ตอนที่1 โชคดีที่เอวข้ายังอยู่
ตอนที่1 โชคดีที่เอวข้ายังอยู่
บ่ายวันหนึ่ง
ในห้องหนึ่งของศาลา จู่ๆลู่สุ่ยก็ตื่นขึ้น
เขาสับสนเล็กน้อย 'ทำไมเขาถึงมานอนอยู่ที่นี่ทั้งที่ข้าอยู่ในห้องลับ'
หรือมีใครไประเบิดห้องลับของเขาอีกแล้ว?
ไม่ เขาจะต้องรู้สึกตัวอย่างแน่นอนถ้ามีคนทำ แต่เขาไม่ได้ยินอะไรเลย
เมื่อเขากำลังจะตรวจดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ เขาเห็นกระดาษแผ่นเล็กๆหล่นออกจากมือและตกลงไปบนโต๊ะหิน
ลู่สุ่ยเหลือบมองกระดาษใบนั้นด้วยความสงสัยและร้องไห้ด้วยความประหลาดใจ
“แต่งงาน? แต่งงานอะไร?”
เขาอ่านเนื้อหาในกระดาษแผ่นนั้น
“ทะเบียนสมรสของลู่สุ่ยและมู่เซี่ย? นี่มันเรื่องเมื่อนานมาแล้วไม่หรือ?”
แม้ว่าเขาจะรู้สึกแปลกๆ แต่ลู่สุ่ยก็ไม่ได้สนใจอะไรมากและคิดที่จะทำอะไรบางอย่างที่สามารถตอบปัญหาความสงสัยเหล่านี้ได้ อย่างแรกเขาหยิบโทรศัพท์รุ่นเก่าๆออกมา ซึ่งเขาก็พึมพัมออกมาอย่างแปลกใจ
“เวลาก็ไม่ตรง ลองตรวจสอบในอินเทอร์เน็ตดูดีกว่าเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครแกล้งข้าจริงๆ”
ลู่สุ่ยเปิดหน้าเว็บและไปดูเวลาบนเว็บ แต่ความเร็วอินเทอร์เน็ตช้ามาก เลยต้องใช้เวลานานขึ้นเล็กน้อย
เมื่อดูความเร็วอินเทอร์เน็ตแล้ว เขาเลยค่อนข้างมั่นใจ
ครอบครัวของเขามีอคติแปลกๆ พวกเขาทั้งหมดอาศัยอยู่นอกโลกนี้ ชายชราของครอบครัวเขาเป็นเซียนและหัวดื้อรั้น แม้ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไป แต่ครอบครัวของเขาไม่ได้ตามทันยุคสมัยสักเท่าไหร่ในขณะที่คนอื่นใช้ 8G แล้ว พวกเขายังคงใช้ 2G อยู่ 2G นี้เป็นสิ่งที่เขาได้รับหลังจากร้องขออ้อนวอนมันมาจนได้
**2G 8G = ความเร็วอินเทอร์เน็ต**
หลังจากนั้นไม่นาน เว็บไซต์ก็โหลดและแสดงเวลาซึ่งไม่แตกต่างจากที่แสดงบนโทรศัพท์ของเขา
หลังจากเก็บโทรศัพท์แล้ว ลู่สุ่ยก็ดูทะเบียนสมรสและพูดว่า
“หรือว่า ข้ามาเกิดใหม่?”
ลู่สุ่ยรู้สึกไม่มีความสุขที่ได้เกิดใหม่ แต่เขากลับรู้สึกไม่สบายใจเพราะเขาไม่รู้สาเหตุที่ทำให้เขาต้องเกิดใหม่แบบนี้
ลู่สุ่ยวางแผนที่จะออกไปข้างนอกเพื่อดูว่าเขาเกิดใหม่จริงหรือไม่
เขาลุกขึ้นยืน แต่เขาก็รู้สึกเจ็บจนทำให้เขาต้องนั่งลงอีกครั้ง
"เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเอวของข้ามันจ็บจัง”
หลังจากถอดเสื้อออกเพื่อตรวจดูร่างกาย เขาพบรอยแผลเป็นที่เอว
แม้จะมีร่องรอยการใช้ยาทาไปบ้างแล้ว แต่มันก็ยังไม่หายดี
“คงไม่ได้เกิดจากเขาเอาไตไปขายหรอกนะ? ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ แต่มันคงเป็นไปได้ยากถ้าข้าทำแบบนั้นจริงข้าคงกลายเป็นคนร่ำรวยไปแล้ว”
เพราะว่ามันผ่านมานานมากแล้ว เขาเลยจำไม่ได้ว่าเขาได้แผลนี้มายังไง
อย่างไรก็ตาม เขายังจำได้ว่าเขาเป็นนายน้อยของตระกูลลู่
ครอบครัวลู่ไม่ใช่ครอบครัวที่ตกต่ำ เขาไม่คิดว่าพวกคนในครอบครัวจะซื้อยารักษาอาการบาดเจ็บของเขาไม่ได้
ขณะที่เขากำลังนึกถึงที่มาของแผลเป็นนี้ก็มีคนเรียกเขา
“นายน้อย”
ลู่สุ่ยเหลือบมองไปที่สาวใช้ เขาจำอะไรเกี่ยวกับเธอไม่ได้เลย เขาจึงถอนหายจออกมาและพูดว่า
“มีอะไรรึ”
ฉีซี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เสียงของนายน้อยฟังดูสงบและพูดว่า
“ผู้อาวุโสลำดับสามกำลังตามหานายน้อยและขอให้ข้าพานายน้อยไปหาท่าน”
ลู่สุ่ยยิ้มและคิดว่า 'หนึ่งในสามผู้ยิ่งใหญ่งั้นรึ'
จากนั้นลู่สุ่ยขอให้ฉีซี่นำทางไป
“เขาพูดอะไรหรือเปล่า”
เขาเริ่มเดินออกจากศาลาไปแล้วเมื่อถามคำถามนี้ สำหรับบาดแผลบนร่างกายของเขา เขากัดฟันและทนต่อความเจ็บปวด
เนื่องจากมีคนใช้เดินตามหลังเขา เขาจึงต้องรักษาภาพลักษณ์ของนายน้อยเอาไว้
ฉีซี่เดินตามหลังลู่สุ่ยและกล่าวด้วยความเคารพ
“ข้าได้ยินจากผู้อาวุโสลำดับสามเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของนายน้อยหลังจากที่นายน้อยไปที่ภูเขาเพื่อกำจัดปีศาจเมื่อสองสามวันก่อน”
หลังจากหยุดชั่วครู่ฉีซี่ก็ลังเลและพูดอีกครั้ง
“ผู้อาวุโสลำดับสามกำลังโกรธอยู่”
ลู่สุ่ยที่เดินอยู่ข้างหน้า เมื่อเขาได้ยินแบบนั้น มุมปากของเขาก็ขดขึ้นเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็จำได้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บนี้ได้อย่างไร
นั้นก็คือเขาไม่สามารถกำจัดปีศาจได้และได้รับบาดเจ็บกลับมาแทน
ในฐานะลูกชายคนเดียวในตระกูล ทำไมเขาถึงไร้ความสามารถขนาดนี้? แน่นอนว่าผู้อาวุโสทั้งสามจะต้องโกรธ
คราวนี้พวกเขาถามถึงเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
“แต่ตอนนั้นเขาทรมานมากจริงๆ อาการบาดเจ็บแบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับทั้งสามคนนั้นแต่มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับข้า”
แต่ลู่สุ่ยก็ไม่ได้พูดอีกต่อไป และฉีซี่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเช่นกัน เธอรู้สึกว่าวันนี้นายน้อยดูแปลกๆไปเล็กน้อย
เธอไม่รู้ว่าแตกต่างออกไปตรงไหน แต่ดูเหมือนว่านายน้อยของเธอวันนี้จะดูมั่นใจขึ้น
ไม่นานหลังจากนั้น ลู่สุ่ยก็มาถึงห้องโถงใหญ่ ซึ่งผู้อาวุโสมักจะใช้เพื่อพบปะกับผู้คนในตระกูล
ห้องโถงใหญ่ไม่ได้เป็นเพียงโถงธรรมดา แต่เป็นอาคารที่งดงามด้วยของเก่าทั่วทุกมุม มันให้รู้สึกถึงความยิ่งใหญ่
ลู่สุ่ยมองไปยังห้องโถงอันงดงามและเดินขึ้นบันได
ฉีซี่อยู่ตรงด้านหน้าบันไดหิน
“เจ้าอยู่ตรงนี้แหละ” ชายหนุ่มรูปงามที่ประตูบอกกับลู่สุ่ย
เมื่อเห็นเขา ลู่สุ่ยยิ้มและพูดว่า
“ท่านพ่อ สบายดีไหม? ท่านยังดูดีเหมือนเดิมนะ”
พ่อของเขาชื่อลู่กู่เป็นปรมาจารย์ของตระกูล ลู่ แม้ว่าเขาจะอยู่ในความดูแลของสมาชิกในตระกูลบางคน แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่ใช่หัวหน้าตระกูล
พ่อของเขาก่อนเกิดใหม่ไม่ได้เป็นแบบนี้ เขาดูเฉื่อยชาและอ่อนล้ามากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับตัวตนปัจจุบันของเขา
ลู่กู่มองไปที่ลู่สุ่ยและถอนหายใจ “เมื่อไรเจ้าจะจริงจังกว่านี้? เจ้าเข้าใจอะไรยากมากนักหรือ?”
ลู่สุ่ยคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“ท่านพ่อ ข้ามีเรื่องจะบอกท่าน”
ลู่กู่ขมวดคิ้ “เจ้าจะพูดอะไร?”
เขายังคงเข้าใจลูกชายของตัวเองมากที่สุด แต่โดยปกติความคิดเห็นของเขาทั้งสองมักจะไม่ค่อยลงรอยกัน
ลู่สุ่ยมองไปรอบๆ และหลังจากแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ เขาก็กระซิบที่หูของพ่อของเขา
“ในขณะที่ท่านยังหนุ่มแน่นอยู่ ท่านช่วยมีน้องชายให้ข้าสักคนเถอะ เมื่อท่านแก่ตัวไป ท่านจะไม่มีเวลาแล้วนะ”
มันทำให้ลู่กู่ตกตะลึงเป็นเวลานาน จากนั้นเขาก็ตอบลูกชายเขาอย่างครุ่นคิด “มันก็จริงนะ”
เมื่อลู่สุ่ยได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาก็เสียหลักเล็กน้อย พ่อของเขาคิดว่าเขายังหนุ่มแน่นจริงๆ และตำแหน่งของเขาในตระกูลก็เป็นตำแหน่งที่อันตรายด้วย
หลังจากเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ลู่สุ่ยเห็นชายวัยกลางคนนั่งอยู่บนที่นั่งด้วยใบหน้าที่ดุร้าย ราวกับว่าทุกคนเป็นหนี้เขามากมายมหาศาล
มีคนสองคน เป็นชายและหญิง ยืนอยู่ข้างชายคนนั้น ไม่แน่ใจว่าเป็นลูกศิษย์หรือคนรับใช้
ลู่สุ่ยไม่คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาทักทายชายคนนั้นด้วยความเคารพ
“สวัสดี ท่านผู้อาวุโสลำดับสาม”
ผู้อาวุโสลำดับสาม ลู่ ปู่เจิ้ง เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก
แม้ว่าจำนวนสมาชิกของตระกูลลู่ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจะลดลง แต่สถานะในโลกแห่งการฝึกตนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ลู่ ปู่เจิ้ง กล่าวอย่างเคร่งขรึม
“เจ้ารู้ความผิดพลาดของเจ้าใช่ไหม?”
ลู่สุ่ยส่ายหัวและถามด้วยความเคารพ:
“ไม่ แต่ข้ามีคำถามสำหรับผู้อาวุโสลำดับสาม”
ลู่ ปู่เจิ้งไม่ได้โกรธกับคำถามของเขา แต่เขากลับถามกลับว่า
“อะไรรึ?”
“ถ้าท่านไปที่ภูเขาแล้วฆ่าปีศาจได้ มันจะง่ายกว่าไหม”?
ลู่สุ่ยนั้นไม่ใช่คนที่จะยอมรับความผิดพลาดของเขาง่ายๆ