[Rewrite,อ่านฟรี] Special District 9 ตอนที่ 52 บนถนนมรณะ
ตอนที่ 52 บนถนนมรณะ
หลังจากออกจากเขต 9 แมวแก่ก็รู้สึกได้ทันทีว่าอุณหภูมิภายนอกลดลงอีกครั้ง เขานั่งอยู่ในรถและใส่เสื้อคลุมทหารสามสี่ชั้น เขายกม่านผ้าฝ้ายกันลมขึ้นเพื่อมองออกไปนอกรถพลางพูดว่า “นี่มันลบสี่สิบองศาแน่เลยใช่ไหม?”
“ใช่ เกือบแล้ว” ฉินหยู่ลูบฝ่ามือเป็นครั้งคราวและตอบเบาๆ “อย่านั่งนิ่งๆ นาน ลุกขึ้นขยับไปมา ถ้านายไม่มีอะไรทำ ถูร่างกายของนายก็เพิ่มความอุ่นได้นะ”
“เฮ้ ตอนที่นายมาที่นี่ นายนั่งรถมาด้วยเหรอ?” แมวแก่ถามเรียบๆ
“นั่งนิดหน่อย ที่เหลือก็เดินเอา”
“...แม่ง แกเป็นนักรบจริงๆ” แมวแก่พูดไม่ออก
รถแล่นไปตามถนนที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งและหิมะปกคลุมสองข้างทางเป็นเวลาประมาณ 5 ชั่วโมง ก่อนจะจอดที่คลังพัสดุทหารเล็กๆ แห่งหนึ่ง จากนั้นทั้งสองก็ลงจากรถเพื่อจ่ายเงินและขับรถออฟโรดที่ใช้น้ำมันเบนซินกับสภาพเกือบเป็นเศษเหล็กไปบนถนนอีกครั้ง ด้วยความที่สภาพแวดล้อมที่นี่ค่อนข้างแปรปรวนอย่างรุนแรง รถยนต์ไฟฟ้าบริสุทธิ์หรือรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดจึงมีความเสถียรต่ำ ไม่เหมาะสำหรับการวิ่งระยะไกลในอุณหภูมิติดลบแบบนี้
ผู้กำกับหลี่เป็นผู้จัดเตรียมรถออฟโรดที่ใช้น้ำมันเบนซินผ่านคอนเน็กชันของเขา แม้ว่าจะเกือบจะเป็นเศษเหล็ก แต่ก็ยังต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก และโชคดีที่แอร์ร้อนและฟังก์ชันอื่นๆ ในรถยังใช้การได้ ความสามารถในการบุกตะลุยก็ค่อนข้างสมบูรณ์ มีความทนทานมาก
ระหว่างทาง แมวแก่สำรวจโลกที่ปกคลุมไปด้วยหิมะเหมือนเด็กทารกขี้สงสัย เขาชี้ไปที่โครงเหล็กขนาดใหญ่หลายอันที่อยู่ห่างออกไปหลายกิโลเมตรแล้วถามด้วยสีหน้าสงสัยว่า “โครงเหล็กพวกนั้นมีไว้ทำอะไรน่ะ?”
“นั่นคือหอคอยทำเครื่องหมาย” ฉินหยู่ตอบเรียบๆ “มันมืดและมองไม่เห็น มีตาข่ายเหล็กอยู่ใต้หอคอย”
“เครื่องหมายอะไร?”
“พื้นที่รังสีนิวเคลียร์” ฉินหยู่อธิบายอย่างใจเย็น “หลังภัยพิบัติ รัฐบาลได้สร้างอาคารป้องกันจำนวนมาก แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวทั้งหมด มีอุปกรณ์พลังงานนิวเคลียร์มากมายในอาคาร...เมื่อเกิดภัยพิบัติ โครงการระเบิดจนเหลือพื้นที่รังสีรั่วไหลขนาดใหญ่ หอคอยนั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อเตือนประชาชนในพื้นที่โครงการพัฒนาไม่ให้เข้าไป”
“อ้อ พวกเขาก็ทำอะไรกันเป็นเหมือนกันนะ เฮ่อ…” แมวแก่ถอนหายใจ
ฉินหยู่รู้สึกเบื่อหน่ายเพราะขับรถเป็นเวลานาน เลยหาเรื่องคุยกับแมวแก่ฆ่าเวลา “ความสัมพันธ์ของนายกับเฒ่าหลี่ มันเป็นยังไงเหรอ?”
แมวแก่อึ้งไปเมื่อได้ยินคำถาม
“บอกไม่ได้เหรอ?” ฉินหยู่ยิ้ม “งั้นฉันจะไม่ถามละ”
“ไม่มีอะไรที่ฉันพูดไม่ได้หรอก” แมวแก่หยิบบุหรี่ไฟฟ้าออกมา หันไปมองฉินหยู่แล้วเล่าว่า “เฒ่าหลี่เป็นลุงของฉัน เขากลายเป็นผู้กำกับการตำรวจต่อจากพ่อของฉัน เกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้พ่อของฉันตายเพื่อเฒ่าหลี่ ดังนั้น...ความรู้สึกของฉันที่มีต่อเขาจึงค่อนข้างขัดแย้ง ถ้าจะบอกว่าฉันไม่ได้เกลียดเขาคงไม่จริง แต่เฒ่าหลี่ก็ดีกับฉันมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เอ่อ...ฉันมักจะบังคับตัวเองไม่ให้คิดถึงอดีต แต่ในฐานะลูก...ฉันลืมมันไม่ได้หรอก”
ฉินหยู่ตกตะลึงไปเป็นเวลานาน แล้วพูดขึ้น “นายดีกว่าฉันมาก อย่างน้อยนายยังมีญาติที่ดีต่อนายให้เกลียด แต่ฉันไม่มีแม้แต่ใครจะถามถึงด้วยซ้ำ”
แมวแก่สูบบุหรี่ควันฉุยและนิ่งเงียบ
“นายรู้ไหม ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพ่อของนายกับเฒ่าหลี่” ฉินหยู่ถามอีกครั้ง
“ฉันได้ยินจากคนอื่นว่าเฒ่าหลี่ทำงานบางอย่างผิดพลาด และพ่อของฉันก็ถูกฆ่าเพราะปกป้องเขา”
“...เฒ่าหลี่อธิบายให้ฟังเองหรือเปล่า?”
“เปล่า เขาไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย ตอนที่ฉันยังเด็ก ฉันมักจะโกรธและขุดเรื่องนี้ขึ้นมาหาเรื่องเขา แต่เขากลับไม่คุยกับฉันเลย” แมวแก่มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างว่างเปล่า “บางที…เขาอาจรู้สึกไม่สบายใจเมื่อคิดถึงเรื่องนี้”
“แมวแก่ ความเมตตาของเฒ่าหลี่ที่มีต่อนายนั้น ชัดเจนในสายตาของพวกเราทุกคนในกองกำกับการ สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตก็คืออดีต แต่นายกำลังยึดติดกับมันอยู่ อันที่จริงมันมีแต่จะเพิ่มความขัดแย้งระหว่างนายกับเฒ่าหลี่มากขึ้น มันไม่สมเหตุสมผลเลย” ฉินหยู่ชักชวนเบาๆ “มีน้องชายกี่คนในโลกที่สามารถจงใจฆ่าพี่น้องของตัวเองได้ อีกอย่าง สิ่งที่นายรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้คือสิ่งที่คนอื่นพูด และความจริงมันอาจจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากที่นายคิดก็ได้ ใช่ไหมล่ะ!”
“อา…ใช่” แมวแก่พยักหน้าหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“เอาล่ะ มาพูดเรื่องที่มีความสุขกันดีกว่า” ฉินหยู่แย้มฟันเปลี่ยนหัวข้อ “เมื่อไหร่นายจะคิดเรื่องแต่งงาน?”
กับใคร กับเหลยเหล่ย?” เมื่อแมวแก่พูดถึงเรื่องระหว่างชายและหญิง เขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“นายช่วยไว้หน้าฉันหน่อยได้ไหม ฉันบอกนายแล้ว…” เมื่อฉินหยู่อ้าปากจะด่าต่อ ทันใดนั้นเขาก็เห็นคนหลายสิบคนสวมชุดผ้าฝ้ายหนา วิ่งออกมาจากกลุ่มอาคารที่ทรุดโทรมตรงหน้าเขา ฉินหยู่ตะโกนด้วยสัญชาตญาณ
“แมวแก่ ชักปืน! เร็วเข้า”
“มีอะไรวะ?” แมวแก่ลุกขึ้นนั่งตัวตรงทันที
ข้างหน้ามีผู้คนมากกว่าสิบคนยืนเรียงกันขวางถนนอยู่
ฉินหยู่ไม่ได้ขับรถเข้าไปใกล้ แต่หยุดจอดห่างออกไปมากกว่า 20 เมตร
“ต้องการอะไร?” ฉินหยู่ลดหน้าต่างลงแล้วตะโกนท่ามกลางสายลมและหิมะ
“พี่ชาย ขออะไรให้ข้ากินหน่อย ข้าจะอดตายอยู่แล้ว” ชายสองคนเดินออกมาจากฝูงชนในระยะไกล
ฉินหยู่ได้ยินจึงตะโกนกลับไป “นายไม่เห็นหรือว่านี่คือรถทหาร? ไม่มีอาหารหรอก ไปให้พ้น”
“ถ้าไม่มีอะไรให้กินก็เอาน้ำมัน เสื้อผ้า กับเงินมาให้ข้าหน่อย” ชายสองคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามยังคงเดินมาข้างหน้าแมวแก่นั่งอยู่ในรถและมองไปยังกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้า เมื่อเห็นว่าพวกเขารวมทั้งเด็กและคนชราถูกน้ำแข็งกัดตามผิวกาย เขาก็ทำใจให้สงบลงทันทีและพูดว่า “แบ่งให้พวกเขาหน่อยเหอะ”
บุคลิกภาพฉินหยู่แตกต่างจากสภาพที่เขาอยู่ในเขต 9 อย่างสิ้นเชิงในขณะนี้ เขาตะโกนอีกครั้งด้วยใบหน้าที่เย็นชา “ฉันจะพูดอีกครั้ง ออกไปให้พ้น”
เมื่อชายทั้งสองได้ยินคำพูดของ ฉินหยู่ พวกเขาก็หยุดก้าวไปข้างหน้าและตะโกนขู่อีก
“แม่ง พวกแกนี่โอหังนักใช่ไหม? พวกข้าจะไม่ไปจนกว่าพวกแกจะให้ของกับเรา”
เมื่อได้ยินเสียงขู่ ฉินหยู่ก็เข้าเกียร์ เหยียบคันเร่ง และขับรถพุ่งเข้าหาฝูงชนที่ขวางถนนอยู่
“ฉิบ!” แมวแก่ร้องอุทาน ดึงแขนของฉินหยู่แล้วตะโกน “เฮ่ย ถ้านายไม่ให้เขาฉันก็เอาด้วย แค่อย่าชนพวกเขา!”
เมื่อฝูงชนเห็นรถเข้ามาใกล้ พวกเขาวิ่งหนีแยกย้ายหลบกันไปทันที
ฉินหยู่ไม่มีเวลาอธิบายให้แมวแก่ฟัง เขารีบหยิบปืนพกขึ้นมาเล็งไปที่ศูนย์กลางของฝูงชนแล้วเหนี่ยวไก
“ปัง ปัง ปัง...!”
เสียงปืนดังขึ้นฉับพลัน และฝูงชนแตกตื่นแยกย้ายกันไปอีกครั้ง ฉินหยู่หมุนพวงมาลัยด้วยมือซ้ายแล้วขับรถเข้าไปบนพื้นหิมะหนาทันที เขาเหยียบคันเร่งและขับไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงบนพื้นแข็งที่มีเปลือกหิมะเป็นมันเงา
สิบวินาทีต่อมา คน 20 ถึง 30 คนรีบออกจากอาคารที่ทรุดโทรมอีกครั้ง และระดมยิงปืนใส่พื้นที่หิมะรกร้างที่รถฉินหยู่พุ่งเข้าไป แต่โชคดีที่ฉินหยู่ไหวตัวอย่างรวดเร็วและขับหนีอ้อมไปอีกทาง
แมวแก่นั่งอยู่ในรถโดยมีเหงื่อซกเต็มหน้าผาก มองไปข้างหลังรถและก่นด่าด้วยความตกใจ
“แม่ง ไอ้พวกนี้ไม่ต้องการของกิน มันต้องการปล้นต่างหาก!”
“เมื่อกี้ฉันว่าจะจอดรถพักใกล้ๆ ที่นั่น ถ้าทำงั้นป่านนี้เราคงโดนปล้นเอาเสื้อผ้าไปหมดและแข็งตายอยู่ที่นี่แน่”
ฉินหยู่พูดอย่างนิ่งเฉย “ผู้คนในที่นี้...ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป”
“เรากำลังขับรถทหาร แล้วพวกเขากล้าปล้นเราได้ไง?”
“นายรู้ไหมว่าสถานที่แห่งนี้เรียกว่าอะไร” ฉินหยู่หันกลับมาถาม
“ฉันไม่รู้!” แมวแก่ส่ายหัว
“ที่นั่นเรียกว่า ด่านนรกสามสันเขา สามปีที่แล้ว รถขนเมล็ดพืชของกองทัพจากเขตพิเศษหน่วย 10 เฟิ่งเป่ย ผ่านไปที่นั่นและถูกปล้นไปจนหมด ท่านนายพลโกรธจัดจึงสั่งให้กองทหารสามกองพัน ที่มีคนมากกว่าหนึ่งพันคนไปปราบปรามกลุ่มโจร ทหารมากกว่าพันคนรีบบุกเข้าไปในสามสันเขา แต่ในเวลาไม่ถึงวันพวกเขาถูกฆ่าตายเกือบทั้งหมด ในท้ายที่สุด ดูเหมือนว่ามีไม่ถึง 300 คนที่รอดออกมาได้” ฉินหยู่ชี้ไปที่ทั้งสองฝั่งถนนที่เขาเพิ่งผ่านมาและกล่าวว่า “ถ้านายใช้พลั่วขุดลงไปในหิมะ นายอาจจะเจอร่างของใครสักคนก็เป็นได้”
หลังจากตกตะลึงอยู่นาน จู่ๆ แมวแก่ก็ถามขึ้นว่า “พี่ชาย นายเคยไปขโมยอาหารที่สามสันเขาบ้างไหม?”
……………………………………………………………