EP 401 ค้นพบพระพุทธที่หายไปแล้ว
EP 401 ค้นพบพระพุทธที่หายไปแล้ว
By loop
ณ อพาร์ตเมนต์ของเสี่ยวจิน
ดงซูบินมองไปที่ เสี่ยวจินในห้องที่ดูรกมากจากการถูกรื้อค้นซึ่งเธอพยายามจะไม่เข้าไปยุ่งของต่างๆภายในห้องที่ถูกรื้อค้นและ เสี่ยวห่าวเองก็ถึงกับเลือดขึ้นหน้ากับเหตุการณ์ในครั้งนี้ เขาหายใจเข้าลึก ๆ และพยายามยนสงบสติอารมณ์ มันไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอะไรในตอนนี้ และพวกเขาต้องโทรแจ้งตำรวจทันทีเสี่ยวจินเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ของเธอในกระเป๋าเสื้อและโทรหาเพื่อนที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังจากนั้น ทั้งสามคนก็ลงไปรอตำรวจที่รถของ Dong Xuebing
ในรถเบนซ์ เอ็มพีวี
ตอนนี้เสี่ยวจินถึงกับขอตก "มันเป็นความผิดของฉันทั้งหมด! ทำไมฉันถึงยืมพระพุทธรูปองค์นั้นมาแต่แรก! ฉัน…”
ดงซูบินปลอบ “ไม่ต้องกังวลไป เรารอตำรวจเก็บลายนิ้วมือกัน บางทีเรายังสามารถเอามันกลับมาได้”
"มันเป็นไปไม่ได้!" เสี่ยวจินรู้ว่ามันสายเกินไป “เสื้อผ้าบนพื้นนั้นเต็มไปด้วยฝุ่น โจรคงขโมยมันไปอย่างน้อยสองสัปดาห์ก่อน มันสายเกินไปที่เราจะทำอะไร แม้ว่าหัวขโมยจะหนีไม่รอด มันก็คงจะขายรูปปั้นนั้นไปด้วย เราจะเอาคืนมาได้ยังไง! ฉัน… มันเป็นความผิดของฉันทั้งหมด! ฉันจะเผชิญหน้ากับป้าของฉันได้อย่างไร”
“พี่สาวรอง” เสี่ยวห่าวกล่าว “คุณน้าจะเข้าใจ และเธอจะไม่โทษพี่” เสี่ยวจิน ปิดหน้าและร้องไห้ “นั่นเป็นของขวัญที่ปู่ของเรามอบให้เธอ และไม่ใช่ของทั่วไปที่หาได้ง่ายๆ! มันไม่เหมือนกับชิ้นอื่นๆ.” เสี่ยวห่าวโบกมือด้วยความโกรธ “ไอ้เวรนั่น! เราควร… บอกป้าตอนนี้ไหม”
“สุขภาพของมาดามหานไม่ค่อยดีนัก ฉันคิดว่าเราไม่ควรให้เธอรู้เรื่องนี้” ดงซูบินสูดหายใจเข้าลึกๆ “มารอดูกันว่าเราจะได้มันกลับมาพร้อมกับเบาะแสจากตำรวจก่อนไหม” เสี่ยวจินจับมือกันและอธิษฐานต่อท้องฟ้า สักพักตำรวจก็มาถึง มีเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบหกถึงเจ็ดคนและเจ้าหน้าที่ที่เกิดเหตุสองสามคน เสี่ยวจินเห็นเจ้าหน้าที่และรีบพาพวกเขาขึ้นไปชั้นบน ตำรวจได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปหลายคนแล้วเพราะคดีนี้เป็นคดีใหญ่ ไม่เพียงเป็นมรดกตกทอดของตระกูลเสี่ยว เท่านั้น แต่ยังมีมูลค่ากว่าสิบล้านอีกด้วย และเป็นมรดกของชาติเลยก็ว่าได้! ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ตำรวจก็ได้ผลการตรวจพิสูจน์รายนิ้วมือ
มีเครื่องหมายบนพื้นระบุว่ามีการลากตู้นิรภัยเกิดขึ้นอย่างน้อยยี่สิบวันที่แล้ว อาชญากรไม่ทิ้งรอยนิ้วมือใดๆ และควรเป็นมือย่องเบาที่มีประสบการณ์ ตำรวจไม่พบแม้แต่รอยรองเท้าหรือตัวอย่าง ดีเอ็นเออื่นๆ เบาะแสเดียวคือภาพจากกล้องวงจรปิดเมื่อยี่สิบวันก่อน ชายร่างผอมสูงถือของหนักที่คลุมด้วยผ้าออกจากอาคาร ใบหน้าของเขาถูกจับ แต่ก็ไม่ชัดเจนนัก หัวหน้าทีมตำรวจสัญญาว่าเขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจับชายคนนี้และโทรหาแผนกอื่นเพื่อช่วยเหลือ
ตอนนี้ ไม่มีทางที่พวกเขาจะปิดบังเรื่องนี้ได้
เสี่ยวจินกัดฟันและเรียกพ่อของเธอว่าเสี่ยวเกาเหลี่ยง “พ่อ…”
“ฉัน… ฉัน…”
“หือ? มีอะไรผิดปกติ?”
ดวงตาของเสี่ยวจินอาบไปด้วยน้ำตา และเธอบอกพ่อของเธอเกี่ยวกับพระพุทธรูปที่ถูกขโมยไป
เสี่ยวเกาเหลียงเป็นลูกชายคนที่สองของตระกูลเสี่ยว และปัจจุบันเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังคนแรก เขานั้นเป็นคนอารมณ์ดี ไม่เหมือนพี่ชายของเขา อย่างเสี่ยวเกาปัง เขาเองมักจะยิ้มอย่างร่าเริงอยู่ตลอดเวลา แต่คราวนี้มันไม่เหมือนกับทุกทีและเริ่มดุลูกสาวของเขา “ทำไมถึงยืมพระพุทธรูปองค์นั้นจากป้าของลูก! อา?! ทำไมลูกไม่บอกพ่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อนหน้านี้? ลูก! ลูกรู้หรือไม่ว่าพระพุทธรูปมีความสำคัญต่อคุณปู่ของลุกมากแค่ไหน? เมื่อหลายสิบปีก่อน ปู่ของลูกฆ่าทหารญี่ปุ่นสองคนที่พยายามจะแย่งรูปปั้นนี้ไปจากเขา นี่คือวิธีที่เขาเข้าร่วมกองกำลังต่อต้านและทำให้ปู่มายืนอยู่ในจุดนี้ได้ ลูก… พ่อพูดไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ! ลูกควรจะรู้ว่ารูปปั้นพระพุทธรูปนั้นนี้สำคัญต่อป้าของลูกแค่ไหน!”
เสี่ยวจินรู้ว่าเธอมีปัญหาลึกและสะอื้นไห้
เสี่ยวห่าวไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เขาและ เสี่ยวจินอาจทะเลาะกันอยู่เสมอ แต่พวกเขาก็สนิทกันมาก เขาคว้าโทรศัพท์จาก เสี่ยวจิน“ลุงรอง หยุดดุพี่สาวรองได้แล้ว เราควรทำอย่างไรตอนนี้”
“พวกเธอทุกคนอย่าเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ ลุงจะหาคนมาสอบสวน อย่าบอกป้าของหลานเกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อน!” เสี่ยวเกาเหลียง วางสาย
เสี่ยวเกาเหลียงดูเป็นกังวลมาก เขารู้ว่ารูปปั้นนี้มีความสำคัญต่อพี่สะใภ้ของเขาเพียงใด ดังนั้นเขาจึงโทรหาเสี่ยวเกาปังพี่ชายของเขาทันทีเพื่อแจ้งให้เขาทราบเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ก่อนที่จะโทรหาเพื่อนเก่า
ตระกูลเสี่ยวรุ่นที่สองมีน้ำหนักมากกว่า เสี่ยวจินและเสี่ยวห่าว หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกกลุ่มหนึ่งก็มาสอบสวนคดีนี้ ดงซูบินคิดว่าพวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่จากสำนักงานเมืองหรือเจ้าหน้าที่ประจำเขต ในขั้นต้น แต่หลังจากที่เขาพูดกับพวกเขาแล้ว เขาพบว่าพวกเขามาจากกรมตำรวจกลาง ยี่สิบวันแล้ว และถ้าหัวขโมยไม่ใช่พวกงี่เง่า มันคงจะไปซ่อนตัวในจังหวัดอื่น การมีตำรวจจากส่วนกลางตรวจสอบกรณีนี้จะช่วยให้ประสานงานระหว่างจังหวัดและเมืองได้ง่ายขึ้น เมื่อพบผู้ต้องสงสัยแล้ว ก็สามารถสั่งให้หน่วยรักษาความปลอดภัยสาธารณะที่อยู่ภายใต้การดูแลดูแลเขาได้
“เสี่ยวจิงไปกินข้าวกันก่อน”
เสี่ยวจินยืนอยู่ที่ชั้นล่างเป็นเวลาสองชั่วโมง และเกือบจะ 12.00 น.ดงซูบินลากเธอเข้าไปในรถและขับไปที่ร้านอาหารใกล้เคียง
อาหารถูกเสิร์ฟแล้ว แต่ เสี่ยวจินไม่ได้กัดแม้แต่คำเดียว เธอยังคงจ้องมองที่เพดานด้วยความงุนงง
ดงซูบินเห็นเธอและสูญเสียความกระหายของเขา
เสี่ยวห่าวโยนตะเกียบลงบนโต๊ะ “ถ้าผมจับไอ้เวรนั่นได้ ผมจะเป็นบ้าฆ่ามัน! มันกล้าดียังไงมาขโมยของจากบ้านเรา!”
ดงซูบินได้ตอบกลับ “ปล่อยให้มันเป็นหน้าที่ของตำรวจ ฉันหวังว่าพวกเขาจะสามารถหาตัวคนร้ายได้ในไม่ช้า”
ตั้งแต่วันตรุษจีนจนถึงปัจจุบัน ดงซูบินได้ประหยัดพลังงานของเขา เขาจะไม่ใช้ย้อนกลับหรือหยุดเวลาเว้นแต่จำเป็น เขาตรวจสอบเมนูของเขาและสะสมมามากกว่า 40 นาทีแล้ว แต่การบุกรุกเกิดขึ้นเมื่อยี่สิบวันก่อน และไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้ เขารู้สึกแย่ในขณะที่เขายังคงเป็นหนี้บุญคุณของ เสี่ยวจินและพระพุทธรูปเป็นของแม่ของเสี่ยวหลาน เขาอยากช่วยมากแต่ไม่รู้วิธีจะช่วยอย่างไรดี
หนึ่งชั่วโมง…
สองชั่วโมง…
สามชั่วโมง…
ทั้งสามคนนั่งอยู่ในร้านอาหารและรอ อาหารยังอยู่ตรงหน้าพวกเขาแต่พวกเขาไม่ได้กินมาก
กริ๊ง… กริ๊ง… กริ๊ง… โทรศัพท์ของ เสี่ยวจินดังขึ้น
พวกเขารอสายนี้และ เสี่ยวจินตอบอย่างรวดเร็ว "สัวสดีคุณพ่อ?!"
เสี่ยวเกาเหลี่ยง กล่าว “ตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเอามันกลับมา อย่าเข้าไปยุ่งกับมันตอนนี้ พิ่จะพูดกับป้าของลูก”
ใบหน้าของ เสี่ยวจินเปลี่ยนเป็นซีด "เกิดอะไรขึ้น? โจรจับได้หรือเปล่า”
ดงซูบินและ เสี่ยวห่าวตกตะลึงขณะที่พวกเขากำลังฟังการสนทนาของเสี่ยวจิน
เสี่ยวเกาเหลียงได้ตอบกลับ “พ่อสั่งให้คนลงไปตรวจสอบแล้ว ตำรวจท้องที่จำคนนี้ได้ มันชื่อว่า หวังดงกัง และมันถูกจับเมื่อสิบวันก่อนที่จังหวัดใกล้เคียงในฐานลักขโมย”
เสี่ยวจินถามอย่างกังวล “ตั้งแต่เขาถูกจับ แล้วรูปปั้นล่ะ?”
“มันถูกจับในข้อหาบุกรุกและขโมยเงินสดและเครื่องประดับ และไม่ยอมรับในคดีอื่น เมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว ตำรวจท้องที่สอบปากคำเขาอีกครั้ง เขายอมรับว่าบุกเข้าไปในบ้านของเราและขโมยตู้เซฟมูลค่า 2,000 หยวน หลังจากนั้นก็ใช้เครื่องมือเปิดตู้เซฟในบ้านเพื่อน พวกเขาเอาพระพุทธรูปมาจากตู้เซฟ แต่ไม่รู้ราคาตลาด ดังนั้นพวกเขาจึงขายให้กับนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นผ่านตลาดมืดในราคา 100,000 หยวน เราไม่รู้ว่านักธุรกิจชาวญี่ปุ่นใช้วิธีไหน แต่รูปปั้นนี้ถูกลักลอบนำเข้าญี่ปุ่น”
ตระกูลเสี่ยวนั้นเต็มไปด้วยคนที่มีความสามารถ ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง พวกเขาค้นพบสิ่งต่างๆ มากมาย ปัจจุบันพระพุทธรูปอยู่ในญี่ปุ่นและได้รับการยืนยันว่าอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติโตเกียว นักธุรกิจชาวญี่ปุ่นคนนั้นซื้อรูปปั้นนี้ในราคา 100,000 หยวน และบริจาคให้กับพิพิธภัณฑ์
เสี่ยวจินตื่นตระหนก “เนื่องจากรูปปั้นอยู่ในโตเกียว เราจะติดต่อพวกเขาเพื่อเอาคืนได้หรือไม่”
“ลุงใหญ่ ของลูกติดต่อพวกเขาไปแล้ว แต่ลูกต้องเตรียมพร้อมเพราะเราต่อร้องอะไรไม่ค่อยได้”
หลังจากวางสาย เสี่ยวจินกล่าวด้วยความงุนงง “พ่อของฉันบอกว่าของชิ้นนี้อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติโตเกียวแล้ว และความหวังที่จะได้มันกลับคืนมานั้นยากมาก
ดงซูบินและ เสี่ยวห่าวตกตะลึงเมื่อรู้ว่าตอนนี้รูปปั้นอยู่ต่างประเทศ
เสี่ยวห่าวโกรธมาก “ไอ้เ**้ย! เราไม่สามารถเอามันกลับมาได้แม้ว่าเราจะรู้ว่ามันอยู่ในพิพิธภัณฑ์? นั่นเป็นของที่ถูกขโมยไป! แม้แต่การต่างประเทศของเราก็เอาคืนไม่ได้?! สถานเอกอัครราชทูตสามารถส่งคนไปเอาคืนได้!”
เสี่ยวจินปิดหน้าและสะอื้นไห้
ดงซูบินรู้ว่าสิ่งนี้แย่กว่าการไม่รู้ตำแหน่งของรูปปั้นที่ถูกขโมย แม้ว่าตระกูลเสี่ยวจะมีอิทธิพล แต่อิทธิพลของพวกเขาก็ถูกจำกัดอยู่ภายในเขตประเทศเพียงเท่านั้น เมื่อมันเกี่ยวข้องกับสองประเทศ พวกเขาอาจจะไม่ได้รับมันกลับมาแม้ว่าจะเป็นสินค้าที่ถูกขโมยมาก็ตาม มีชาวต่างชาติจำนวนมากที่ก่ออาชญากรรมในประเทศจีนและหลบหนีไปต่างประเทศ มีกี่คนที่ถูกส่งตัวกลับประเทศจีน? ส่วนใหญ่ยังคงปราศจากสก๊อตในต่างประเทศ ตำรวจในท้องที่ไม่ได้ทำอะไรเลย นับประสารูปปั้นนี้ถูกบริจาคให้กับพิพิธภัณฑ์โตเกียวโดยนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น ญี่ปุ่นเคยปล้นโบราณวัตถุจากจีนไปมากมายในอดีต มีการส่งคืนสินค้าเหล่านี้กี่รายการ? ครั้งนี้ก็จะเหมือนเดิม!
แต่ทั้งสามคนก็ยังหวังในสิ่งที่ดีที่สุด
เวลาประมาณ 17.00 น. เสี่ยวเกาเหลี่ยงโทรหา เสี่ยวจินอีกครั้ง “เราได้ติดต่อพิพิธภัณฑ์แล้ว และพวกเขาปฏิเสธที่จะคืนรูปปั้น!” เขาดูโกรธ
เสี่ยวจินกัดริมฝีปากล่างของเธอ “หมายความว่าเราไม่สามารถเอาคืนได้?”
“… ใช่ เราทำอะไรไม่ได้แล้ว”
“แต่…”
“เสี่ยวจิน พ่อจะไปที่บ้านของป้าของลูกเพื่อไปขอโทษก่อน ลูกค่อนตามไปภายหลัง”
"พ่อ! ขอหนูคุยกับป้าหน่อยเถอะค่ะ…”
“สุดท้ายแล้ว! พ่อจะคุยกับเธอก่อน!”
เสี่ยวห่าวได้ยินและสบถขึ้นมา “คนญี่ปุ่นพวกนั้นขโมยของของเราไปและยังกล้าปฏิเสธที่จะคืนของๆเราอย่างงั้นหรอ! ไอ้สารเลวเอ่ย!”
ใบหน้าของ ดงซูบินก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เวรเอ๋ย!