ตอนที่ 2 ข้าไปจะฆ่าปีศาจ จับตาดูอย่ากระพริบเชียวล่ะ !
ตอนที่ 2 ข้าไปจะฆ่าปีศาจ จับตาดูอย่ากระพริบเชียวล่ะ !
“ถ้าท่านไปที่ภูเขาและปราบปีศาจเอง มันจะง่ายกว่าไหม?”
“เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ”? ผู้อาวุโสลำดับสามถามย้ำอีกครั้ง
“เอ่อ ข้าบอกว่าถ้าข้าไปที่ภูเขาแล้วกำจัดปีศาจได้ แบบนั้นถึงจะถูกต้องใช่ไหม”
เมื่อได้ยินคำพูดของลู่สุ่ย ผู้อาวุโสลำดับสามก็ไม่ได้พูดอะไร เขามองดูลู่สุ่ยอย่างรอบคอบ
ลู่สุ่ยยืนอยู่นั่นอย่างสงบไม่มีท่าทีไม่สุภาพหรือเอาแต่ใจแม้แต่น้อย
“เจ้ามีความสามารถในการฆ่าปีศาจตัวนั้นหรือ”? ผู้อาวุโสลำดับสามถามหลังจากนั้นครู่หนึ่ง
ลู่สุ่ยยิ้มเล็กน้อยและแม้ว่าเขาจะคิดว่าเขามีความสามารถ แต่เขาไม่ได้พูดออกมา แต่เขากลับพูดว่า “ข้าขอเวลาสามวันได้ไหม”?
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ผู้อาวุโสลำดับสามหัวเราะเยาะและพูดว่า “จะฝึกฝนภายในสามวันนี้เรอะ? เจ้าพึ่งพ่ายแพ้ไปเมื่อสามวันก่อน เจ้าอยากจะเป็นตัวตลกอีกแล้วหรือ? เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าทำลายชื่อเสียงของตระกูลลู่ของเราไปหมดแล้ว”
“ถึงข้าจะเสียชื่อเสียงไปหมดแล้ว แล้วทำไมข้าจะต้องกลัวด้วย?”
แน่นอนว่า ลู่สุ่ยไม่ได้พูดคำเหล่านั้นต่อหน้าผู้อาวุโสลำดับสาม เขาได้แต่ยืนนิ่งเงียบไม่พูดอะไร
ผู้อาวุโสลำดับสามมองดูชายหนุ่มและถามว่า “เจ้าจะไม่พูดอะไรสักหน่อยเหรอ?
“ลู่สุ่ย เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน?”
“พรสวรรค์ทั่วไปโดยเฉลี่ยแล้ว จะไม่ได้มาจากการฝึกฝน แต่มันจะมาจากความสามารถที่แสดงออกมาโดยไม่รู้ตัวต่างหาก หากเจ้าไม่ได้มาจากตระกูลลู่ เจ้าอาจถูกมองว่าเป็นผู้ฝึกตนที่มีคุณค่า แต่ในตระกูลลู่ เมื่อเทียบกับกองกำลังหลักแล้ว เจ้ายังถือว่าล้มเหลว ข้อได้เปรียบเพียงอย่างเดียวของเจ้าคือการมีทายาทเพื่อสืบทอดมรดกได้เท่านั้น”
ลู่สุ่ยไม่ได้รู้สึกอะไรมาก เมื่อต้องเผชิญกับการเยาะเย้ยของผู้อาวุโสลำดับสาม
จากนั้นลู่สุ่ยก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่ผู้อาวุโสลำดับสาม “ถ้าอย่างนั้น ท่านผู้อาวุโสลำดับสาม ข้าสามารถไปที่ภูเขาเพื่อฆ่าปีศาจจะได้หรือไม่”?
ผู้อาวุโสลำดับสามขมวดคิ้วเมื่อได้ยินแบบนี้และคิดว่านี่ไม่ใช่ท่าทีที่ปกติของเขา
หากเป็นปกติแล้ว ตราบใดที่มีการกล่าวถึงคำว่ามรดก เขาจะกระโดดขึ้น แต่วันนี้เขาไม่มีปฏิกิริยาเลยเหรอ?
หรือว่าเขาสำนึกอะไรได้?
ผู้อาวุโสลำดับสามมองไปที่ลู่สุ่ยและพูดว่า “หากเจ้าฆ่าปีศาจไม่สำเร็จ เจ้าจะถูกลงโทษหนักเป็นสิบเท่า”
เขาต้องการใช้การลงโทษเพื่อทำให้ลู่สุ่ยหวั่นไหว แต่เขาก็ต้องแปลกใจเพราะลู่สุ่ยไม่ได้สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย
“ตกลง แต่ถ้าข้าฆ่าปีศาจได้สำเร็จ ผู้อาวุโสลำดับสามต้องสัญญากับข้าก่อนว่าจะอัปเดตอุปกรณ์ใหม่ทั้งหมดให้กับพวกเรา”
สำหรับลู่สุ่ยสิ่งอื่นๆไม่สำคัญเท่ากับการรักษาคำพูด
ผู้อาวุโสลำดับสามเหล่ตาของเขาไปที่ลู่สุ่ย นี่เป็นลูกชายคนเดียวในตระกูลลู่ เขาสนใจแต่สิ่งที่ไร้ประโยชน์เหล่านี้ ซึ่งเป็นเพียงความอัปยศต่อตระกูลลู่โดยแท้จริง
มันน่าผิดหวังมาก
ผู้อาวุโสลำดับสามถอนหายใจและพูดว่า “ได้ แต่ข้าให้เวลาเจ้าแค่วันเดียว”
ในสายตาของผู้อาวุโสลำดับสาม ลู่สุ่ยแค่กำลังดูถูกตัวเองอยู่เท่านั้น
จากนั้นผู้อาวุโสลำดับสามพูดต่อ “เจิ้นหวู่ เจิ้นหลิง ติดตามลู่สุ่ยไปเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นๆ”
สองคนที่อยู่ข้างหลังพยักหน้า
เมื่อผู้อาวุโสลำดับสามตกลงแล้ว ลู่สุ่ยก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ เขาพูดขึ้นทันที
“เช่นนั้น ข้าขอไม่รบกวนท่านแล้ว”
หลังจากนั้นลู่สุ่ยก็หันหลังกลับและจากไป
ทันทีที่ลู่สุ่ยจากไป ลู่กู่เข้ามาและพูดว่า “ท่านผู้อาวุโสลำดับสาม เราเพิ่งได้รับข้อความ”
“อะไรรึ?”
ลู่กู่ส่งโน๊ตให้ผู้อาวุโสลำดับสาม หลังจากที่เห็นข้อความแล้ว ผู้อาวุสำลดับสามก็ขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ตระกูลมู่? พวกมันจงใจซ่อนไว้งั้นเรอะ?”
ลู่กู่ไม่ตอบ เพราะเขาเองก็ไม่รู้
ผู้อาวุโสลำดับสามพูดว่า “งั้นเราต้องลูกชายของเจ้ากลับมาก่อน”
เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะลงมือทำด้วยตัวเอง
ลู่สุ่ยเดินออกจากห้องโถงไป แม้ว่าเขาจะเห็นพ่อของเขาเดินเข้ามา แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไร
ไม่ว่าใครจะใหญ่แค่ไหนในตระกูลนี้เขาก็ไม่ได้สนใจ เพราะตอนนี้เขาเองก็เป็นเพียงแค่นายน้อยที่ไร้ประโยชน์
เขาเคยอวดดีมาแล้วรอบนึง แล้วเขาก็เกือบจะสูญเสียเอวไป
ที่จริงแล้วสิ่งที่เรียกว่าปีศาจเป็นเพียงสัตว์วิญญาณธรรมดาในระดับที่สอง แต่เนื่องการฝึกตนของเขายังไม่เสถียรนัก ดังนั้นเขาจึงอาศัยการดื่มน้ำอมฤตเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้เป็นระดับสอง แม้ว่าระดับการฝึกตนของเขาจะเพิ่มขึ้น แต่ในด้านอื่นๆมันก็ยังอยู่เท่าเดิม
การแบ่งอันดับของกระบวนการฝึกตนนั้นตรงไปตรงมา ขอบเขตปกติคือนับจากอันดับ 1 ถึงอันดับ 7
ขั้นแรกคือการสร้างร่างกายซึ่งเน้นความแข็งแกร่งของร่างกายและรากฐานเของร่างกายป็นหลัก ในขั้นแรกนั้น รากฐานมีความสำคัญอย่างมาก
ขั้นที่สองคือสมาธิ ซึ่งจะได้ความสามารถในเรียกใช้หรือสะสมพลังต่างๆในร่างกายเพื่อใช้กระบวนท่าวิชาคาถาต่างๆได้
ขั้นที่สามคือความรู้ทั่วไป ซึ่งต้องเข้าใจประเด็นหลักสามประการอย่างชัดเจนและควบคุมพลังของตัวเองได้ดีขึ้น ในขั้นตอนนี้ เราจะสามารถเรียนรู้กระบวนท่าวิชาคาถาอื่นๆเพิ่มเติมได้
มีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพบางอย่างในขั้นตอนการร่ายคาถาและการรวบรวมพลังจิตวิญญาณ ยกตัวอย่างวิชาบอลเพลิง คนๆนั้นต้องเรียกพลังในร่างกายของเขาเพื่อไปรวบรวมพลังในขั้นที่สอง แต่นขั้นที่สาม คนๆนั้นไม่จำเป็นต้องเรียกพลังในร่างกายหรือรวบรวมพลังก่อนอีกต่อไป
หลังจากมาถึงขั้นที่สาม พลังจะกระจายไปทั่วร่างกายแล้วก็สามารถเรียกใช้ได้ตามใจชอบ
ขั้นที่สี่เรียกว่ารวบรวมศูนย์ เป็นการที่ร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณมารวมตัวกันเพื่อไปถึงจุดสูงสุดและหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
หลังจากขั้นตอนรวบรวมศูนย์ พลังของคนๆนั้นจะผสมกับพลังฉีและจิตวิญญาณ ซึ่งทำให้เกิดพลังที่ส่งผลโดยตรงต่อร่างกาย พลังนั้นจะทำให้แข็งแกร่งขึ้นซึ่งเพิ่มการควบคุมของคนๆหนึ่งได้ ในขั้นตอนนี้ จะสามารถควบคุมร่างกายได้ตามต้องการ
อ้อใช่ที่นี่ใครๆ ก็ลอยได้โดยใช้ดาบของเขา
และแต่ละระดับจะแบ่งออกเป็นเจ็ดระดับย่อย นั่นคือ 1.1, 1.2 - 1.7 เป็นต้น ลู่สุ่ยตอนนี้อยู่ในระดับ 2.1 ดังนั้น อย่างน้อยเขาก็สามารถร่ายเวทย์ได้
ดังนั้นเมื่อเขาได้รับบาดเจ็บจากปีศาจซึ่งไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันนั่นจึงทำให้เขาเสียหน้า
เป็นเพราะเหตุการณ์นี้เองที่เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นแค่เครื่องมือสำหรับตระกูลลู่ น่าเสียดายที่เขาไม่มีแม้แต่ลูกในชีวิตก่อนหน้านี้ นั่นทำให้ผู้อาวุโสเหล่านั้นผิดหวังในตัวเขามากขึ้นไปอีก
ลู่สุ่ยเดินลงบันไดตามด้วยเจิ้งหวู่และเจิ้งหลิง ลู่สุ่ยไม่ได้รู้สึกอะไรกับพวกเขาทั้งสอง ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจเลย
ฉีซี่ยังคงรออยู่ตรงใกล้บันไดหิน เมื่อเธอเห็นลู่สุ่ยเธอก้มศีรษะและกล่าวว่า “ท่านนายน้อย”
ลู่สุ่ยเดินไปข้างหน้าโดยไม่แม้แต่จะมองเธอ เขาพูดอย่างไม่ตั้งใจว่า “กลับไปก่อนนะ”
ฉีซี่ตอบทันที “ได้เลยท่านนายน้อย”
หลังจากนั้น ลู่สุ่ยก็ตรงไปที่ภูเขาที่อยู่ไกลออกไป ตามเนินเขามีเมืองที่ผู้คนอาศัยอยู่มาหลายชั่วอายุคน ตระกูลลู่ไม่ได้ควบคุมคนเหล่านี้ เพราะพวกเขาอยู่อย่างอิสระโดยไม่ได้สนใจการพัฒนาใดๆ
ครั้งล่าสุด ปีศาจถูกพบที่นอกเมืองตอนที่ลู่สุ่ยผ่านทางนี้พอดี เขาเลยอาสาที่จะฆ่าปีศาจตัวนี้ให้
ผลที่ได้คือล้มเหลวไม่เป็นท่า
หลังจากมาถึงด้านล่างของภูเขา ลู่สุ่ยรู้สึกเหมือนเขาจำได้เกือบทุกอย่าง เขาถามเจิ้นหวู่ว่า “ปีศาจนั่นอยู่ที่ไหน”?
เจิ้นหวู่ก้มศีรษะและขอโทษ “ผู้อาวุโสลำดับสามไม่อนุญาตให้เราช่วยนายน้อยเลย โปรดเข้าใจข้าด้วยเถิดนายน้อย”
ลู่สุ่ยไม่ได้พูดอะไร หลังจากนั้นเขาก็หยุดชั่วคราว เขาบอกเจิ้นหวู่ว่า “งั้นช่วยข้าเก็บกิ่งไม้หน่อย”
เจิ้นหวู่ไม่ได้ปฏิเสธและรีบตัดกิ่งไม้เล็กๆออกจากต้นไม้ จากนั้นเขาก็ยื่นมันให้ลู่สุ่ยด้วยความเคารพ
ลู่สุ่ยหยิบกิ่งก้านนั้นและโยนขึ้นไปในอากาศ เมื่อพวกมันตกลงมาลู่สุ่ยก็จะมุ่งหน้าไปในทิศทางที่กิ่งไม้พวกนี้ชี้ไป
เจิ้นหวู่และเจิ้นหลิงชำเลืองมองกันและกัน พวกเขาทำอะไรไม่ถูก
เขาสามารถหาปีศาจได้โดยการโยนกิ่งไม้บางๆได้จริงๆหรือ?
พวกเขารู้สึกว่านายน้อยของพวกเขามาเพื่อเล่นเท่านั้น หากสามารถเจอปีศาจได้เพียงแค่โยนกิ่งไม้ออกไป ก็คงไม่มีปิศาจใดๆอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว
แต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไร พวกเขาทำได้เพียงหยิบกิ่งไม้และติดตามนายน้อยของพวกเขาอย่างเงียบๆเท่านั้น
หลังจากโยนกิ่งไม้สามครั้ง ลู่สุ่ยพูดว่า “เจอแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดของลู่สุ่ยทั้งเจิ้นหวู่และเจิ้นหลิงก็ตกตะลึง เมื่อพวกเขามองไปเห็นปีศาจที่มีลักษณะแปลกประหลาดอยู่
มันมีกรงเล็บแหลมคมที่แขนขาและมีเนื้อหนังจำนวนมากบนตัวของมัน ครอบคลุมทุกอย่างยกเว้นดวงตาของมัน
ไม่แปลกใจเลยที่ลู่สุ่ยเรียกมันว่าปีศาจ
นี่เป็นเรื่องบังเอิญใช่มั้ย?
ไม่ เขารู้ที่ล่วงหน้าอยู่แล้วและจงใจเล่นกับกิ่งไม้แค่นั้น
ใช่ มันควรจะเป็นเช่นนั้น เป็นไปไม่ได้ที่ใครจะพบปีศาจได้เพียงแค่การโยนกิ่งไม้
อย่างน้อย นายน้อยของตระกูลลู่ก็ไม่เคยมีความสามารถนี้มาก่อน
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาทั้งสองคนประหลาดใจมากที่สุดคือสิ่งที่ลู่สุ่ยกำลังทำต่อไป
เขาดึงดาบออกจากฝักของเจิ้นหวู่และพูดว่า “ข้าจะฆ่าปีศาจตัวนี้ เจ้าควรจะได้เห็นมัน แม้ว่ามันอาจจะเร็วไปหน่อย อย่ากระพริบตาเชียวล่ะ”