Ep.1021 - การตัดสินใจของผู้รอดชีวิต
Ep.1021 - การตัดสินใจของผู้รอดชีวิต
งานประลองเช่นนี้ ทุกครั้งที่มีคนตาย นั่นเท่ากับการสูญเสียอย่างใหญ่หลวง แต่ในเวลาเดียวกัน มันก็สามารถมัดรวมใจของผู้คนให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้
หากมีคนฝั่งพันธมิตรมนุษย์ตาย สีหน้าท่าทีของพวกเขาจะกลายเป็นน่าเกลียดยิ่ง ทว่าหากเป็นฝ่ายองค์กรมืดที่ถูกกำจัด ทั้งหมดจะโห่ร้องยินดี
และอันดับหนึ่งอย่างหมิงเทียนห่าวในครั้งนี้ มีหลายคนฝากความหวังไว้กับเขา แต่รัศมีของเขา ถูกประกายของฉินเฟิงกลบจนสิ้น
เพราะท้ายที่สุดแล้ว เมื่อวานนี้ ตลอดทั้งวันหมิงเทียนห่าวมิได้ต่อสู้เลย ยังไงซะมันไม่ใช่เรื่องง่ายหากคิดเสาะหาใครซักคน หรือสุดท้ายหากเกิดการต่อสู้กันอย่างหนักหน่วง ก็ใช่ว่าจะสามารถตัดสินผลแพ้ชนะกันได้ง่ายๆ
วันถัดมา เห็นได้ชัดว่าหมิงเทียนห่าวสามารถรวมตัวกับฝ่ายเดียวกันได้ถึงสองคน ทั้งทีมจึงมุ่งหน้าออกควานหาศัตรู แต่ผลลัพธ์ดันเป็นก้าวเข้าปากเสือ พบกับศัตรูที่มีจำนวนมากกว่า ช่างโชคร้ายจนไม่รู้จะกล่าวยังไงดี
กระนั้น สถานการณ์โดยรวมของพันธมิตรมนุษย์ ดีขึ้นมากเพราะฉินเฟิง ทว่าการตายของแต่ละคน มันช่างบีบหัวใจ พวกเขาหวังว่าหมิงเทียนห่าวจะสามารถหนีเอาชีวิตรอดไปได้
อย่างไรก็ตาม ทุกคนทราบดี ว่าศัตรูฝ่ายตรงข้ามทั้งห้าคนมิได้อ่อนแอ หนึ่งในนั้นคือผู้ที่ทำการทดสอบพลังโจมตีได้เกิน 100,000 แต้ม นามอัลซา!
ซึ่งเอาจริงๆ ในแง่ชื่อเสียงชายคนนี้โด่งดังยิ่งกว่านักพรตมารซะอีก
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหมาป่าที่แสนดุร้ายเช่นนี้ หมิงเทียนห่าวแม้สามารถเว้นระยะไม่ให้อีกฝ่ายเข้าประชิดตัวได้ แต่มิอาจสลัดหลุด
เพียงแต่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฉินเฟิงอยู่ใกล้ๆพอดี
ตอนนี้ ผู้คนทุกคนเริ่มตื่นเต้น เฝ้าจดจ้องไม่วางตา
เสียงของพิธีกร ช่วยปลุกเร้าอารมณ์
“ก่อนหน้านี้ฉันยังกังวลอยู่บ้าง ว่าฉินเฟิงจะรู้สึกตัวหรือไม่ แต่ตอนนี้เขาสังเกตเห็นฉากไล่ล่าแล้ว ฉะนั้นจะไม่เข้ามาช่วยเหลือสมาชิกคนอื่นๆได้อย่างไร? ถึงอีกฝ่ายจะมีจำนวนคนค่อนข้างเยอะ แต่ไม่ต้องกังวลไป บางทีหากเป็นผู้ประลองฉินเฟิง มีศัตรูเยอะอาจเป็นเรื่องดีสำหรับเขาก็ได้”
ถูกต้อง! สำหรับฉินเฟิง ยิ่งมีศัตรูเยอะเท่าไหร่ เท่ากับว่าเขายิ่งได้รับรางวัลมากเท่านั้น
“ทักษะก้าวทะลวงมิติ!”
ความเร็วของฉินเฟิงพุ่งสูง หนุนเสริมด้วยความแข็งแกร่งทางกายภาพระดับเทวะเลเวล S ส่งผลให้ไม่มีใครในที่นี้ไวไปกว่าเขา
ซึ่งเมื่อเทียบกับหมิงเทียนหว่าหรืออัลซา เขาเร็วกว่ามาก
บวกกับเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายไล่ตามไปในทิศทางเดียวกัน ใช้เวลาประมาณ 7 - 8 นาที ฉินเฟิงก็สามารถไล่ตามได้ทัน
แม้อบิลิตี้มืดของเขาจะแข็งแกร่ง ทว่าพอเข้าใกล้ศัตรูถึงในระยะ 100 เมตร คนอื่นๆก็สามารถสัมผัสถึงมาเยือนของฉินเฟิงได้
การค้นพบนี้ ทำให้ทั้งสองกลุ่มตกใจมาก
แต่เป็นเพราะกลิ่นอายของฉินเฟิงถูกปกปิดเอาไว้อย่างดี ฉะนั้นแม้ตระหนักถึงการมาเยือน แต่ไม่ทราบว่าเป็นคนของฝั่งใด
“ใครกัน?”
“คนมาใหม่เป็นคนของฝ่ายไหน?”
ผู้ประลองไม่ว่าจะฝั่งพันธมิตรมนุษย์หรือองค์กรมืด ทุกคนต่างตกใจ
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ยังนับว่าฝั่งองค์กรมืดยังคงกุมความได้เปรียบ เพราะต่อให้ผู้มาเยือนเป็นสมาชิกพันธมิตรมนุษย์ แต่สนามรบก็ยังอยู่ในรูปแบบ 4 ต่อ 5 อยู่ดี
ตรงกันข้าม หากผู้มาเยือนเป็นสมาชิกจากองค์กรมืด สนามรบจะอยู่ในรูปแบบ 6 ต่อ 3 ฝั่งหมิงเทียนห่าวจะถูกไล่สังหารด้วยศัตรูที่มากกว่าทีมตนถึงสองเท่า
หมิงเทียนห่าวค่อนข้างวิตกกังวล ถึงอย่างไรเขามิอาจจับกลิ่นอายของฉินเฟิงได้ นั่นเพราะอบิลิตี้มืดของฉินเฟิง มันแข็งแกร่งมากจริงๆ
“เทคนิคขุมนรกทมิฬ!”
โดยไม่ทันตั้งตัว สององค์กรมืดที่วิ่งอยู่รั้งท้าย ถูกฉินเฟิงไล่ตามจนสามารถเข้าระยะโจมตี ยิงเทคนิคอบิลิตี้ใส่ทันที
เพียงพริบตาเดียว ผู้ใช้พลังที่กำลังวิ่งไล่ล่า เงาใต้เท้าของพวกเขายืดขยายกลายเป็นความมืดมิด ในสายตาทั้งสองฟุ้งไปด้วยความสับสน ไม่สามารถมองเห็นได้อีกต่อไป
อัลซาหันขวับกลับมาอย่างรวดเร็ว และพบว่าสหายตกอยู่ในขุมนรกทมิฬเสียแล้ว
“ระวัง! มันเป็นศัตรู!” อัลซาตะโกน พร้อมกันนั้นบังเกิดเปลวไฟปะทุออกมา ลุกลามเข้าแผดเผาขุมนรกทมิฬ
อักษรรูนหากปะทะกัน จะสามารถหักล้างเทคนิคอบิลตี้ได้
ในความคิดของอัลซา เขารู้สึกว่าด้วยวิธีนี้ น่าจะเพียงพอแล้วที่จะทำลายอบิลิตี้ของคู่ต่อสู้ แต่กลับพบว่าเปลวไฟของตัวเอง เมื่ออยู่ต่อหน้าขุมนรกทมิฬ มันกลับไม่ต่างจากกองไฟเล็กๆ ไม่เพียงพอที่จะแผดเผาทุ่งหญ้าได้
นี่คือผลลัพธิในกรณีอักษรรูนทั้งสองที่ปะทะกัน มีปริมาณห่างชั้นกันมากเกินไป
ขุมนรกทมิฬไม่เพียงเปี่ยมล้นไปด้วยประสิทธิภาพ แต่ยังสามารถเปิดใช้งานได้อย่างเงียบงัน ผู้ที่จมอยู่ในมันจะถูดปิดกั้นประสาทสัมผัสทั้งห้า ส่งผลให้เริ่มเกิดความหวาดกลัวในจิตใจ
วินาทีต่อมา ท่ามกลางขุมนรกทมิฬ เงาสายหนึ่งดั่งภูติผีผลุบขึ้นมาจากสระทมิฬเบื้องล่าง ร่างมนุษย์ปรากฏขึ้น
--เป็นฉินเฟิง!
อักษรรูนมืดสลายไป มีดกษัตริย์ครามในมือเขาถูกชักออก ทะยานเข้าสับสมาชิกองค์กรมืดคนแรกทันที
ณ จุดนี้ สมาชิกคนที่สองขององค์กรมืด ค่อยตระหนักถึงตำแหน่งของฉินเฟิง รังสีคมมีดอันทรงพลังแหวกผ่านความมืดมิด ส่งผลให้ประสาทสัมผัสของผู้ใช้พลังที่ตกอยู่ในเทคนิคขุมนรกทมิฬฟื้นกลับมาได้อีกครั้ง ตัดสินใจเว้นระยะ กระโดดหนีเตรียมไปสมทบกับคนอื่นๆทันที
เทคนิคขุมนรกทมิฬทรงพลังก็จริง แต่หลังจากสลายไป ก็ง่ายต่อการระบุตัวศัตรู สมาชิกที่เหลือขององค์กรมืดสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่แผ่ออกมาจากเบื้องหลัง เปลี่ยนเส้นทางพุ่งย้อนกลับไปทันที
โล่ปราณกำลังภายในอย่างหนาถูกเปิดใช้งาน ทั้งหมดหันหลัง วกกลับมาปิดล้อมโจมตีศัตรู
ฉินเฟิงระเบิดพลังโจมตีอย่างแรงในทำนองเดียวกัน ชั่วเวลานี้สถานการณ์ตกอยู่ในสภาวะ 1 ต่อ 5
หมิงเทียนห่าวและคนอื่นๆที่กำลังวิ่งหลบหนีในตอนแรกเองก็ตระหนักได้ถึงสถานการณ์นี้เช่นกัน ว่าผู้มาเยือนคนใหม่คือสมาชิกของพันธมิตรมนุษย์
บังเกิดประกายแสงแห่งความหวังสะท้อนเข้ามาในแววตาของทั้งสาม แต่ขณะเดียวกัน ในหัวใจกลับสั่นไหว
พวกเขาควรกลับไปช่วยดีหรือไม่?
หากกลับไป ก็จะอยู่ในรูปแบบ 4 ต่อ 5 แบบนั้นจะสามารถเอาชนะได้รึเปล่า?
พลังสมาธิของทั้งสามตกลงบนร่างของผู้มาเยือน ในที่สุดพวกเขาก็ได้รู้ว่าคนที่ลอบโจมตีจากเบื้องหลังคือใคร
“ที่แท้เป็นเขา!”
ทั้งสามสามารถระบุตัวตนของฉินเฟิง แต่เรื่องนี้ทำให้หมิงเทียนห่าวและอีกสองคนเกิดความลังเล
หากเป็นผู้ใช้พลังคนอื่น พวกเขาอาจกระโจนเข้าร่วมวง แต่ผู้มาเยือนครั้งนี้ดันเป็นฉินเฟิงที่อ่อนแอที่สุด พวกเขาเลยรู้สึกว่าการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่มีโอกาสชนะได้เลย
งั้นสิ่งที่ต้องทำคืออะไร?
“ถ้าเรากลับไป ก็เท่ากับเป็นปลากระโดดเข้าอวน จะไม่สามารถสลัดหลุดการไล่ล่าของพันธมิตรองค์กรมืดได้ ผลลัพธ์แบบนั้นไม่ดีเลย ฉะนั้นพวกเราควรหนีต่อดีกว่า เพราะในกรณีนี้ จะเท่ากับฝ่ายเรายังคงรักษาสิทธิ์ครอบครองมิติทั้ง 300 มิติเอาไว้ได้ ฉันเชื่อว่าถ้าทำแบบนี้ คนข้างนอกจะไม่ตำหนิพวกเรา!”
“ถูกต้อง ฉินเฟิงหุนหันพลันแล่นเกินไป ทั้งๆที่ไม่ได้แข็งแกร่งอะไร เป็นเขาเองที่แส่หาความตาย บางทีเขาอาจจะรู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถช่วยอะไรได้ เลยเข้ามาเป็นเหยื่อล่อช่วยให้พวกเราหนีไป”
“มันสายเกินไปแล้วที่จะคิดช่วย หนีกันต่อเถอะ”
ทั้งสามปลอบประโลมความรู้สึกผิดแก่กันและกัน ไม่มีใครอยากหันหลังกลับไป ดังนั้นทั้งสามรีบหลบหนีจะระยะการรับรู้ของศัตรูอย่างรวดเร็ว
แน่นอน ทั้งหมดตระหนักดีว่าท้องฟ้าเบื้องบนพวกตน มีดวงตายักษ์กำลังมองอยู่ และย่อมเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น แต่การศึกก็เป็นเช่นนี้ เพื่อชัยชนะจำต้องทำทุกวิถีทาง การปกป้องไพ่ในมือตน เพื่อผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ของพันธมิตรมนุษย์ สิ่งนี้ต่างหากที่สำคัญที่สุด
ด้วยเหตุนี้ จึงเหลือฉินเฟิงเพียงลำพังที่ต้องต่อสู้กับศัตรูห้าคน
“คนที่ตกเป็นเป้าหมายของฉัน คิดหรือว่าฉันจะยอมปล่อยให้หนีไปได้!” ฉินเฟิงกล่าวด้วยเสียงเย็นชา ชี้นิ้วของเขาออกไป
“เทคนิคหนึ่งดรรชนีแห่งความตาย!”
ท่ามกลางอากาศที่ว่างเปล่า เงาของโคตรดาวเคราะห์ธาตุมืดโผล่ขึ้นเหนือหัวของฉินเฟิง จากนั้น อำนาจสังหารของหนึ่งดรรชนีก็ตกลงบนร่างของผู้ใช้พลังที่เพิ่งได้สติจากเทคนิคขุมนรกทมิฬ
ชายคนนั้นถูกโจมตีด้วยหนึ่งดรรชนี ในดวงตาเขาสัมผัสได้ถึงความตาย ทั้งร่างกายและจิตใจกลายเป็นว่างเปล่า เขารู้สึกว่ายามเผชิญหน้ากับมัน เขาไม่สามารถหลบหนีได้อีกต่อไป
อำนาจสังหารนี้ เมื่อกระทบลงบนร่างของคู่ต่อสู้ ก็ระเบิดประสิทธิภาพออกมา
พริบตาเดียว ผู้ใช้พลังเลเวล SS ที่ทรงพลังสุดแสน เมื่อถูกจี้ด้วยหนึ่งดรรชนี ร่างกายแข็งทื่อไปทันใด ต่อมา คล้ายกับข้ามผ่านห้วงกาลเวลานับไม่ถ้วน ทั้งคนทั้งร่างของเขาทรุดโทรมลง สุดท้ายเหลือทิ้งไว้เพียงกระดูกขาว
ตกลงสู่ความตาย!