[Rewrite,อ่านฟรี] Special District 9 ตอนที่ 63 ดาวคู่ส่องแสงในเจียงโจว (ตอนที่ 1)
ตอนที่ 63 ดาวคู่ส่องแสงในเจียงโจว (ตอนที่ 1)
ที่ข้างถนน ลูกน้องเจ็ดแปดคนกำลังเล็งปืนไปที่ฉินหยู่และฉีหลิน ในขณะที่ต่งเฉิงที่ถูกฉีหลินขยุ้มคอจ่อปืนใส่ เขาตะโกนอีกครั้งด้วยแววตาดุร้าย “พวกฟ้าคำรามมีจำนวนเกือบพัน แต่ไม่มีฟ้าคำรามตัวใหญ่สักตัวเดียวบนแผ่นดินเจียงโจว ที่มีเข็มขัดระเบิดเอาไว้ขู่ใครได้ ลองถามท้องถิ่นดูว่าพวกมันมีใครกล้ามาสร้างปัญหาที่ตระกูลหลี่ไหม? หากนายยืนอยู่ที่นี่และกลัวหัวหดหรือว่าแหกปากร้องโวยวาย นายสมควรอยู่ในสกุลหลี่หรือไม่? ไอ้เด็กเมื่อวานซืน ฉันจะปล่อยให้แกดึงสายระเบิดก่อนเลย! แม่งกล้าไหมวะ?”
ฉินหยู่เครียดจนเส้นเลือดปูดโปนบนหน้าผาก มือซ้ายของเขายังกำสายสีเขียวสลักระเบิดปลอมไว้และไม่กล้าขยับตัวในขณะนั้น
ระเบิดของเขาเป็นของปลอมและอีกฝ่ายก็ไม่หลงเชื่อคำขู่ของเขา เขาควรทำอย่างไร?
“เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่าถ้านายมานั่งคุยกัน เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ แต่ตอนนี้นายทำให้เรื่องมันยุ่งยากเกินไปแล้ว นายคิดว่าจะยังหนีรอดไปได้ไหม?” หลี่ถงยืนพิงรถและพูดด้วยรอยยิ้ม “เอาน่า คุกเข่าลงก่อนแล้วโยนปืนห่วยๆ นั่นทิ้งไป เรายัง...!”
ฉินหยู่คว้าผมของหลี่ถง และกระแทกหัวกับรถ 3 ครั้ง มือขวาของเขาล้วงกระเป๋าโดยไม่รู้ตัว อยากจะชักปืนออกมาจัดการหลี่ถงเต็มแก่
“นายไม่กล้าดึงใช่ไหม? งั้นฉันขอถามนายอีกครั้งว่านายกล้ายิงหรือเปล่า?” ทันใดนั้นต่งเฉิงหันก็โบกมือและตะโกนใส่ลูกน้อง “ทุกคนที่กินข้าวของฉัน มาเอาฉันออกไปแล้วยิงมันเลย! เรามีปืนมากกว่า มันจะยืนหยัดอยู่ได้ให้มันรู้ไป พวกแกกลัวมันจะมีชีวิตมากกว่าสองชีวิตเหรอ?”
“แกพูดมากเกินไปแล้ว!” ฉีหลินตวาดกลับทันควัน
“แกมันก็ระยำหมาพอกัน!” ต่งเฉิงชี้หน้าด่าฉีหลิน “แกลองถามตัวเองว่า แกจะรอดไปได้ไงถ้าแกเหนี่ยวไก?”
“ถ้าฉันไม่รอดไป ก็แค่ถูกฝังในเจียงโจว แม่งจะทำยังไงวะ!” ฉีหลินคำรามใส่หน้า ทันใดนั้น เขาก็กดหัวของต่งเฉิงด้วยมือซ้ายชี้ปืนลงและสาปแช่ง “ไอ้สัตว์นรก ฆ่าข้าเรอะ!? คนสุดท้ายที่ฆ่าข้า ตายไปแล้ว!”
เสียงคำรามดังก้องเป็นเวลานานและเสียงปืนก็ดังขึ้น
“ปัง ปัง ปัง...!”
เสียงปืนดังก้องกังวานออกไป กระสุนทะลุศีรษะของต่งเฉิงทันที
ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นตกตะลึงนิ่งไปหมด หลี่ถงผู้ซึ่งมีสถานะได้เปรียบอยู่เมื่อกี้ เห็นลุงของเขาร่วงลงนอนจมกองเลือดพร้อมกับตายตาค้าง
“เสี่ยวหยู่ ขึ้นรถ!” ฉีหลินละทิ้งร่างต่งเฉิงแล้วเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
“เอามันให้ตาย!” หลี่ถงคำรามอย่างเสียสติทันที
เสียงปืนดังขึ้นอย่างวุ่นวายทันที ฉีหลินหันมายืนตั้งหลักอยู่ริมถนนโดยไม่ซ่อนตัว เขายิงใส่สองคนที่อยู่ใกล้เขาที่สุด
ทั้งสองฝ่ายยิงโต้กันในระยะใกล้ ฉีหลินมีฝีมือยิงปืนระดับแชมป์แม่นปืน และความเชี่ยวชาญในการควบคุมจังหวะการยิง เขาจัดการอีกคนหนึ่งล้มลงในทันที ในเวลาเดียวกัน กระสุนสองนัดพุ่งเข้าหน้าอกและไหล่ของเขาเลือดพุ่งกระฉูด
“ให้ตายเถอะ นายมันไร้ความละอาย ถ้างั้นอยู่นี่แหละ!” ฉินหยู่เห็นว่าฉีหลินเปลี่ยนสถานการณ์อย่างสิ้นเชิง เขารีบชักปืนออกมาและชี้ปากกระบอกปืนลงต่ำ
“ปัง!”
เมื่อสิ้นเสียงปืนในฉับพลัน หลี่ถงก็กรีดร้องและคุกเข่าลงบนพื้นด้วยเข่าข้างหนึ่ง เลือดไหลออกมาจากขาขวาของเขา
“มาเลย! ฉันอยู่นี่แล้ว นายยิงฉัน ฉันก็ยิงเขา! ใครก็ตามที่หลบมันคือลูกหมา!” ดวงตาของฉินหยู่เต็มไปด้วยความคั่งแค้นที่เก็บกดไว้ก่อนหน้าระเบิดออกมา มือซ้ายของเขากดหัวของหลี่ถง อีกมือถือปืนจ่อเล็งไปที่หน้าอกของเขาและท้าทายอย่างไม่กลัวตาย “ใครกล้า เข้ามาเลย!”
ลูกน้องห้าหรือหกคนที่กระจัดกระจายอยู่ไม่ไกล มองไปที่ร่างของต่งเฉิงบนพื้น และหลี่ถงที่ได้รับบาดเจ็บด้วยความตื่นตระหนก
“ฆ่ามันเลย! ไม่ต้องสนใจฉัน” หลี่ถงคำรามอย่างบ้าคลั่ง
ฉีหลินหันกลับมาเมื่อได้ยินเสียงนั้น เล็งปืนไปที่ต้นขาของหลี่ถง และตะโกนมาพร้อมกับสายตาจ้องเขม็งจนแทบถลนออกมานอกเบ้า “ไปอยู่ซงเจียง พี่ชายตาย ฉันกลายเป็นคนไม่มีบ้าน ต้องบากบั่นมาเจียงโจว ผ่านความลำบากทุกรูปแบบ ถ้าทำไม่สำเร็จ ชีวิตเพื่อนและฉันจะถูกทำลาย แล้วแกคิดว่าจะทำให้ฉันกลัวเหรอ? ตอนนี้ฉันต่ำติดดิน เหลือแค่ชีวิตเดียว ถ้าไม่ทำงานหนักวันนี้ พรุ่งนี้คงไม่รอดแล้ว หยุดพล่ามเรื่องตระกูลหลี่แห่งเจียงโจวของแกเสียที ตระกูลของแกเป็นหัวหน้าเขตบริหารพิเศษ แต่ถ้าวันนี้มาบีบคอฉันอย่างไร้ความเป็นธรรม ฉันก็จะฆ่าแกด้วย!”
ทันทีที่เขาพูดจบ เสียงปืน 2 นัดดังขึ้นบนถนนอีกครั้ง เข่าขวาของหลี่ถงถูกกระสุนแตกจนหมด เขากลิ้งไปบนพื้นด้วยความเจ็บปวดและหมดสติไปทันที
ทันใดนั้น ฉีหลินก็หันไปเผชิญหน้ากับพวกกลุ่มลูกน้องพร้อมลดปืนของเขาลง และมองทุกคนอย่างเย็นชา “ใครคือคนสู้ชีวิตบ้าง? โคตรแม่ง ฉันถามว่าใครเป็นคนสู้ชีวิตบ้าง?! มีใครมีชีวิตที่ลำบากกว่าฉัน มีใครบ้างไหม?”
คำพูดจากปากฉีหลินดังก้องอยู่บนถนนเป็นเวลานาน และพวกที่ถือปืนอยู่ ไม่มีใครกล้าออกมาข้างหน้าเพื่อพูดสักคน
“ไม่มีมั้ง ไปกันเถอะ!” ฉินหยู่คว้าคอของหลี่ถงด้วยมือซ้าย “ไปเถอะฉีหลิน นายขับรถ!”
……
สิบวินาทีต่อมา ฉีหลินขับรถแล่นออกไป และฉินหยู่ยิงขู่สามนัดใส่กลุ่มลูกน้องตระกูลหลี่ก่อนที่ทั้งสองจะจากไป ทิ้งให้เหล่ากลุ่มลูกน้องรู้สึกขายหน้าอย่างสิ้นเชิง
บนท้องถนน หลี่ถงนอนหมดสติอยู่ที่เบาะหลังของรถโดยมีเลือดไหลออกมาจากต้นขา ฉีหลินขับรถมองกระจกหน้ารถด้วยสายตาหมองคล้ำและไม่พูดอะไรเลย
ฉินหยู่หยิบบุหรี่ไฟฟ้าขึ้นสูบสองเฮือกแล้วเหลือบเห็นบางอย่าง เขาถอดเสื้อแจ็คเก็ตของเขาออกทันที ฉีกผ้าบุด้านในแล้วพูดว่า “ถอดเสื้อเกราะออก ไหล่ของนายบาดเจ็บ”
“บาดเจ็บ…นายบาดเจ็บหรือเปล่า?” ฉีหลินถามกลับโดยไม่รู้สึกตัวว่าเขาต่างหากที่เป็นคนถูกยิง
“อย่าขยับขณะขับรถ ฉันจะจัดการเอง!” ฉินหยู่ปลดล็อกเสื้อเกราะกันกระสุนและเสื้อชั้นนอกของฉีหลิน
รถแล่นไปบนถนนที่เงียบสงบและมืดมิด สองพี่น้องร่วมชะตากรรม คนหนึ่งขับรถ อีกคนช่วยรักษาบาดแผลโดยไร้คำพูด
หลังจากนั้นไม่นานรถก็ออกจากจี่อันเหนือ ฉินหยู่ยื่นบุหรี่ไฟฟ้าให้ฉีหลินและพูดด้วยเสียงแหบพร่า
“นายแตกต่างจากเมื่อก่อนจริงๆ”
“ชีวิตไม่ได้ให้โอกาสฉันเลือก” ฉีหลินตอบโดยไม่แสดงสีหน้า และเขาก็พูดต่อด้วยเสียงที่แหบลงเช่นกัน “ครั้งหนึ่งในซงเจียง ครั้งหนึ่งในเจียงโจว ทำให้ฉันเข้าใจอะไรบางอย่าง”
“อะไร?” ฉินหยู่ถาม
“สำหรับคนอย่างฉันที่ไม่มีอะไรพิเศษ ไม่มีพื้นฐาน และมีภาระมากมายอยู่เบื้องหลัง หากฉันอยากจะยืนหยัดในยุคนี้ สิ่งเดียวที่ฉันดีกว่าคนอื่นคือ ฉันสามารถมีโอกาสแลกเปลี่ยนชีวิตที่ไม่ดีของฉันเพื่อชีวิตที่ดีของคนอื่น เพื่อแลกกับความมั่งคั่งและชีวิตของคนอื่น” ฉีหลินหันมองไปที่ฉินหยู่ด้วยสายตาที่หมองคล้ำ “ในชีวิตนี้ คนคนหนึ่งอาจได้บางสิ่งจากการถอยกลับไปร้อยก้าว แต่เขาจะไม่ได้อะไรเลยจากการก้าวไปข้างหน้าก้าวเดียวเหมือนหมาป่าเขี้ยวคมตาแดง”
“มันก็แค่ชีวิต เราจะสู้ได้กี่ครั้งกันเชียว?” ฉินหยู่พูดอย่างว่างเปล่าพลางมองไปข้างหน้า
“สำหรับฉัน ฉีหลินตายที่ซงเจียงไปแล้ว จากนี้ไป ฉันจะหาเงินทุกวัน” ฉีหลินพูดจบด้วยรอยยิ้มและเหยียบคันเร่ง
……
ขณะนั้นเป็นเวลาเกือบตีสามแล้ว
ที่ทางเข้าหลักของบัคกิ้งแฮมพาเลซ ฉินหยู่เปิดประตูรถแล้วก้มลงพูดกับฉีหลิน “นายได้รับบาดเจ็บ ฉันจะดูแลส่วนที่เหลือเอง”
ฉีหลินก้มลงและกดบาดแผลบนไหล่ของเขา “ระวังตัวหน่อย”
“ไม่ต้องห่วง” หลังจากที่ฉินหยู่พูดเช่นนี้ เขาก็หันหลังเดินไปที่ทางเข้าหลักทันที
……
ไม่กี่นาทีต่อมา ล็อบบี้ของบัคกิ้งแฮมพาเลซ
“นายท่านคือ...!”
“ฉันกำลังมองหาเจ้านายของนาย” ฉินหยู่เอนตัวพิงบาร์ด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า “เรามีเรื่องต้องหารือกัน”
“คุณได้นัดหมายกับเขาแล้วหรือยังครับ?”
“ไม่ แค่บอกว่าฉันมาจากเขต 9”
“โอเค รอสักครู่ครับ!” อีกฝ่ายพยักหน้า
หลังจากนั้นไม่นาน ฉินหยู่ก็เข้าไปในสำนักงานชั้นบนสุดภายใต้การนำของลูกน้องสามคน
ในห้องนั่งเล่นอันกว้างขวาง ชายวัยกลางคนในวัยสี่สิบสวมเสื้อเชิ้ตลายสก็อตนั่งบนโซฟาและดูรายการทางสถานีโทรทัศน์ออนไลน์ เขาถามโดยไม่เงยหน้าขึ้น “ซงเจียงเหรอ ฉันจำไม่ได้ว่าฉันไปทำอะไรที่นั่น มีธุระอะไร?”
ฉินหยู่เดินไปอย่างไม่ใส่ใจ นั่งลงข้างชายวัยกลางคน “โทรหาโคโค่ แล้วบอกเธอว่าคุณรู้ว่าใครจับกุมพี่คัง”
ชายวัยกลางคนตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “คุณเป็นใคร”
“เพียะ!”
ฉินหยู่ตบหน้าเขาพร้อมตะคอก “ฉันบอกให้โทรไปบอกเดี๋ยวนี้!”
“เวรเอ๊ย!” หลังจากที่ชายวัยกลางคนสบถ ลูกน้องสามคนที่อยู่ถัดจากโซฟาก็ก้าวมาข้างหน้าจะจัดการฉินหยู่
ฉินหยู่ค่อยๆ ยกมือขึ้นชี้ไปที่ชายวัยกลางคนแล้วพูดว่า “ถ้านายแตะฉันแม้แต่นิดเดียว พี่คังจะตายทันที”
……………………………………………………………