รู้มาติดอยู่ตรงช่องระบายอากาศ กลิ่นมันโครตเหม็นเลย เดียวฉันจะเปิดประตูดู นอร์ตันนายออกไปล้างสิ่งสกปรกนะ”
นอร์ตันพยักหน้า "ไม่มีปัญหา."
เดวิดอดไม่ได้ที่จะเข้าไปขวางพวกเขา “เดี๋ยวก่อน คุณกำลังส่งเด็กคนนี้ออกไปงั้นหรอ? ในหมอกอันตรายนะ”
จิมกำลังโกรธ “อันตรายอะไรกัน? ช่องระบายอากาศอยู่ใกล้ๆ กับประตู เขาจะออกไปข้างนอกไม่ไกลหรอก นอกจากนี้ ถ้าช่องระบายอากาศยังถูกปิดอยู่อย่างนี้ ทุกคนจะหายใจไม่ออกแน่นอน”
เดวิดส่ายหัวอีกครั้ง “ฉันไม่คิดว่าเราควรปล่อยให้เด็กคนนี้เอาชีวิตไปเสี่ยง แม้ว่าอากาศไม่ดีเท่าไรมันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เท่าไรนักอย่าเอาชีวิตของเขาไปเสี่ยงเลยนะ”
จิมเย้ยหยัน “ผมเช้าใจนะว่าคุณฐานะดีกว่าเราทำงานที่ดีกว่าพวกเรา แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณจะมาสอนให้พวกเราทำสิ่งต่างๆ หรือมาออกคำสั่งกับเรา นอร์ตันนายพร้อมหรือยัง”
อย่างไรก็ตามออลลี่ยังลังเล “จิม มันไม่ได้จำเป็นขนาดนั้นจริงไหม? อย่างน้อยเราก็มีไฟฟ้าอยู่แล้ว ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ที่ช่องระบายอากาศถูกอะไรมาปิด”
แต่จิมก็ดื้อรั้น “ฉันไม่ต้องการที่จะถูกหลอกหลอนโดยกลิ่นนี้ นอร์ตันฉันจะเปิดประตู”
“โอเค” นอร์ตันพูดอย่างกระตือรือร้น
เห็นได้ชัดว่าเด็กชายคิดว่ามันเป็นการผจญภัย
ตอนที่หทอกกำลังเคลื่อนตัวเข้ามา นอร์ตันกำลังจัดของในโกดัง และเขาไม่ได้เห็นสัตว์ประหลาดที่อยู่ภายนอกด้วยตัวเอง ดังนั้นนอร์ตันจึงไม่กลัวและรู้สึกว่านี่มันเป็นเรื่องน่าท้าทายดีเท่านั้น
ขณะที่พวกเขากำลังเถียงกัน ลุคลากเซลิน่าออกไปแล้วหยิบชุดเกราะออกจากกระเป๋า แล้วทั้งคู่ก็สวมชุดเกราะ
หลังจากนั้น พวกเขาเอาเสื้อกั๊กที่ลุคคว้ามาในซุปเปอร์มาร์เก๊ต ไปคลุมชุดเกราะอีกทีเพื่อที่จะซ่อนตราตำรวจ “HPD”
หลังจากแต่งตัวกันเสร็จแล้ว เซลิน่าสะกิดลุคและถามว่าควรเข้าไปแทรกแซงไหม
ลุคชี้ไปให้เธอไปอยู่ไกลๆจากประตู เธอเข้าใจอย่างรวดเร็วและเริ่มเดินออกห่างจากประตู
จิมเปิดใช้งานประตูม้วนที่ทางออกชั้นใต้ดิน และประตูม้วนขึ้นประมาณครึ่งเมตร
นอร์ตันบอกให้จิมหยุดและหมอบลงเพื่อสังเกตเหตุการณ์ที่เกิดด้านนอก
หมอกสีขาวค่อย ๆ ไหลเข้ามา
ทันใดนั้น ลุคสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่กำลังวิ่งไปเข้ามาหาพวกเขาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า เขาคว้าคอเสื้อของนอร์ตันแล้วโยนเขาไปในกองกระสอบอาหารสุนัข ที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตร
ในระหว่างนี้ ลุคก็ถอยออกมาจากประตูอย่างรวดเร็วและจ้องมองไปที่ช่องว่างใต้ประตู
จิมตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง กำลังจะสบถด่าลุคทันใดนั้นก็มีหนวดขนาดใหญ่พุ่งออกมาจากหมอกลอดผ่านประตูและมันยังเอื้อมมือเข้ามาที่ใต้ประตู
ออลี่และ เดวิดต่างก้าวถอยหลังด้วยความกลัว
หนวดนั้นใหญ่มากอย่างไม่น่าเชื่อ
หนวดที่ยื่นเข้ามาในห้องใต้ดินมีขนาดยาวมากกว่าห้าเมตรเสียอีก และแม้ว่าปลายของหนวดจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่ใหญ่อะไรนัก แต่ทว่าส่วนที่เหลือของหนวดยาวใหญ่กว่า 20 เซนติเมตรเสียอีก
ที่น่ากลัวกว่านั้นคือบนผิวรอบๆหนวดเต็มไปด้วยหนามแหลมคม
ไม่ยากเลยที่จะจินตนาการว่าถ้าหากหนวดพันรัดกับเหยื่อ มันจะทำให้เหยื่อไม่สามารถหลบหนีได้เลย
ลุคหรี่ตาและมองไปรอบๆ จากนั้นเขาก็เหวี่ยงชะแลงไปที่หนวด
ชะแลงตอกหนวดกับพื้นทันที
หนวดพยายามจะถอยกลับด้วยความเจ็บปวด
อย่างไรก็ตาม ลุคคว้าขวานที่ผนังและฟันใส่หนวดอีกครั้งเพื่อตัดมันออก
ด้วยความแข็งแกร่งมหาศาลของเขา ขวานจึงตัดหนวดครึ่งหนึ่งออก มันดิ้นรนเพื่อหลุดจากบาดแผลที่บาดเจ็บและถอยกลับ เหลือเพียงหนวดที่มีหนามแหลมที่ยังดิ้นตัวอยู่บนพื้น
ทุกคนตกใจเกินกว่าจะพูดอะไรออกมา
ลุคเปิดปากของเขา “จิม ปิดประตูซะ”
จิมยังคงมึนงง "… ได้ ได้ๆ”
หลายวินาทีต่อมา ประตูม้วนลงมาอีกครั้ง ปิดกั้นอันตรายไว้ชั่วคราว
ลุคหยิบขวานขึ้นมาสับหนวดอีกครั้ง
หนวดที่ถูกตัดออกหดตัวและบิดไปมาเหมือนแมลง
จากนั้นปลายหนวดแหลมก็เปิดออกเหมือนปาก และมีของเหลวสีดำแกมเขียวพุ่งออกมา
ลุคถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็วหลังจากตัดหนวดแล้ว เพราะกลัวว่ามันจะพ่นของเหลวที่น่ารังเกียจออกมาใส่เขา
เมื่อหนวดหยุดเคลื่อนไหวในที่สุด เขามองไปที่ทุกคนและพูดว่า “เดวิดพูดถูก มีสัตว์ประหลาดอันตรายอยู่ในหมอก คุณยังจะให้นอร์ตันออกไปอีกไหม?”
พวกเขาจะไม่เห็นด้วยได้อย่างไร? หนวดที่หั่นแล้วก็ยังอยู่ที่นี่
ถ้าไม่ใช่ลุคคว้าคอนอร์ตันไว้ นอร์ตันอาจถูกฆ่าตายไปแล้ว
“กลับกันเถอะ” ลุคพูดขณะที่เขาเดินออกไป “เห็นได้ชัดว่ามีสัตว์ประหลาดอยู่ข้างนอก เราต้องจัดการกับผนังกระจกหน้าซุปเปอร์มาร์เก็ตให้ดีที่สุด”
เมื่อนึกภาพว่าผนังกระจกจะแตกสลายต่อหน้าหนวดยักษ์ ทุกคนพยักหน้า
“ออลลี่ คงจะไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมถ้าผมจะขอให้คุณย้ายอาหารสุนัขขึ้นไปชั้นบน” ลุคถามอีกครั้ง
ออลลี่มึนงงอยู่ครู่หนึ่ง มองดูถุงอาหารสุนัข จากนั้นจึงเข้าใจเจตนาของลุค “ไม่ จริงๆ แล้วยังมีท่อและแผ่นไม้ที่เหลือจากตอนที่เราปรับปรุงห้องน้ำด้วย และอีกอย่าง…”
ลุคขัดจังหวะเขา “ทั้งหมดนี้สามารถใช้งานได้ รบกวนให้จิมและนอร์ตันลากของพวกนี้ขึ้นไปและพยายามเอาไปปิดผนังกระจก นอกจากนี้ ให้หาคนที่สามารถช่วยงานได้และขอความช่วยเหลือจากพวกเขา ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้หญิงและเด็กอยู่ห่างจากผนังกระจก โอเคไหม?”
ออลลี่ฟังแล้วพยักหน้า
ในฐานะผู้จัดการของซูเปอร์มาร์เก็ต เขาจัดการเรื่องดังกล่าวได้ดีที่สุด
พนักงานซูเปอร์มาร์เก็ตต้องทำงาน
ในตอนนี้ออลลี่จะยุ่งมากกว่าที่เป็นอยู่
เขาต้องส่งคนไปเคลื่อนย้ายอาหารสุนัขและสิ่งของอื่นๆ ที่สามารถใช้กั้นผนังกระจกได้ นอกจากนี้ออลลี่ยังต้องคุยกับคนที่ติดอยู่ภายในซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อโน้มน้าวฝูงชนว่าควรซ่อนที่ด้านหลังซุปเปอร์มาร์เก็ตจะดีกว่า
ในฐานะผู้จัดการของซูเปอร์มาร์เก็ต เขาคุ้นเคยกับชาวเมืองมากที่สุด ดังนั้นเขาจึงเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับงาน
ลูคคุยกับเดวิดและขอให้จิตรกรผู้ใจดีช่วยเขาเพิ่มเติม
ในห้องใต้ดินตอนนี้ เขาต่อต้านแผนการที่ดูเสี่ยงชีวิตของจิม
แน่นอนเดวิดจะเป็นประโยชน์ในการรักษาความสงบเรียบร้อยที่นี่
ในทางกลับกัน ลุคกับเซลิน่าตรวจสอบปืนและกระสุนของพวกเขา แล้วทานอาหารและน้ำในมุมที่อยู่ห่างออกไปจากฝูงชน
ลุคฉวยโอกาสสังเกตทุกอย่าง
เขาต้องให้ความสนใจกับคนเป็นพิเศษในสถานการณ์เช่นนี้ เพื่อกำจัดพวกคนที่อาจจะก่อกวนความสงบเรียบร้อยและก่อจราจล
คนประเภทนี้มักจะปรากฏตัวในช่วงเวลาที่สิ้นหวังเช่นนี้
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด
ในช่วงเวลาที่สิ้นหวัง บางคนต่อสู้ดิ้นรนเพื่อต่อต้านและไม่ยอมแพ้ก่อนจะตาย แต่บางคนก็สภาพจิตใจบิดเบี้ยวก่อนจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา และต้องการให้คนอื่นตายไปพร้อมกับพวกเขาเท่านั้น
และอย่างหลังมักจะเกิดอย่างไม่มีใครคาดคิดอะความเสียหายจะเกิดขึ้นอย่างมาก
พวกเขาจะบ่อนทำลายความร่วมมือและความสามัคคีของคนที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน
เมื่อลุคอยู่ที่นี่ เขาไม่ต้องการให้คนเหล่านี้สร้างปัญหาอย่างแน่นอน
ลุคและเซลิน่าไม่ได้เปิดเผยตัวตนของพวกเขา เพื่อที่จะได้สังเกตุคนเหล่านี้ได้อย่างสะดวก
ขณะที่ภายในซูเปอร์มาร์เก็ตกำลังมีบรรยากาศสงบขึ้น ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องและเสียงการต่อสู้ขึ้น
ส่วนใหญ่เป็นปฏิกิริยาความหวาดกลัวมาจากจิตใต้สำนึกของคนที่กำลังตื่นตรหนก แต่ก็มีบางคนที่ไม่ใช่
หญิงวัยกลางคนในวัยสี่สิบกำลังตะโกนคร่ำครวญว่านี่เป็นการพิพากษาของพระเจ้า และพระองค์เจ้ากำลังลงโทษผู้ที่ไม่ศรัทราในพระองค์
ลุคชี้นิ้วไปที่หญิงคนนั้นบอกเซลิน่าอย่างละเอียด
จากนั้นพวกเขาเดินเข้าไปหาเธอ และเซลิน่าก็คว้าตัวผู้หญิงคนนั้น “ว้าว คุณเป็นคนมีศรัทราใช่ไหมม? ฉันต้องการคำแนะนำของคุณค่ะ”
ขณะที่เธอพูด พวกเขาลากผู้หญิงคนนั้นออกไป
ลุคไม่มีเวลาคุยกับผู้หญิงคนนั้นตอนนี้ “เอาเธอไปขังไว้ในห้องน้ำ”
เซลิน่าโยนผู้หญิงที่ตอนนี้เสียสติตะโกนเผยแพร่ข่าวลือไร้สาระเข้าไปในห้องน้ำก่อนจะปิดประตูอย่างรุนแรง
ตอนนี้ซูเปอร์มาร์เก็ตยังคงวุ่นวายอยู่แล้ว แม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะไม่ก่อความวุ่นวาย แต่ทว่าคนอื่นๆ ก็เริ่มดำเนินการต่างๆ ภายใต้คำสั่งของออลลี่
พวกเขาขนย้ายถุงอาหารสัตวเลี้ยงเอามากองทับถมเอาไว้ที่บริเวณผนังของกระจกร้าน ที่ถูกเสริมโครงสร้างความแข็งแรงด้วยแผ่นไม้และท่อก่อนจะเอากระสอบอาหารสัตว์มาเรียงต่อเป็นกำแพง
น่าเสียดายที่กระสอบอาหารสัตว์มีจำนวนไม่มากนัก ทำให้พวกเขาสามารถกั้นผนังกระจกได้สูงเพียงประมาณครึ่งเดียวของความสูงทั้งหมดที่มี ส่วนที่เหลือออลลี่สั่งให้นำเชลฟ์วางของมากั้นเอาไว้แทน
…
จากนั้นลุคเรียกออลลี่ จิม นอร์ตัน และเดวิดมาหารือเกี่ยวกับแผนต่อไป และมีผู้หญิงสองคนติดตามพวกเขา
คนหนึ่งคืออัลลิน อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนในเมืองนี้ เธอเป็นผู้หญิงสูงวัยและดูใจดี
อีกคนคืออแมนด้า เป็นครูจากโรงเรียนเดียวกัน เธอเป็นหญิงสาวผมบลอนด์
ลุคเดินไปจับมือพวกเขาด้วยรอยยิ้ม “มันเยี่ยมมากที่มีพวกคุณที่นี่ เราจำเป็นต้องย้ายเด็กและเหล่าผู้หญิงไปที่สำนักงานก่อนเผื่อว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บจากความวุ่นวายเหล่านี้ จะได้ดูแลอย่างทั่วถึง”
เมื่อได้ฟังลุคผู้หญิงทั้งสองคนประหลาดใจ แต่แล้วก็รู้สึกว่ามันจำเป็น
อัลลินพูดอย่างกังวลว่า “แต่ฉันคิดว่าเหล่าพ่อแม่ คงจะไม่ปล่อยให้เราดูแลลูกๆ ของพวกเขาหรอก”
“พาเด็กไปพร้อมกับแม่ของเขาก่อน ถ้าพวกเขาไม่เต็มใจไปก็ไม่ต้องไปบังคับ ที่เราทำแบบนี้เพื่อลดความวุ่นวายที่อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่จำเป็น และเพื่อปกป้องเด็กและผู้หญิงเท่านั้น” ลุคแนะนำ
แม้ว่านี่มันอาจจะไม่ใช่แผนที่สมบูรณ์แบบอะไรนัก แต่ทุกคนก็รู้สึกว่านี่เป็นทางออกที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้
จากนั้นลุคบอกกับเดวิดว่า “หาพวกผู้ชายที่ไว้ใจได้ มาป้องกันทางเข้าตรงทางเดินตรงนี้เผื่อว่าสัตว์ประหลาดบุกข้ามเครื่องกีดขวางพวกนี้มาได้”
เดวิดพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
พวกเขาให้เด็กและผู้หญิงเข้าไปภายในของสำนักงานที่อยู่ด้านหลังของโถงทางเดิน เนื่องจากภายในนั้นเป็นสถานที่สุดท้ายที่หากมีอันตรายเกิดขึ้นและจะเป็นที่ที่ได้รับผลกระทบช้าที่สุด และเนื่องจากภรรยาและลูกชายของพวกเขาอยู่ภายใต้การดูของทุกคนที่นี่ พวกผู้ชายจึงเต็มใจยอมรับข้อตกลงนี้โดยธรรมชาติ
ลุคมองไปที่ออลลี่และจิมแล้วพูดว่า “เมื่อกี้ผมเห็นท่อและแท่งไม้อยู่ในห้องใต้ดิน พยายามทำให้พวกมันกลายเป็นอาวุธและมอบให้กับผู้ชายที่เต็มใจจะปกป้องครอบครัวของพวกเขา”
ทุกคนดูเคร่งขรึมเพราะตอนนี้ทุกคนสัมผัสได้ถึงอันตรายจากข้างนอก
เมื่อมองดูพวกเขาพร้อมกับถอนหายใจ “ผมอยากจะบอกว่าทุกอย่างมันผ่านเป็นไปด้วยดี แต่ผมคิดว่ามันดีกว่ามากกว่าผูดเฉยๆ ถ้าเราเตรียมพร้อมมากกว่ารอพึ่งโชคชะตาโดยไม่ทำอะไรเลยใช่ไหม”
ทุกคนพยักหน้าเงียบๆ แล้วไปทำงาน
โชคดีที่ไม่มีสัตว์ประหลาดโจมตีซูเปอร์มาร์เก็ต และแล้วเวลาล่วงเลยผ่านไปถึงช่วงกลางดึก
ลุคกับเซลิน่านั่งอยู่ในมุมหนึ่งซึ่งมีหน้าต่างเล็กๆ สำหรับการระบายอากาศ
ลุคเปิดหน้าต่างเล็กน้อยเพื่อฟังว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก
ส่วนใหญ่ก็เงียบกริบ แต่บางครั้งก็มีเสียงเดินเหยียบไม้หรืออะไรสักอย่างและเสียงเคี้ยว
นั่นทำให้ลุคพอสรุปได้ว่ามอนสเตอร์ที่เดินเตร่ไปมาในหมอกนั้นไม่ได้มีชนิดเดียว และพวกมันกำลังออกล่ากันเอง
มันไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ไม่ดีเท่าไร แต่ก็จะบอกว่าเป็นเรื่องดีก็คงไม่ได้เช่นกัน
ทันใดนั้น ลุคก็ขมวดคิ้วและพูดว่า “ใครเปิดไฟนอกซุปเปอร์มาร์เก็ต? ออลลี่ ปิดมันซะ!”
ออลลี่พูดอย่างหัวเสีย “มันถูกตั้งเวลาไว้เปิดใช้งานโดยอัตโนมัติทุกวัน สวิตช์อยู่ที่ไหน จิม ปิดไฟเดี๋ยวนี้”
จิมรับทราบภารกิจแล้ววิ่งไปที่ห้องใต้ดิน
อย่างไรก็ตาม ไฟที่ทางเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตยังคงเปิดอยู่ราวๆ ห้านาทีได้
การแสดงออกของลุคเคร่งขรึมขึ้นทันที เขาส่งสัญญาณบอกให้เซลิน่าตื่นตัวเตรียมพร้อมก่อนจะรีบไปที่ห้องใต้ดิน
ระหว่างทางไปห้องใต้ดิน เขาเห็นจิมล้มอยู่บนพื้น กำลังคร่ำครวญและกุมศีรษะไว้
เขาไปหาจิมทันที "เกิดอะไรขึ้น?"
“ตอนที่ฉันมาถึงที่นี่ มีคนตีหัวฉันจากด้านหลัง” จิมพูดขณะที่เขากุมศีรษะด้วยความเจ็บปวด “ฉันได้กลิ่นแปลกจากตัวของเขาด้วย”
ลุคนั้นคิดพรางขมวดคิ้ว กลิ่นแปลกๆ งั้นเรอะ? ลุคคิดว่าเขารู้แล้วว่าใครเป็นคนร้าย
หัวของจิมมีเลือดออก การลอบโจมตีครั้งนี้ค่อนข้างรุนแรงและมันเกือบที่จะเอาชีวิตของจิมเลยทีเดียว
“โอเค เราค่อยมาว่าเรื่องนี้กันทีหลัง ผมจะปิดไฟได้อย่างไร?” เขาพยุงจิมไปที่ห้องใต้ดิน
จิมพยายามฝืนความเจ็บปวดบนหัวของเขาและชี้ไปที่กล่องพร้อมพูดขึ้นว่า “ที่แผงนั่น สวิตช์สีขาวๆ ตัวที่สี่และห้าของแถวที่สาม”
ลุคถามว่า “ทั้งคู่เลยงั้นเหรอ?”
จิมตอบ “อันหนึ่งสำหรับไลท์บอร์ดและอีกอันสำหรับไฟดวงเล็กๆ ที่อยู่รอบๆ”
ลุคสับสวิตช์แล้วหยิบเครื่องวิทยุขึ้นมา “เซลิน่า หลอดไฟดับแล้วหรือยัง?”
เซลิน่าตอบทันทีว่า “ใช่ แต่นายควรรีบกลับมาที่นี่ ตอนนี้แสงไฟดึงดูดพวกแมลงมามากมาย”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ลุคก็พาจิมกลับไปที่ห้องโถง
ลุคพยุงจิมให้นอร์ตันและพูดกับเดวิดด้วยเสียงต่ำ “จับตาดูผู้หญิงเสียสติคนนั้นให้ดี เธอลอบโจมตีจิมในตอนที่เขากำลังไปปิดไฟ”
เดวิดพยักหน้าและพยายามมองหาผู้หญิงคนนั้นในทันที
ในที่สุดลุคก็มาถึงผนังกระจก เขาจ้องเขม็งไปที่ฝูงแมลงที่ดูหนาทึบบนกระจกซึ่งไม่มีถุงอาหารสัตว์กั้นอยู่
แมลงเหล่านี้ไม่ได้น่ากลัว และปกติแล้วแมลงก็ไม่สามารถทำลายกระจกที่หนาขนาดนี้ได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม แมลงเหล่านี้มีความพิเศษอยู่ตรงที่มันมีขนาดใหญ่พอๆ กับไก่ ซึ่งไม่ว่าจะมองมุมไหนมันก็อันตราย
ลุคตะโกนว่า “ทุกคน ปิดไฟฉายเดี๋ยวนี้!”
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าแมลงเหล่านี้ทำอะไรได้บ้าง แต่รูปร่างหน้าตาของพวกมันพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกมันชอบแสงเหมือนๆ กันกับแมลงชนิดอื่นๆ มากมายในโลกนี้
หลังจากปิดไฟฉายซูเปอร์มาร์เก็ตมืดสนิทในทันทีเนื่องจากแมลงบังแสงจากภายนอกด้วย แต่ก็โชคดีที่มีแสงที่อื่นดึงดูดแมลงออกไปได้บางส่วน
โชคดีที่แมลงพวกนี้ยังไม่สามารถทำลายผนังกระจกได้
ในขณะที่ลุคกำลังคิดอยู่นั้น ก็มีเงาที่ดูเหมือนนกแร้งขนาดใหญ่ก็โผล่ออกมาจากหมอกและพุ่งตรงไปที่ผนังกระจก และใช้จงอยปากของมันจับแมลงที่เกาะบนกำแพง แต่นั่นทำให้เกิดรอยร้าวในกระจกอย่างเห็นได้ชัด
ลุคพูดอย่างใจเย็นว่า “ปิดไฟทุกดวง ทุกคนอยู่กับที่ไว้ อย่าพึ่งวิ่งหนี”
ขณะที่เขาพูด ลุคส่งสัญญาณไปที่เซลิน่า
เซลิน่าถอยไปข้างหลังและอยู่ห่างจากลุคสิบเมตร มันคือตำแหน่งยิงของเธอ ซึ่งเธออยู่หลังป้อมปราการขนาดเล็กที่มีชั้นวางของป้องกันไว้
ไฟฉายดับอย่างรวดเร็ว แต่ทว่ายังมีบางดวงยังเปิดอยู่ มีคนตะโกนอย่างกังวลว่า “เกิดอะไรขึ้น? ฉันไม่สามารถปิดไฟฉายได้!”
เรื่องนี้ทำให้ลุคพูดไม่ออก
ลุคไม่มีเวลาคุยกับพวกเขา เพราะตอนนี้เขาทุ่มความสนใจไปที่ผนังกระจก
ด้วยเสียงกระพือปีก นกแร้งขนาดยักษ์ ซึ่งดูเหมือนไดโนเสาโบราณ ปรากฏตัวขึ้นเพื่อกินแมลงบนกระจก
ในที่สุดพวกเขาก็ได้ยินเสียงผนังกระจกแตก แต่โชคยังดีที่เป็นในส่วนที่ถูกถุงอาหารสัตว์เลี้ยงขวางกั้นเอาไว้
แต่ทว่าโล่งอกได้ไม่นานความโชคร้ายก็มาเยือน…วินาทีถัดมาก็กระจกแตกอีก คราวนี้มันอยู่ในส่วนที่ไม่ได้มีอะไรขวางกั้นเลยนอกจากเชลฟ์วางของธรรมดาๆ
แมลงส่วนใหญ่บินหนีไป แต่มีบางตัวคลานเข้าไปในช่องว่างและขึ้นไปบนชั้นวางของ
มีของไม่เพียงพอที่จะปิดผนังกระจกยาวยี่สิบเมตรของซูเปอร์มาร์เก็ต ดีแค่ไหนแล้วที่สามารถกั้นครึ่งหนึ่งของกระจกด้วยอาหารสัตว์ได้
ลุคที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก เขาเหวี่ยงท่อนเหล็กที่เตรียมเอาไว้ไปที่แมลงตัวนั้น
ตุบ ตุบ!
เหล็กท่อนตีเข้าอย่างแรงไปที่แมลงสองตัว และร่วงไปกระแทกกับพื้น
ลุคฟาดท่อนเหล็กออกไปอีกหลายครั้งด้วยความรวดเร็ว
ตุบ! ตุบ!
ตอนนี้มีแมลงหลายตัวนอนดิ้นอยู่บนพื้น พวกมันไม่ได้ตายทันทีที่ถูกลุคทุบ
ลุคจงใจระงับแรงตีของเขาไว้ เพื่อไม่ให้ของเหลวที่อยู่ภายในร่างกายของพวกมันกระเด็นไปทั่วและอาจดึงดูดสัตว์ประหลาดตัวอื่นๆ
เมื่อมองไปที่รูบนกระจก ลุคนำสินค้ามากั้นไว้เอาไว้เช่น แชมพู น้ำ และสูตรสำหรับเด็ก
เขาเหลือบมองไปรอบๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีรูช่องอื่นๆ อีก ก่อนที่เขาจะตีแมลงที่กำลังดิ้นรนอีกครั้งโดยไม่ทำให้พวกมันเละกระจาย
“ออลลี่ หากล่องพลาสติกและเก็บแมลงพวกนั้นไว้ข้างใน จำไว้ว่าอย่าแตะต้องแมลงเหล่านั้น ใช้อุปกรณ์อย่างอื่นจับพวกมัน” ลุคร้องออกมาขณะที่สังเกตสถานการณ์ต่อไป
ทันใดนั้นใบหน้าของลุคก็เปลี่ยนไปเคร่งเครียดอย่างรวดเร็ว
สิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาสูงห้าเมตรพุ่งออกมาจากหมอกและกัดสัตว์ประหลาดที่เหมือนนกแร้งขนาดยักษ์ ที่กำลังวิ่งไล่กินแมลงอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ที่ด้านหน้าของซุปเปอร์มาเก็ต
กระจกเกือบทุกบานแตกออกในทันที
ประตูของซุปเปอร์มาเก็ตเป็นส่วนที่มีการป้องกันน้อยที่สุด ข้างหน้ามีเพียงโต๊ะไม้ยาวๆ ขวางเอาไว้เพียงเท่านั้น
อย่างไรก็ตามโต๊ะไม้เหล่านี้เปรียบเสมือนกิ่งไม้เล็กๆ เมื่อเทียบกับขนาดมหึมาของสิ่งมีชีวิตลึกลับเหล่านี้ โต๊ะไม้ถูกดันออกจากประตูในทันทีและทิ้งช่องว่างขนาดใหญ่ไว้ที่ประตู
สัตว์ประหลาดที่เหมือนนกแร้งกระพือปีกและพยายามบินเข้ามาในช่องว่างของประตู
ลุคขมวดคิ้วแต่ไม่ได้พูดอะไร
เขาไม่แน่ใจว่า สัตว์ประหลาดอาจจะสังเกตเห็นเขาถ้าเขาตะโกนออกมา
สัตว์ประหลาดห้าตัวพุ่งเข้ามาภายในซูเปอร์มาร์เก็ตอย่างรวดเร็ว
ลุคส่งสัญญาณให้เซลิน่าจู่โจมทันที ก่อนที่เขาจะพุ่งไปข้างหน้าด้วยท่อนเหล็กในมือของเขาและฟาดเข้าที่สัตว์ประหลาดสองตัวอย่างรุนแรง
เมื่อเห็นว่าพวกมอนสเตอร์ยังคงไม่ตายและดิ้นอย่างหนัก ลุคจึงออกแรงมากขึ้นและทุบคอของพวกมัน
หลังจากที่ลุคฟาดพวกมันอีกสองถึงสามครั้ง พวกมันก็หมดลมหายใจ
ปัง ปัง ปัง
เซลิน่าเปิดฉากยิงใส่มอนสเตอร์ที่กำลังวิ่งเข้ามาภายในอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ลุควิ่งเข้าจู่โจมมอนเตอร์ที่เหลืออย่างรวดเร็ว
แม้ว่าจะสามารถจัดการไปได้สี่ตัวแล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่มีเวลาฉลองความสำเร็จเพราะตัวสุดท้ายได้วิ่งเข้าไปภายในฝูงชนแล้ว
จากนั้นบรรยากาศภายในซูเปอร์มารเก็ตเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกมีหลายคนร้องไห้และพยายามหนีไป หลายคนพยายามต่อสู้ คนที่หนีก็วิ่งไปอย่างยุ่งเหยิงอย่างล้มลุกคลุกคลาน
ลุครีบวิ่งเข้าไปในฝูงชนอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้สนใจว่าเขาจะไปกับกระแทกใครที่ขวางทางอยู่ ลุคไปถึงสัตว์ประหลาดในขณะที่มันกำลังจะกัดลงบนคอของผู้หญิงคนหนึ่ง
ลุคตีเข้าที่คอของสัตว์ประหลาดในทันทีอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ฝูงชนก็เต็มไปด้วยความวุ่นวาย พวกเขาทั้งหมดกรีดร้องและวิ่งหนี
เสียงกรีดร้องในซุปเปอร์มาร์เก็ตดึงดูดความสนใจของสัตว์ประหลาดยักษ์ที่กินนกแร้งไป มันยื่นหัวเข้ามาและมองไปรอบๆ และด้วยความแข็งแกร่งมหาศาลของมัน มันผลักสิ่งกีดขวางที่ทางเข้าออกไปและพยายามที่จะคลานเข้ามาภายในซูเปอร์มาร์เก็ต
ลุคหยิบหอกที่ประดิษฐ์จากแท่งเหล็กที่อยู่ในมือชายคนหนึ่งที่กำลังกลัวและทำได้เพียงยืนตัวสั่น ลุคขว้างหอกออกไปด้วยสุดกำลัง
ฉูด!
หอกยาวก็จมลงในหัวของสัตว์ประหลาด น่าเสียดายที่ลุคไม่เคยฝึกการขว้างหอกดังนั้นการโจมตีของเขาจึงล้มเหลวในการฆ่ามอนสเตอร์ในคราวเดียว
สัตว์ประหลาดกรีดร้องและรีบถอยห่างออกจากประตูทันที
ในทางกลับกัน ลุคไม่ได้ตื่นตระหนก เขาเตะท่อบนพื้นและหยิบขึ้นมาสองสามอัน
และรีบพุ่งไปที่ประตูที่ตอนนี้มันเปิดออก ลุคฟาดเหล็กเข้าไปที่สัตว์ประหลาดอย่างรุนแรงบริเวณกะโหลก หน้าอก และลำตัวของมัน เสียงกรีดร้องอย่างน่าสังเวชดังขึ้นและล้มลงหลังจากที่มันถอยห่างออกไปสิบเมตร
การโจมตีระยะใกล้ของลุคนั้นรุนแรงกว่าการขว้างหอกเป็นอย่างมาก เมื่อลุคโจมตีเต็มกำลังแท่งเหล็กก็เจาะศีรษะและหน้าท้องของสัตว์ประหลาดจนบาดเจ็บสาหัส
โดยไม่สนใจเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้น ลุคก็ถอยออกไปและดึงโต๊ะที่ถูกผลักออกไปกลับเข้าไปที่ ก่อนที่จะขอให้คนด้านในหยิบท่อเหล็กมาให้กับเขาจำนวนมาก
คนกล้าหาญบางคนนำท่อเหล็กหลายท่อนมาให้กับเขา
ในที่สุด ลุคก็สามารถโล่งใจได้เป็นระยะเวลาสั้นๆ เขามองดูสัตว์ประหลาดตัวมหึมาภายนอกผ่านช่องว่าง
สัตว์ประหลาดคำราม แต่บาดเจ็บหนักเกินกว่าจะลุกขึ้นยืนได้
.
อย่างไรก็ตาม จู่ ๆ ก้ามขนาดใหญ่คู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นในหมอกและคว้าสัตว์ประหลาดที่กำลังคำรามก่อนจะถอยกลับ
หลังจากเสียงแตกหักของกระดูกไม่กี่ครั้ง เสียงทั้งหมดก็เงียบลงอีกรอบเหลือไว้เพียงแรงสั่นสะเทือนเป็นจังหวะๆ
ทุกคนหน้าซีด
เพียงแค่ก้ามของมอนสเตอร์ตัวใหม่ก็สามารถจะคีบ มอนสเตอร์ตัวที่ลุคพึ่งจัดการไป สัตว์ประหลาดที่มีลำตัวยาวห้าเมตรนั้นน่าจะมีจุดจบอย่างน่าสังเวทอย่างแน่นอน
แต่ทว่าอาจเป็นเพราะมันใหญ่เกินไป สัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงกลัวเหล่านี้จึงไม่สนใจมดตัวเล็กๆ ในซูเปอร์มาร์เก็ต
ลุคพูดกับคนสองสามคนที่อยู่ใกล้ๆ ด้วยท่าทีห้ามปราม “บอกให้พวกเขาหยุดร้องไห้ซะ ไม่มีใครจะมีชีวิตรอดอยู่แน่หากเสียงร้องไห้พวกเขาดึงดูดมอนสเตอร์เข้ามา”
เสียงกรีดร้องในซุปเปอร์มาร์เก็ตก็หายไปในที่สุด เด็กๆ ถูกพ่อแม่พาไปร้องไห้อยู่ภายในห้องน้ำ
ห้องน้ำของที่นี่ปลอดภัยและเก็บเสียง พวกเขาสามารถร้องไห้ได้มากเท่าที่พวกเขาต้องการที่นั่น
หลังจากเหตุการณ์นั้น ทุกคนในซูเปอร์มาร์เก็ตก็ระมัดระวังตัวมากขึ้น
นอกจากสำนักงานและห้องน้ำแล้ว ส่วนต่างๆ ของซูเปอร์มาร์เก็ตก็เงียบสนิท
ลุคปาดเหงื่อของเขา ครึ่งหนึ่งเพราะหมดแรง และครึ่งหนึ่งเพราะความกลัว
สัตว์ประหลาดตัวสุดท้ายน่ากลัวเกินไป เขาคาดว่ามันน่าจะยาวสักยี่สิบเมตรได้
ซึ่งจะมีผลลัพท์เดียวถ้าหากสัตว์ประหลาดตัวดังกล่าวบุกเข้ามาภายในซูปเปอร์มาร์เก็ต
.
B_R : ปุกาศ ปุกาศ !!!!!!!!!
ช่วงนี้จะช้าหน่อยนะครับผู้อ่านทั้งหลาย
แต่จะพยายามเร่งให้ได้อ่านกันไวๆ นะครับ
.
.
เรามีเพจแล้วน้าเข้าไป Follow กดถูกใจ พูดคุย ติดตามข่าวสารกันได้น้า ….
https://www.facebook.com/สุดยอดนักสืบในโลกแห่งจินตนาการ-SDFW-105519611538127