Ep.1020 - พระผู้ช่วยที่เฝ้าหวัง
Ep.1020 - พระผู้ช่วยที่เฝ้าหวัง
ภายในสนามประลอง ฉินเฟิงสัมผัสได้ถึงตัวตนของศัตรูฝั่งตรงข้าม
ตำแหน่งที่ฉินเฟิงถูกเส้าตงเฟิงจงใจวางลง มันอยู่ใกล้กับช่วงกลางของสนามประลอง หากทิศทางที่ฉินเฟิงเลือกเดินในตอนแรกเป็นอีกฝั่งหนึ่ง เขาคงได้รวมกลุ่มกับพันธิมตรมนุษย์ไปแล้ว แต่ทิศทางที่เขาก้าวเดิน มันดันลึกเข้าไปในฐานศัตรู
ซึ่งพอเวลาทิ้งช่วงมาขนาดนี้ ศัตรูเลยสามารถรวมกลุ่มกันได้แล้ว ขณะที่ฉินเฟิงมีเพียงลำพัง ดูโดดเดี่ยวและอ่อนแอ
อย่างไรก็ตาม สำหรับฉินเฟิงเขากลับไม่รู้สึกว่าตนกำลังเสียเปรียบเลย ศัตรูจะมากจะน้อยมันก็ไม่แตกต่างกัน
ในขณะที่ฝ่ายตรงข้าม เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวพร้อมรบ เพราะทั้งหมดสามารถยกระดับขึ้นเป็นเลเวล SS ได้สำเร็จแล้ว ดังนั้น สิ่งที่ฉินเฟิงต้องเผชิญ ไม่ใช่ผู้ประลองเลเวล S9 อีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม แม้สภาพของฉินเฟิงในตอนนี้ เลเวลของเขาจะไม่มากนัก แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เผชิญหน้ากับเลเวล SS เมื่อตอนทวีปบาฮามุท ฉินเฟิงกำจัดพวกเลเวล SS ที่คิดว่าตัวเองแน่มาเยอะแล้ว
เมื่อเข้าสู่ช่วงระยะห่างหมื่นเมตร ฉินเฟิงก็สามารถสัมผัสได้ถึงอีกฝ่ายทันที ในขณะที่ศัตรู ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีการดำรงอยู่เช่นฉินเฟิง
ฉินเฟิงก้าวไปข้างหน้า ตรงไปเรื่อยๆ ก่อนหยุดฝีเท้าในระยะที่ห่างจากศัตรูพันเมตร
ณ ขณะนี้ สามผู้ใช้พลังจากองค์กรมืดก็กำลังเดินหน้าเช่นกัน แต่ยังไม่มีใครค้นพบฉินเฟิง
ซึ่งระยะห่างเพียงแค่นี้ สำหรับฉินเฟิงนับว่าเพียงพอแล้ว
“เทคนิคจ้าวมังกรคำรน!”
ฉินเฟิงอัญเชิญอักษรรูนอันน่าสะพรึงออกมาจำนวนหนึ่ง เหนือศีรษะของเขา โคตรดาวเคราะห์ทมิฬลอยสูงขึ้น จากนั้นบนดาวเคราะห์ มังกรขนาดยักษ์ทะยานออกมา
มังกรยักษ์สีดำสนิทอ้าปากกว้าง วินาทีต่อมา สายธารทมิฬถูกพ่นจากปากมัน
เสียงคำรามของมังกรปะทุขึ้น!
กระแสธารทมิฬอันน่าพรั่นพรึงท่วมทับผืนป่า คลื่นแห่งความหวาดกลัวโถมกลืนทุกสิ่งเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว เสมือนดั่งธารยักษ์ร่วงหล่นลงจากฟากฟ้า สามผู้ประลองจากองค์กรมืด ไม่มีหนทางใดที่สามารถหลบหนีการโจมตีนี้ได้เลย
และเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจึงทำได้เพียงปัดป้องมันอย่างสุดกำลัง
ไม่ว่าจะโล่ปราณกำลังภายใน หรือเทคนิคอบิลิตี้ป้องกัน ทั้งหมดถูกเรียกใช้งานเพื่อต้านทานธารทมิฬ
เพียงแต่ว่าพวกเขาตัดสินใจทำเช่นนี้ คงมิแคล้วตกตายอย่างไม่ต้องสงสัย
สายธารแห่งความมืดร่วงตกลงมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด โล่ปราณกำลังภายในถูกหลอมละลายอย่างรวดเร็ว เทคนิคอบิลิตี้ป้องกันถูกบดขยี้อย่างรุนแรง ภายใต้ฉากนี้ การป้องกันพวกเขาไม่ต่างจากไม้ไผ่ที่ถูกหักจนงอ สุดท้ายแยกออกเป็นสองท่อน ไม่มีเวลาให้แม้กระทั่งได้หายใจ
กระแสธารทมิฬท่วมทับ สัมผัสกับร่างของพวกเขาโดยตรง!
ผู้ใช้พลังเลเวล SS เมื่อตกอยู่ภายใต้การโจมตีของธารทมิฬ ทั้งสามถูกพัดลอยไปตามกระแส ร่างกายได้รับความเสียหายอย่างมหาศาล สิบนาทีต่อมา ท่ามกลางกระแสน้ำ ทั้งหมดแปรสภาพกลายเป็นศพลีบแบน
“จงกลับคืน!”
ธารทมิฬค่อยๆแห้งเหือด อักษรรูนมืดลอยกลับมาเป็น มองเห็นเป็นริ้วในอากาศ ไหลคืนสู่ระหว่างคิ้วของฉินเฟิง
ในมือของฉินเฟิง กุมไว้ด้วยวัตถุสามชิ้น นี่คือตราที่ใช้ยืนยืนตัวแทนสิทธิ์ในการแบ่งมิตินั่นเอง นอกจากนี้ หากสังเกตดีๆ จะพบว่าตราตัวแทนแต่ละอันมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนกัน นี่เป็นตัวบ่งบอกว่ามีมิติใดถูกบันทึกเอาไว้ข้างในนั่นเอง
ถึงเวลาหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพบเจอ แล้วเห็นว่านั่นเป็นมิติที่ทางฝ่ายตนต้องการครอบครอง จะได้ทุ่มเทต่อสู้เพื่อแย่งชิงมา
เรื่องอะไรพวกนี้ถูกวางแผนไว้ตั้งนานแล้ว
เนื่องจากตรามิติไม่สามารถนำไปเก็บไว้ในอุปกรณ์รูนมิติได้ ฉินเฟิงเลยใส่พวกมันไว้ในกระเป๋าสะพายของเขา เริ่มออกตามล่าคนคนต่อ
เนื่องจากเขามุ่งหน้าลึกเข้ามาเขตฐานของพันธมิตรองค์กรมืด ดังนั้นฉินเฟิงไม่ต้องเสียเวลาเดินนัก เขาก็พบศัตรูอีกสามคน และทั้งหมดถูกสังหารสิ้น
ภายในวันเดียว ฉินเฟิงเชือดสมาชิกองค์กรมืดไปถึงเจ็ดคน นี่หมายความว่าตราบใดที่รอดชีวิต เขาจะได้รับเจ็ดมิติมาครอบครอง
ฉินเฟิงไม่ได้แสดงออกถึงท่าทีตื่นเต้นอะไร ทว่าทางฝั่งเซ็นทรัลซิตี้ ฉินเฟิงเวลานี้ได้รับความคาดหวังจากทุกคนสูงลิ่ว
การสังหารนักพรตมารในตอนแรก คนอื่นๆยังพอมองว่านั่นบังเอิญ ทั้งเกิดข้อสงสัยว่าเวลานั้นนักรพรตมารตัวแต่กินหนอนจนไม่สนใจอะไร สุดท้ายถูกลอบโจมตีโง่ๆโดยฉินเฟิง
แต่ตอนนี้ ฉินเฟิงได้เผยความสามารถให้ทุกคนประจักษ์แล้ว ว่าตัวเขาแข็งแกร่งขนาดไหน
ณ จุดนี้ ผู้ใช้พลังฝั่งมิติโลกมนุษย์บนอัฒจันทร์ จากที่เคยตื่นเต้นในตอนแรก เวลานี้ทุกคนกลับเงียบงัน หลายคนมีความคิดบางอย่างในใจ บางคนแสดงสีหน้าเคร่งขรึมออกมา
“หลังจากนี้ไป เกรงว่าพวกเราคงต้องเชิญฉินเฟิงมาเข้าร่วมประชุมกันสักหน่อยแล้ว!” หลงกงกล่าว
การประชุมที่ว่า แน่นอนไม่ใช่การประชุมขนาดเล็ก แต่มันคือการประชุมของพวกระดับสูงในมิติ
การประชุมนี้มีผู้เข้าร่วมได้ทั้งสิ้น 11 คน และทั้งหมดล้วนเป็นเลเวล SS ของมิติโลกมนุษย์ แต่ถ้าฉินเฟิงได้เข้าร่วมเมื่อไหร่ เขาก็จะกลายเป็นคนที่ 12
ด้วยความแข็งแกร่งของฉินเฟิง หลายสิ่งหลายอย่างที่ยากนักจะแก้ปัญหา บางทีอีกไม่นานอาจได้รับการแก้ไขโดยง่าย
“เอาไว้รอให้เขาไปถึงเลเวล SS ให้ได้ก่อนเถอะ!” ชิน นากาว่าเป็นคนแรกที่คัดค้าน
ส่วนคนอื่นๆยังไม่พูดอะไร เพราะพวกเขายังลังเลเล็กน้อย พวกในกลุ่มเลเวล SS มีทรัพยากรมหาศาลก็จริง ทว่าหากเพิ่มผู้เข้าร่วมประชุมอีกหนึ่งคน นั่นทำกับส่วนแบ่งลดลงหนึ่งส่วน
“ไม่ว่าตอนนี้เขาจะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่สุดท้ายยังเป็นแค่เลเวล S คุณอยากให้เขาทำอะไร ก็แค่สั่งออกไปตรงๆ ไม่เห็นต้องทำเหมือนเขาเป็นจักรพรรดิ ต้อนรับกันถึงขนาดนั้นเลย!” ชิน นากาว่าคัดค้านเสียงแข็ง
คนอื่นๆพยักหน้าเห็นด้วย พวกเขาคิดว่าตอนนี้แค่ส่งคำสั่งออกไปก็พอแล้ว
ถึงจุดนี้ หลี่หยวนหัวเราะออกมา “ด้วยความแข็งแกร่งที่มี ฉันคงไม่มีหน้าละเมอไปสั่งการอะไรเขา ถ้าพวกคุณรู้ว่ามีอะไรที่ตัวเองทำไม่ได้ ก็ต้องหัดรู้จักก้มหัวแล้วพึ่งพาคนอื่นซะบ้าง แล้วอย่าบอกนะว่าให้รอ ถ้ารอจนเขากลายเป็นเลเวล SS ถึงเวลานั้นเขาพูดคำเดียว ทั้งมิติโลกมนุษย์คงต้องเชื่อฟังที่เขาสั่งแล้ว!”
ประโยคนี้เท่ากับเป็นการตบหน้าคนที่ไม่เห็นด้วย
ชั่วขณะนี้ บรรยากาศกลายเป็นน่าอึดอัดใจ
…
เกมการประลองยังคงดำเนินต่อไป เมื่อมีความแข็งแกร่งถึงระดับหนึ่งแล้ว การไม่ต้องหลับต้องนอนเป็นเวลาเป็นเดือนไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ดังนั้นไม่ต้องกล่าวถึงเจ็ดวัน ฝูงชนบนอัฒจันทร์ไม่ได้พักผ่อน ยังคงรับชมการต่อสู้
จนในที่สุด วันแรกก็ผ่านพ้นไป ฉินเฟิงสามารถสังหารคนจากองค์กรมืดได้อีกคน เท่ากับว่าเขาคนเดียว เก็บไป 8 ศพ
23 คนจากพันธมิตรองค์กรมืด ในวันแรกตกตายด้วยน้ำมือผู้อื่น 3 ราย แต่การต่อสู้กินระยะเวลานานมาก แตกต่างจากฉินเฟิงที่สามารถสังหาร 8 รายได้อย่างไม่ยากเย็น
ซึ่งทางฝั่งพันธมิตรองค์กรมืดคงไม่ทราบเลยว่าเวลาแค่วันเดียว พวกเขาจะสูญเสียสมาชิกไปมากมายขนาดนี้
องค์กรมืดยังเหลือตัวแทนอีก 12 คน บ้างกระจัดกระจาย บ้างรวมกลุ่มกัน แต่ก็สามารถสังหารตัวแทนฝั่งพันธมิตรมนุษย์ไปได้เช่นกัน
ทางด้านหมิงเทียนห่าว เขายังคงปลอดภัยดี นอกจากนี้ยังสามารถรวมตัวกับฝั่งเดียวกันได้ถึงสองคน เมื่อรวมเป็นทีมสามคน กำลังรบของพวกเขาเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล รู้สึกปลอดภัยกว่าเดิมเป็นอย่างมาก
แต่ในวันถัดมา วิกฤตได้มาเยือน ทีมสามคนของพวกเขา ดันบังเอิญได้เผชิญหน้ากับทีมห้าคนจากพันธมิตรองค์กรมืดเข้าพอดี
หากปะทะกันตรงๆ ฉากการต่อสู้อันแสนโหดร้าย คงต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“วิ่ง! อย่าไปยุ่งกับพวกมัน”
แม้ความแข็งแกร่งของหมิงเทียนห่าวจะมากมายเพียงใด แต่คนจากพันธมิตรองค์กรมืดในปีนี้ ก็ไม่น้อยหน้าเขาเช่นกัน ผู้ใช้พลังที่สามารถทำแต้มโจมตีได้เกิน 100,000 แต้ม มีมากถึงสามคน หากพบกับคนในระดับเดียวกับนักพรตมาร หมิงเทียนห่าวไม่นับเป็นคู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายเช่นกัน
ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจใช้แผนหนี ไม่ต้องการจะสู้
ด้วยความแข็งแกร่งของหมิงเทียนห่าว แม้สู้ไม่ได้ แต่หากเขาคิดหนี คนอื่นๆอย่าหวังจะรั้งได้
ด้วยเหตุนี้ ท่ามกลางเขตแดนลับ มนุษย์กว่า 8 คนเคลื่อนไหวเอิกเริก สามพยายามหลบหนี ห้าไล่ล่าหมายปองชีวิต และทั้งหมดไม่มีการปกปิดกลิ่นอาย นอกจากนี้ยังสัมผัสได้ถึงผลกระทบจากการต่อสู้ ไม่จำเป็นต้องใช้พลังการรับรู้ ก็ระบุได้ว่าใหญ่โตแค่ไหน
“เห~~ ไปรวมตัวกันอยู่ทางนั้นนี่เอง”
ฉินเฟิงยืนอยู่บนเนินเขา กำลังภายในถูกอัดฉีดเข้าไปในดวงตา สามารถมองเห็นร่างแว่บๆของมนุษย์แต่ไกล และมันไม่ใช่แค่คนเดียว
“ในที่สุดก็เจอเหยื่อกลุ่มใหญ่เสียที!”
มุมปากของฉินเฟิงเผยรอยยิ้มจาง ระเบิดความเร็ว ไล่ตามพวกเขาไป
ณ ขณะนี้ ผู้ใช้พลังในเมืองเซ็นทรัลซิตี้ สายตาต่างเพ่งมองแน่วนิ่งบนหน้าจอ
พิธีกรเองก็ตื่นเต้นสุดๆเช่นกัน
“ฉินเฟิงว่องไวจริงๆ! หมิงเทียนห่าวและพวกกำลังจะได้รับการช่วยเหลือแล้ว!”
ณ เวลานี้ ฉินเฟิงได้กลายเป็นความหวังของทุกคน เขาไม่ต่างจากวีรบุรุษ เป็นพระผู้ช่วยให้ทุกคนรอดชีวิต!