Ep.1037 - (ยกเครื่อง) แกนมิติหายสาบสูญ
Ep.1037 - (ยกเครื่อง) แกนมิติหายสาบสูญ
ท่ามกลางจักรวาล ไม่ไกลจากซากศพนางพญาดาราเกราะเหล็ก ร่างมนุษย์ขนาดมหึมาที่สูงใหญ่กว่า 100,000 เมตรปรากฏขึ้น แม้แค่นี้ก็น่ากลัวมากพอแล้ว ทว่าฝ่ามือของเขากลับน่ากลัวยิ่งกว่า มันยืดขยายไกลออกไปเกินกว่าจะวัดได้
เวลานี้ ใต้เท้าของยักษ์ตนนี้ เหลือแค่ร่างสองร่าง คือเทพบุปผากับจ้าวเก๋อ
ส่วนคนอื่นๆ หลังจากการปรากฏตัวของจ้าวเหนือหัวอันผิง พวกเขาก็ถูกแรงลมจากฝ่ามือพัดไป กวาดเข้าสู่ช่องว่างมิติ ออกไปจากที่นี่
มือยักษ์ของอันผิงคว้าซากนางพญาถึงสี่ครั้ง จนเหลือเพียงเศษชิ้นเนื้อเล็กๆ จากนั้น ร่างกายของเขาก็เริ่มหดเล็กลง
อย่างไรก็ตาม เขามิได้หดตัวจนมีความสูงเท่ากับร่างมนุษย์ดังเดิม แต่คงร่างกายไว้ที่ 20 เมตร สายตาเบนตกลงบนร่างของเทพบุปผากับจ้าวเก๋อ
หน้าผากของจ้าวเหนือหัวอันผิงเริ่มยับย่น สองคิ้วเลิกสูงขึ้น แสดงออกชัดเจนว่ากำลังไม่พอใจ
“พวกเจ้า … ใครเป็นคนเอาแก่นสัตว์ร้ายนางพญากับแกนมิติไป!?”
“ท่านจ้าวเหนือหัว พวกเราแค่ทำการเก็บกวาดรอบนอกเท่านั้น ยังไม่ได้เข้าไปข้างใน” จ้าวเก๋อกล่าว
ตรงกันข้าม ท่าทีของเทพบุปผาดูผ่อนคลายกว่าเล็กน้อย พ่อของเธอก็เป็นหนึ่งในแปดจ้าวเหนือหัวเช่นกัน ทั้งยังทรงพลังเป็นอย่างมาก ถูกเรียกขานว่าจ้าวเหนือหัวเซินซู ดังนั้นจ้าวเหนือหัวอันผิงไม่อาจทำให้เธอลำบากใจมากเกินไปได้
“ท่านจ้าวเหนือหัวไม่พบแกนมิติ? บางทีอาจเป็นเพราะสลายไปแล้วก็ได้ เพราะก่อนหน้านี้พวกเราเห็นว่ามันเกิดรอยปริร้าว”
หลังจากการระเบิด ผู้ใช้พลังทั้งหมดถูกผลักไสออกมา นอกจากนี้ยังมีเศษซากดาวเคราะห์ และชิ้นส่วนศพของนางพญาดาราเกราะเหล็ก คอยบดบัง บวกกับพลังสมาธิและการรับรู้ไม่สามารถเข้าถึงได้ เขาและเธอจึงไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น
“อ้อ งั้นก็แล้วไป!” จ้าวเหนือหัวอันผิงไม่ได้พูดอะไรอีก หากเกิดรอยร้าวบนแกนมิติจริงๆ การคงรูปต่อไปคงยาก บางทีแกนมิติอาจหายไปแล้วจริงๆ
ขณะเดียวกัน สำหรับคนที่สามารถขึ้นเป็นจ้าวเหนือหัวเช่นเขา แกนมิติไม่สำคัญอีกต่อไป เพราะจ้าวเหนือหัว คือสถานะที่เรียกได้ว่าคงกระพันแล้ว เป็นอมตะไม่แก่ไม่ตาย สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ชั่วนิรันดร์ แค่แกนมิติเดียวหายไป เขาไม่ถึงกับคิดมากอะไร
จากนั้น อันผิงทำการฉีกมิติเป็นทางยาว ลากไปไกลกว่า 100 เมตร ร่างใหญ่ของเขาก้าวเข้าไปในรอยแยกมิติ หายวับไปต่อหน้าต่อตาทั้งสอง
“ฟู่ว ..!”
เทพบุปผากับจ้าวเก๋อ ถอนหายใจโล่งอกพร้อมกัน
‘จริงสิ ฉันลืมรายงานเรื่องของฉินเฟิงกับจ้าวเหนือหัวอันผิงไปซะสนิทเลย ’ จ้าวเก๋อคิด เขากวาดมองเศษซากเล็กๆน้อยๆที่ยังเหลืออยู่ที่นี่ ในสมองพาลคิดไปว่า หากตอนนั้นฉินเฟิงรอดชีวิต และยังอยู่ใต้ดินจริงๆ เกรงว่าเวลานี้คงถูกบดขยี้ด้วยแรงระเบิดไปแล้ว
ครั้งนี้มีคนเสียชีวิตไปมากมาย แม้แต่ศพก็ยังหาไม่พบ
ดังนั้น นี่ไม่ใช่เรื่องที่จ้าวเก๋อต้องให้ความสนใจอีกต่อไป บางครั้ง สมาชิกของกลุ่มพันธมิตรมนุษย์ก็เลือดเย็นและโหดเหี้ยมเช่นนี้แล
“เทพบุปผา ซากที่เหลือในอวกาศ พวกเราแบ่งกันคนละครึ่งเป็นไง?”
“ตกลง!”
แล้วทั้งสองก็เริ่มแบ่งปันสินสงครามที่ยังหลงเหลือกัน แม้เทพบุปผาจะรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้เรียกเซินซูมา แต่หากเกิดกรณีที่ระดับสูงของพันธมิตรมนุษย์ต้องต่อสู้กัน แบบนั้นมันคงไม่ดี แม้วัตถุดิบที่เหลือในอวกาศจะมีเพียงเศษซากที่จ้าวเหนือหัวทิ้งไว้ แต่สำหรับพวกเขา ผู้ใช้พลังเลเวล SSS แล้ว เนื้อแค่ชิ้นเดียวก็ยังถือว่ามีมูลค่ามหาศาล
…
ณ เมืองเฟิงหลี ภายในเขตที่พักอาศัย ข้างในวิลล่าของฉินเฟิง ร่างเงาทั้งสองปรากฏขึ้น
เมื่อได้กลับมายังสถานที่คุ้นเคย ในที่สุดค่อยรู้สึกปลอดโปร่ง สามารถหายใจได้สะดวกดังเดิม
“คุณไปทำเรื่องอะไรไว้ เหตุการณ์มันถึงได้เลยเถิดจนจ้าวเหนือหัวต้องออกโรงแบบนี้?”
ไป๋หลีหรี่ตามองฉินเฟิง ถ้าไม่ใช่เพราะครั้งนี้สามารถรับทรัพย์ก้อนโต และฉินเฟิงไม่พบอันตราย ไป๋หลีคงจับฉินเฟิงมาตีก้นแล้ว
“ฉันก็ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ คือเรื่องมันประมาณว่า ก่อนหน้านี้ฉันได้รับมอบหมายภารกิจ จากนั้น …” ฉินเฟิงเริ่มอธิบายให้ไป๋หลีฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ไป๋หลีไม่สนว่าจะมีหลักฐานหรือไม่ เธอสรุปว่า “นี่ต้องเป็นฝีมือของเส้าตงเฟิงคนนั้นแน่นอน ที่ขอให้จ้าวเหนือหัวอันผิงมาจัดการคุณ เกรงว่าจ้าวเก๋อคงเป็นแค่หมากตัวหนึ่งที่ไม่รู้ความจริง บางทีเขาอาจรู้แค่ว่าที่นั่นมีนางพญาเลเวล SSS แต่ปิดบังเอาไว้ ให้คนอื่นๆคิดว่ามันเป็นแค่เลเวล SS เท่านั้นเพื่อหลอกคุณมาฆ่า!”
“ก็น่าจะเป็นแบบนั้น แต่ที่ไม่มีใครคาดฝัน คงเป็นเรื่องที่นางพญาตัวนี้เกือบวิวัฒนาการขึ้นเป็นจ้าวเหนือหัวแล้ว อยากจะรู้จังว่าจ้าวเหนือหัวอันผิงจะทราบเรื่องนี้รึเปล่า”
“ใครจะไปสนว่าเขารู้เรื่องรึเปล่า เพราะยังไงพวกเราก็ได้ของดีมาเยอะ ถ้าเกิดเขารู้ขึ้นมา เขาอาจบุกมาฆ่าเรา ฉันกลัวว่าคุณอาจไม่สามารถไปยังมิติพันธมิตรมนุษย์ได้แล้ว!” ดวงตาอันงดงามของไป๋หลี มองฉินเฟิงเป็นเชิงเตือน ในความเป็นจริงแล้วเธอไม่ชอบให้ฉินเฟิงไปยังมิติพันธมิตรมนุษย์ เพราะเธอไม่สามารถไปที่นั่นได้
คล้ายกับว่ามีกฏเกณฑ์นับไม่ถ้วน กำลังบอกไป๋หลี ว่าเธอและฉินเฟิงไม่ควรคู่กัน พวกเขามิใช่เผ่าพันธุ์เดียวกัน วิถีชีวิตของฉินเฟิงมันกำลังปฏิเสธเธอ ทั้งหมดก็เท่านั้น
เพียงแต่ว่า เรื่องนี้ไป๋หลีไม่เคยเอ่ยมันออกมา
ส่วนฉินเฟิง เขาไม่ได้มีความคิดละเอียดอ่อนเช่นนั้น เลยไม่เคยนึกถึง อันที่จริงหลังจากเหตุการณ์นี้ เขายังรู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย ยังไม่มีแผนที่จะกลับไปยังมิติพันธมิตรมนุษย์
“งั้นตอนนี้ก็ปล่อยให้พวกเขาคิดว่าฉันตายไปแล้ว ก่อนก็แล้วกัน” ฉินเฟิงพยักหน้าเห็นด้วย
แต่ว่าเรื่องนี้ จำเป็นต้องบอกคนอื่นๆเสียก่อน เพราะหากมีเลเวล S บางคนเกิดคิดฉวยโอกาสจากกลุ่มเฟิงหลีขึ้นมา คงเป็นปัญหาแล้ว
แต่เรื่องนี้ ฉินเฟิงไม่ได้แจ้งด้วยตัวเอง เขาติดต่อหลงถิง
“จอมพลฉินสบายใจได้ เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเอง ฉันจะแจ้งแก่พวกเขา อีกอย่างตอนนี้พวกเราแทบไม่ยุ่งเกี่ยวกับสำนักงานใหญ่ของพันธมิตรมนุษย์ ดังนั้นไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
“งั้นต้องรบกวนคุณแล้ว”
ด้วยความแข็งแกร่งที่มากขึ้น สิทธิ์ในการมีปากเสียงของฉินเฟิงก็เพิ่มมากขึ้นตาม ตอนนี้กลับเป็นหลงถิงที่ต้องรับใช้ฉินเฟิง ไม่ใช่ส่งมอบภารกิจให้แก่เขา
แต่หลังจากที่เรื่องนี้ได้รับการแก้ไข ฉินเฟิงยังคงเหลืออีกเรื่องหนึ่งที่ค้างคาใจ
“ตัวตนของจ้าวเหนือหัว มีสถานะเป็นยังไงกันแน่ …” ฉินเฟิงพึมพำ
หลังจากนั้น เขาก็เดินออกจากวิลล่า มุ่งหน้าไปยังห้องทดลองของชูฟ่านและคนอื่นๆ โดยมีห้องทดลองของแซดอยู่ฝั่งตรงข้าม
ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของฉินเฟิง มันทรงพลังยิ่งกว่าแซดแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงห้องทดลองของแซดเวลานี้อาศัยเงินสนับสนุนจากกลุ่มเฟิงหลี ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์ที่นี่ ทั้งหมดรู้จักฉินเฟิง
พอเห็นฉินเฟิงก้าวเข้ามา ตอนแรกทั้งหมดตกใจ พอได้สติรีบก้าวเข้ามาต้อนรับเขาอย่างรวดเร็ว
“ท่านประธานฉิน”
“สวัสดีครับท่านประธาน!”
“ประธาน คุณมาที่นี่เพื่อพบดร.แซดใช่ไหม?”
นักวิทยาศาสตร์ที่นี่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความแข็งแกร่งของแซดอยู่ในเลเวล S พวกเขาคิดแค่ว่าแซดเป็นแค่นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง
“ใช่ ผมขอไปเดินดูรอบๆหน่อยนะ”
ด้วยพลังสมาธิของฉินเฟิงย่อมสามารถรับรู้ได้ว่าแซดอยู่ตรงไหน และแซดเองก็ไม่ได้ปิดกั้นห้องทดลอง ชนิดที่ว่าตอนนี้มีหลายคนกำลังล้อมหน้าล้อมหลังเขา
แซดในเวลานี้อยู่ในถังแก้วใสขนาดใหญ่ และมีท่อมากมายนับไม่ถ้วนเชื่อมโยงเข้ามา ถ่ายเทสารบางอย่างเข้าไปในถังอย่างต่อเนื่อง
ดูเหมือนว่าแซดกำลังทดลองกับตัวเอง
และสารที่ถ่ายเทเข้ามา เป็นสีทองสดใสที่แสนคุ้นเคย นั่นคงไม่พ้นเป็นยาปลุกพลังแบบใหม่
แซดพอเห็นฉินเฟิงเดินเข้ามา ก็เลิกคิ้วขึ้น รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย ถ่ายทอดพลังสมาธิหาเขา
“แขกที่แสนหายาก อะไรดลใจให้นายแวะมาหาฉันในวันนี้?”
“คุณกำลังทำอะไรอยู่?” ฉินเฟิงไม่ตอบแซด แต่ถามกลับไปแทน
“นายสนใจการทดลองของฉันงั้นหรอ? นั่นเยี่ยมไปเลย! นายคิดถูกแล้วที่ไม่ดึงดันอีกต่อไป เพราะตราบใดที่นายได้รับการฉีดยาปลุกพลังแบบใหม่ นายจะกลายเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก!” แซดตอบ
“เรื่องนั้นผมไม่สนใจ แต่คุณสามารถอธิบายเกี่ยวกับงานทดลองที่กำลังทำอยู่ให้ผมฟังได้” ฉินเฟิงกล่าว