Ep.1056 - เผ่ามนุษย์ : ซวนเฟิง
Ep.1056 - เผ่ามนุษย์ : ซวนเฟิง
ความตายของซามัว ทำให้กองทัพแห่งความตายนับหมื่นภายใต้การควบคุมของเขา ลูกไฟแห่งจิตวิญญาณที่ลุกไหม้ในดวงตาทั้งสองของพวกมันดับลง
แต่ในเวลานั้นเอง พลังสมาธิอันทรงพลังอีกสายหนึ่ง ได้กวาดเข้าไปควบคุมหุ่นเชิดเหล่านั้นแทน
พริบตาเดียว กองทัพหุ่นเชิดแห่งความตายถูกเปลี่ยนมือเจ้าของ
อันที่จริงแล้ว เนื่องจากซามัวเป็นเผ่าอันเดด ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถตายได้อีก ทว่าเป็นเพราะดาวเคราะห์อบิลิตี้ของเขาถูกทำลาย ดังนั้นร่างกายเลยแหลกเป็นเสี่ยงๆไปพร้อมกับมัน
จากนั้น ฉินเฟิงเริ่มตรวจสอบอุปกรณ์รูนมิติของซามัว และพบบางอย่างที่มีลักษณะเหมือนยานอวกาศ เขารีบเรียกมันออกมาทันที
ปรากฏเรือใหญ่กว่า 30 ลำลอยล่องในอวกาศ
ปัจจุบันนี้ ฉินเฟิงไม่เพียงได้รับลูกน้องมาใช้งาน แต่ยังได้รับยานอวกาศมาอีกด้วย เมื่อเทียบกับในตอนแรกที่เขามาที่นี่อย่างโดดเดี่ยวแล้ว สถานการณ์มันพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ร่ำรวยในชั่วข้ามคืน!
กองทัพแห่งความตายยอมให้ไป๋หลีเก็บพวกมันเอาไว้ในพื้นที่มิติของเธออย่างว่าง่าย ฉินเฟิงกำลังจะก้าวขึ้นยานอวกาศ แต่เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ชักฝีเท้ากลับมา จากนั้นกวาดมองไปยังสมาชิกพันธมิตรองค์กรมืดที่กำลังรับชมรอบๆ
“อ้อเกือบลืมไป ยังมีใครอยากหาเรื่องผมอีกไหม?”
ถ้ามี เขาจะได้ฆ่ามันเพิ่มอีกคนหนึ่ง
แต่เห็นได้ชัด ว่าในกลุ่มผู้ใช้พลังเหล่านี้ ไม่มีใครกล้าทำแบบนั้น
ตรงกันข้าม ตัวตนทรงอำนาจเลเวล SSS คนแรกที่สนทนากับซามัวก่อนหน้านี้ เอ่ยปากออกมาว่า “สหายผู้นี้หน้าไม่คุ้นเลย คงเพิ่งเข้าร่วมกับพันธมิตรองค์กรมืดใช่ไหม? งั้นมาทำความรู้จักกันดีกว่า ฉันชื่อว่าเฉียนหลาน เป็นเผ่าโดร่า!”
เผ่าโดร่า ว่ากันว่าครอบครองสายเลือดของเทพเจ้า แม้ภายหลังจะได้รับคำตอบจากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์แล้ว ว่าไม่ใช่แบบนั้นซะทีเดียว จริงๆแล้วเผ่าพันธุ์นี้แค่ได้รับสืบทอดพันธุกรรมจากจ้าวเหนือหัวมา แล้วเกิดการกลายพันธุ์ในภายหลังก็เท่านั้นเอง
การกลายพันธุ์ที่ว่าอาจเกิดจากการได้รับสมบัติสวรรค์ , หรืออาจเป็นการฟิวชั่นกับร่างของสัตว์ร้ายบางชนิด แต่สรุปโดยสังเขปแล้ว พวกเขามียีนเลือดเทพที่ได้รับสืบทอดมา ทำให้คนเผ่าโดร่ามีผมและดวงตาเป็นสีทอง แต่ยังคงถือว่าอยู่ในสปีชีส์เดียวกันกับมนุษย์
และเฉียนหลานผู้นี้ เป็นมนุษย์เผ่าโดร่าที่ทรงพลังอย่างเห็นได้ชัด
“ผมเป็นเผ่ามนุษย์ ชื่อว่าซวนเฟิง!”
ฉินเฟิงย่อมไม่ยอมเฉลยชื่อจริงของเขา แต่พูดฉายาแทน อย่างน้อยแค่นี้น่าจะช่วยยืนยันสถานะของเขาได้
“ฮ่าฮ่าฮ่า ได้รู้จักรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นแบบนาย นับเป็นวาสนาที่ดีจริงๆ สนใจจะร่วมมือกันไหม?”
“ขอปฏิเสธ เรื่องนี้ใครดีใครได้ ขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวเอง!”
แม้ได้รับคำตอบนี้ ใบหน้าของเฉียนหลานยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ตรงกันข้าม เขาหัวเราะดังลั่น ถ่ายทอดพลังสมาธิมาอีกครั้ง “ได้! งั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวเอง!”
ว่าจบ เฉียนหลานก็ก้าวขึ้นไปบนเรือทันที
คนอื่นๆต่างทราบดีว่าเฉียนหลานไม่ได้คิดลงมือ เพียงแค่ต้องการหยั่งเชิง หลังได้รู้ชื่อของฉินเฟิง เขาก็ไม่มีเจตนาที่จะอยู่ต่อ
เพราะหากฉินเฟิงเกิดคิดขึ้นมา ว่าพวกเขาอยากมีปัญหากับฉินเฟิง นั่นไม่เท่ากับเป็นการแส่หาที่ตายหรือ?
แต่หลังจากที่หลายคนเริ่มทยอยกันแยกย้าย การสนทนากลับยังไม่หยุดลง
“เจ้านั่นมาจากที่ไหนกัน? ทำไมฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย หรือจะมาจากมิติอันทรงพลังไม่ทราบที่มา? ถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้!”
“แล้วเมื่อกี้นายได้ยินไหม? เฉียนหลานเอ่ยออกมาว่าอีกฝ่ายเป็นรุ่นเยาว์ ฉันเลยลองเพ่งมองดูดีๆ และพบว่าอายุของเจ้าหมอนั่น จริงๆแล้วแค่ 20 เท่านั้น!”
“มีมนุษย์แบบนี้อยู่ด้วยหรือนี่? มันจะน่ากลัวเกินไปแล้ว มิติที่เขาอาศัยจะต้องมีจ้าวเหนือหัวอยู่อย่างแน่นอน!”
“เป็นแค่เผ่ามนุษย์ธรรมดา มีความแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ได้ยังไง!”
หลายคนกำลังคาดเดาว่าฉินเฟิงมีภูมิหลังที่แข็งแกร่งแบบใดกัน ถึงร้ายกาจเพียงนี้ โดยไม่ทันตระหนักแม้แต่น้อย ว่ามิติที่ฉินเฟิงอาศัย มันอยู่ในปลายแถวของมิติระดับล่างเท่านั้น
ทว่านับจากนี้ไป ชื่อซวนเฟิงจะกลายเป็นที่จดจำของมหาอำนาจจากกลุ่มพันธมิตรองค์กรมืด!
และที่แน่ๆคนพวกนี้ไม่มีทางคาดเดาที่มาของฉินเฟิงได้ หรือต่อให้คาดเดาได้ เกรงว่าพวกเขาคงเลือกเชื่อมสัมพันธ์กันมากกว่าเป็นศัตรู
ยานอวกาศของซามัวว่องไวมาก แถมยังมีระบบเรดาร์ที่ทรงประสิทธิภาพ แต่ไม่ว่าจะทรงพลังแค่ไหน มันก็ไม่มากเท่ากับไป๋หลี
ไป๋หลีเป็นสัตว์ยักษ์มิติ ถึงในด้านพลังสมาธิเธอจะไม่แข็งแกร่งนัก แต่รัศมีในการสำรวจ และความสามารถในการรับรู้ความผันผวนของพื้นที่มิติ แข็งแกร่งกว่ามนุษย์มากนัก
แน่นอน การสำรวจของเธอไม่ได้ออกมาเป็นแบบมีรูปภาพเป็นรูปธรรมเหมือนเครื่องมือเรดาร์ทั่วๆไป แต่เธอสามารถใช้การรับรู้ตรวจจับความผันผวนของพลังงานได้
ดังนั้น เมื่อทุกคนจากไป ฉินเฟิงก็ส่งยานอวกาศกลับพื้นที่มิติ จากนั้นมอบหน้าที่นำทางให้ไป๋หลี
“ในตำแหน่งนั้นมีสัตว์ยักษ์มิติ และน่าจะมีเลเวลอยู่ที่ SSS!” ไป๋หลีชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง
“ลองไปดูกัน ไม่ว่าจะใช่เป้าหมายของพวกเราหรือไม่ อย่างน้อยก็ไม่เปล่าประโยชน์แน่ๆ!”
“อื้ม!”
ไป๋หลีเปิดประตูมิติ ปลายทางคือสถานที่ห่างไกล ทั้งสองก้าวเข้าไป หายวับในทันที
พริบตาเดียว พวกเขามาโผล่ในตำแหน่งที่ห่างจากจุดเดิมเป็นอย่างมาก ชนิดที่ว่าต่อให้ใช้ยานอวกาศซึ่งเป็นเทคโนโลยีระดับสูงของเผ่าโดร่า ก็ยังต้องใช้เวลาเดินทางถึงสามวัน
แต่ถ้าเป็นไป๋หลี มันแค่พริบตาเดียวเท่านั้น
ไม่นาน ทั้งสองก็พบสัตว์ยักษ์ตัวที่ว่า มันกำลังคลานไปบนดาวเคราะห์ที่แห้งแล้งและว่างเปล่าดวงหนึ่ง ขุดหาอะไรบางอย่าง
“เป็นสัตว์ร้ายเกราะดารา!”
สัตว์ร้ายเกราะดารา มิใช่สัตว์ร้ายประเภทเดียวกับพวกสัตว์ร้ายเกราะเหล็ก มันไม่ใช่เผ่าแมลง แต่เป็นสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง ออกแนวคล้ายๆกิ้งก่า แต่ไม่แข็งแกร่งเท่ามังกร
ทว่าสัตว์ยักษ์ตัวนี้ได้มาถึงเลเวล SSS แล้ว ถึงคุณสมบัติจะสู้เผ่าพันธุ์ที่กล่าวมาไม่ได้ แต่มันมิใช่ตัวตนอ่อนแออย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เจ้าสิ่งมีชีวิตนี้เพิกเฉยต่อฉินเฟิง นั่นเพราะมันไม่อาจตระหนักถึงตัวเขา หรือต่อให้มันจะตระหนักได้จริงๆ แต่ด้วยร่างกายที่เล็กจ้อยของฉินเฟิง มันก็คงไม่สนใจอยู่ดี
เพราะเขาไม่ใช่สิ่งที่มีชีวิตที่อยู่ในห่วงโซ่อาหารของมัน มนุษย์อย่างฉินเฟิงตัวเล็กเกินไป ไม่พอที่จะอุดซอกฟันของมันด้วยซ้ำ
เพียงแต่ว่า การดำรงอยู่ที่เล็กจ้อยเช่นนี้แล ที่จักกลายเป็นผู้เด็ดชีพมัน!
ฉินเฟิงกวาดแขนออกไป อัญเชิญโคตรดาวเคราะห์ทมิฬออกมา จากนั้นยิงลำแสงทะมึนชวนให้ขวัญผวาจากปลายนิ้ว
หนึ่งดรรชนีแห่งความตาย!
แสงสีดำเข้าปกคลุมสัตว์ร้ายเกราะดาราในทันที กระทั่งเกราะศิลาที่แข็งและหนาของมัน ยังไม่อาจหยุดการรุกรานจากความมืดมิดนี้ได้
พลังงานร้ายแรงแทรกซึมลึกเข้าไป เริ่มกัดกร่อนอวัยวะภายในของมันจนเน่าเปื่อย
“ฮู้มมมม …”
สัตว์ร้ายเกราะดาราร้องโอดโอย แต่ไร้หนทางใดจะต่อต้าน ทำได้เพียงม้วนกลิ้งลงบนดาวเคราะห์
แต่ใช้เวลาไม่นาน สิ่งมีชีวิตทรงพลังตัวนี้ก็ตายลง
ฉินเฟิงดูดซับความแข็งแกร่งของทางกายภาพของมัน และสัมผัสได้ว่าร่างกายของเขากำลังค่อยๆพัฒนาไปอีกขั้น
ตราบใดที่สังหารสัตว์ร้ายแบบนี้อีกซัก 10 ตัว เขาก็จะสามารถเลื่อนขั้นขึ้นเป็นเลเวล SS2 ได้
“ตัวต่อไป!” ฉินเฟิงกล่าว
ไป๋หลีปลดปล่อยการรับรู้อีกครั้ง นำฉินเฟิงไปยังสถานที่ถัดไป
ต้องขอบอกว่า ทะเลดาราหมื่นปีนั้นกว้างใหญ่มาก แต่ก็ยังเต็มไปด้วยอันตรายเช่นกัน
ที่นี่คือถิ่นของสัตว์ร้าย ไม่มีที่ให้มนุษย์เหยียบย่ำ ในแต่ละเผ่าพันธุ์ ล้วนมีตัวตนทรงอำนาจคอยต้านทานผู้ที่มารุกราน
“ก่อนหน้านี้ตลอดมา เป็นฉันที่อยู่เฉยๆ แล้วเฝ้ารอตั้งรับการบุกจากกองทัพสัตว์ร้าย ทุกครั้งที่แล้วๆมา มีแต่พวกมันที่เป็นฝ่ายรุกราน!” ฉินเฟิงย้อนนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ในมิติบลูสตาร์
ทว่าปัจจุบัน ตำแหน่งมันสลับกันแล้ว!
“แต่วันนี้ฉันจะกลายเป็นผู้รุกราน สังหารสัตว์ร้ายที่เจอให้หมดแทน!”
“บางทีการกระทำนี้ มันอาจไม่มีถูกหรือผิด จะต่างกันก็แค่ตำแหน่ง สิ่งที่ฉันกำลังทำ ก็แค่กลายเป็นผู้ล่า แทนที่จะเฝ้ารอให้เป็นฝ่ายถูกทำร้ายก็แค่นั้น!”
ฉินเฟิงลบระลอกคลื่นความเมตตาที่ก่อตัวในใจเขา เริ่มเข่นฆ่าสัตว์ร้ายที่พบเห็น
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฉินเฟิงออกล่าสัตว์ยักษ์อวกาศได้มากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ
“เทคนิคเขตแดนแห่งความตาย!”
“เทคนิคเงาหมื่นอสูร!”
ท่ามกลางระลอกความผันผวนแห่งความมืดมิด สัตว์ร้ายเหล่านั้น ทั้งหมดทยอยกันตกตายลง
ตูมมม!
ร่างกายของฉีดเฟิง ตัดผ่านขีดจำกัดไปอีกขั้น!
ความแข็งแกร่งทางกายภาพยกระดับสู่เลเวล SS2!
…
ในเวลาเดียวกัน ผู้ใช้พลังคนอื่นๆกำลังออกค้นหาท่ามกลางอวกาศในขอบเขตที่กำหนดเช่นกัน แต่พวกเขารู้สึกได้ ว่าในช่วงหลายวันที่ผ่านมา มันแปลกมาก
“ฝ่าบาทเฉียน ดูนั่น! มีร่องรอยการต่อสู้ คาดว่าน่าจะเพิ่งเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วันก่อน ดูจากรูปการณ์แล้ว น่าจะเป็นสัตว์ร้ายเกราะดาราเลเวล SSS!”
เฉียนหลานพอได้เห็นภาพที่สูงส่งกลับมา ก็ต้องสูดหายใจลึก
“นี่มันอักษรรูนแห่งความมืด!”
ในใจเขา ภาพร่างของฉินเฟิงได้ผุดขึ้นมาอีกครั้ง