ตอนที่แล้วบทที่ 1 กำเนิดประชาธิปไตย : ตอนที่ 2 เฟลิเซียบุตรสาวแห่งตระกูลสกาเล็ต ( Felicia, daughter of The House Scarlet )
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 1 กำเนิดประชาธิปไตย : ตอนที่ 4 ทางเลือกคือ คำโกหก หรือ เลือด (The choice is lies or blood)

บทที่ 1 กำเนิดประชาธิปไตย : ตอนที่ 3 คนที่ใช่ ที่อยู่ผิดที่ (Right man in the wrong place)


 คนที่ใช่ ที่อยู่ผิดที่

( Right man in wrong place)

เฟลิเซียไม่เอ่ยกล่าวอะไร เธอเพียงแค่หยิบถ้วยนํ้าชามาดื่มพลางจับจ้องมองไปยังหญิงตรงหน้าของเธอก่อนจะตอบกลับไปเบาๆ

“คำขวัญไม่สามารถบอกผลที่ชัดเจนได้เท่ากับผลงานที่เห็นและจับต้องได้” เฟลิเซียกล่าวเสร็จก็วางถ้วยนํ้าชาลง แอร์นาได้เพียงแต่ยิ้มอ่อนและพยักหน้าหงึกๆเป็นการยอมรับ

“อ่า ข้าลืมเรื่องสำคัญที่ต้องบอกท่านไป” แอร์นายกมือขึ้นมาปิดปากเล็กน้อย

“ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องบอกท่าน เกี่ยวกับสมาพันธ์การค้า” สิ้นเสียง สีหน้าของเฟลิเซียก็จริงจังขึ้นมาทันที แอร์นาเห็นเช่นนั้นจึงรีบกล่าวต่อ

“สายของข้ารับรู้มาว่าทาสที่หลบหนี เกือบทั้งหมดล้วนพัวพันกับสมาพันธ์การค้า ทั้งเส้นทางออกนอกเขตอาณานิคม หรือกลุ่มชนพื้นเมืองที่ช่วยเหลือพวกทาสและผู้ลี้ภัย แท้จริงแล้วเป็นฝีมือของประธานสมาพันธ์การค้าคนปัจจุบัน ท่านน่าจะรู้จากกลุ่ม แสงตะวันออก (Eastern Light) พันธมิตรของเราว่าเส้นทางหลบหนีถูกวางแผนไว้ดีเกินกว่าที่เหล่ากลุ่มทาสรุ่นแรกจะทำได้ แต่ข้าก็ไม่อยากจะเชื่อเรื่องแบบนี้หรอกนะ” เฟลิเซียนั่งขบคิดใคร่ครวญอย่างหนัก

หากเป็นอย่างที่ท่านหญิงแอร์นากล่าวมันก็ไม่สมเหตุสมผลเสียเลย ที่พ่อค้าทาสจะเป็นต้นตอของการปลดปล่อยทาส ถ้าหากสมาพันธ์เป็นกลุ่มที่เห็นด้วยกับการเลิกทาสจริงๆ ทำไมต้องมาเสียผลประโยชน์สำคัญเพื่ออะไรแบบนี้ การค้าทาสเป็นรายได้ที่ดีเสียยิ่งกระไร สมาพันธ์การค้าก็มีแต่พวกหน้าเงินที่ยอมจะทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตน ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ … เฟลิเซียเบิกตาโพลง ก่อนจะกล่าวกับท่านหญิงตรงหน้าเธอ

“หรือว่าแท้จริงแล้ว เส้นทางหลบหนีถูกวางไว้แต่แรกจะไม่ใช่กลุ่มทาสรุ่นแรก แต่ถูกสร้างโดยกลุ่มสมาพันธ์ละ?” เธอชะงัก “เช่นนั้นพวกเขาจะทำไปเพื่ออะไรกัน? หรือพวกเขาพยายามย้ายถิ่นกันแน่?”

“เป็นไม่ได้” แอร์นาส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนเอ่ยต่อ “แต่ถ้าหากเป็นจริงพวกเราสามารถเชิญสมาพันธ์การค้าให้เป็นพันธมิตรได้ พวกเขามีทั้งเงินทุน ส่ายข่าวจากพ่อค้า แม้กระทั่งเส้นสายก็สูงมาก และเครือข่ายสมาพันธ์ก็ยังครอบคลุมสามทวีปใหญ่”

“เฮ้อ.. ให้ตายสิท่านหญิงเครือข่ายท่านก็ใช่ย่อย ถึงกับรู้ตัวการเรื่องที่สามารถทำให้สมาพันธ์เสียชื่อเสียงได้ อันตรายเสียจริง” เฟลิเซียถอนหายใจ ไม่ใช่ท่านหญิงตรงหน้าพึ่งมีข้อมูลข่าวสารภายในองค์กรขนาดใหญ่ไม่ใช่หรือไง? ส่ายข่าวของหญิงตรงหน้าเธอช่างอันตราย หากเป็นศัตรูด้วยแล้วคงไม่พ้นข่มขู่หักหลังหรอกนะ

“ตายจริง! ข้ามิได้น่ากลัวขนาดนั้นเสียหน่อย อย่ากล่าวโทษแต่ข้านะ เด็กๆข้าก็มีส่วนเหมือนกัน” แอร์นาเอ่ยชมตัวเองอย่างหน้าไม่อาย ริมฝีปากชมพูยกขึ้นอย่างเย็นชาสร้างความไม่น่าไว้ใจมากกว่าเท่าตัว จนทำให้เฟลิเซียต้องส่ายหน้าเอือมละอายกับหญิงตรงหน้าของเธอ หญิงตรงหน้าเธอยังมีหน้ามาล้อเล่นกับเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกัน เฟลิเซียได้แต่คิดในใจ ก่อนที่เฟลิเซียจะเปลี่ยนเรื่องคุย

“ท่านพ่อข้าไปราชการที่รัฐวัลเทอร์ เป็นไปได้ว่าเรื่องที่ข้าก่อเอาไว้จะถูกตรวจพบแล้ว” หญิงสาวพูดด้วยเสียงอารมณ์ที่แปรปรวนเมื่อพูดถึงบิดาของเธอ อย่างไรก็ตามเฟลิเซียก็สามารถเก็บอาการของตัวเองได้อย่างเชี่ยวชาญ ผิดกับแอร์นาที่ตกตะลึงกับคำพูดของเฟลิเซีย จนแอร์นาต้องเอ่ยออกมาเสียงดังหลังจากที่ได้ยินสิ่งที่เฟลิเซียกล่าวมา

“ใครกันที่สามารถตรวจพบการเคลื่อนไหวของคุณหนูได้! แล้วมันเกี่ยวพันกับเรื่องใดหรือ?”

“ข้าก็ไม่ทราบว่าใคร หรือกลุ่มใดที่รับรู้ฝีเท้าของลูกน้องข้าได้…” เธอชะงักก่อนจะกล่าวต่อ “ส่วนเรื่องที่ทำให้เป็นเหตุที่พ่อข้าต้องไปรัฐวิลเทอร์ก็คงจะเป็นเรื่องที่คนของข้าลอบนำกระสุนและอาวุธออกจากป้อม”

แอร์นาที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจยิ่งกว่าเดิม การลักลอบขโมยอาวุธยุทโธปกรณ์นั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก หากถูกจับได้มีหวังถูกล่วงรู้การมีอยู่ของพวกเธอเป็นแน่ และสำคัญที่สุดคือความปลอดภัยของคุณหนูเฟลิเซีย หากมีการตั้งคณะสืบขึ้นมา การกระทำใดๆจะกลายเป็นเรื่องยากต่อแผนการต่างๆในอนาคต เฟลิเซียคือหัวใจของกลุ่มหากไม่เธอก็ไม่อาจจะรุกขึ้นยืนได้ แอร์นามีสีหน้าที่กังวลอย่างมาก ไม่นานนักเธอก็ลุกขึ้นก่อนจะเดินข้ามโต๊ะวางนํ้าชามาจับไหล่ของเฟลิเซีย แรงกดนั้นทำให้เฟลิเซียขมวดคิ้วและร้องออกมาเบาๆ แอร์นาที่ไม่สนใจก็พูดต่อเธอ

" คุณหนูเฟลิเซียแบบนี้มันเสี่ยงเกินไป หากคุณหนูถูกจับละก็

อนาคตแห่งดินแดนนี้ได้จมลงใต้มหาสมุทรเป็นแน่!

เฟลิเซียไม่กล่าวอะไรเพียงแค่จับแขนของแอร์นาเพื่อบ่งบอกว่าให้เธอปล่อยมือออกไปเสียก่อน เมื่อได้สติว่าเธอกำลังบีบอย่างสุดแรงแอร์นาจึงปล่อยมือที่กำไหล่ของหญิงข้างล่างออกก่อนจะกล่าวขอโทษ “ขออภัยคุณหนู”

“ไม่จำเป็นห่วงข้าหรอกท่านหญิง” เฟลิเซียถอนหายใจกับอาการห่วงใยของหญิงตรงหน้า แม้ในใจแต่จะรู้สึกยินดีก็ตาม

“ต่อให้ไม่มีลมหายใจ ยังไงพวกท่านก็สามารถรุกขึ้นได้ ต่อให้เรามิใช่ผู้นำพวกท่านก็สามารถพึ่งพากันเองได้” แอร์นาไม่ได้ตอบอะไรกลับเพียงแต่กลับไปนั่งที่เดิมของเธอ เมื่อแอร์นานั่งลงไปแล้วเฟลิเซียจึงค่อยกล่าวต่อ “เช่นนั้นท่านหญิงก็มิต้องกังวลไป ข้าเอาตัวรอดได้”

แอร์นาพยักหน้าตอบกลับเป็นการแสดงความรับรู้คำพูดของเฟลิเซีย ขณะที่กำลังจะได้คุยต่อทั้งสองก็ต้องหยุดการสนทนาลงเพียงเท่านี้ แม่บ้านของแอร์นาวิ่งเข้ามาในห้องรับแขกอย่างตื่นตระหนกและใบหน้าที่ซีกเผือกก่อนจะก้มหัวขอโทษพวกเธอทั้งสองที่ขัดบทสนทนาสำคัญก่อนจะกล่าวพูด

“ท่านหญิงมีนายทหารสองคนเข้าขอพบเจ้าค่ะ” แอร์นาและเฟลิเซียที่ได้ยินเช่นนั้นก็ทำสีหน้าสงสัยใคร่รู้ ไม่ใช่ว่าพวกเขาต้องเดินทางไปป้อมทหารก่อนหรือ? แอร์นาเป็นคนแรกที่ไถ่ถามแม่บ้านของเธอ

“หลี่ จวิน กลับมาแล้วงั้นรึ? จำลืมใบหน้าของเจ้านายไม่ได้หรือไงกัน”

“ข้าไม่เคยลืมใบหน้าของนายเหนือหัวเจ้าค่ะ เพียงแค่นายทหารสองคนที่ขอเข้าพบดูมียศถาบรรดาศักดิ์มากกว่านายเหนือหัวเจ้าค่ะ!” แม่บ้านกล่าว

“ผู้นำกองกำลังอาสาหรือ? ให้เขาเข้ามา” แม่บ้านของแอร์นาโครงตัวรับคำสั่งก่อนจะรีบหันตัวไปประตูบ้าน

ไม่นานนักนายทหารทั้งสองที่ขอเข้าพบก็โผล่หน้าให้ทั้งสองได้เห็น คนแรกที่เดินเข้ามาในห้องรับแขกเป็น ร่างเล็กผู้มีสีผมที่แปลกประหลาดหาได้ยาก เขาถอดหมวกสามมุม ผมที่ถูกรวบเป็นหางม้า ใบหน้าที่ดูสมหญิงมากกว่าชายฉกรรจ์ของกองทัพ ดวงตาสีฟ้าอ่อน ใบหน้าที่เย็นช้ายากที่จะคาดเดา เครื่องแบบที่แตกต่างจากทหารอาสาชั้นเลว ถ้าไม่ใช่ระดับผู้หมวดขึ้นไปส่วนมากจะสวมใส่เสื้อผ้าชาวบ้านทั่วไป และ นายทหารอีกคนเป็นมนุษย์ครึ่งสัตว์ดูยศน้อยกว่าชายคนแรก นายทหารคนนั้นค่อยๆก้มหัวก่อนจะแนะนำตัว

“ร้อยตรี ดักลาส” “พลทหารบูลล์”

“ไม่ทราบว่าผู้กองทหารอาสาสมัครมีธุระอะไรกับข้าหรือไม่?” แอร์นากล่าวถามขณะที่ดื่มนํ้าชา

“ผมมาขอแจ้งให้ท่านหญิงได้ทราบว่าสามีของคุณ ผู้หมวดหลี่ จวิน ได้รับแจ้งว่าเสียชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ ยูทิก้า รัฐเบอร์เกน ในนามของผู้นำกองกำลังอาสาในครั้งนี้ ผมขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อคุณและครอบครัวของคุณต่อการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของคุณ” สิ้นเสียงถ้วยนํ้าชาในมือก็ร่วงลงพื้น

   เพล้ง! เสียงถ้วยนํ้าชากระทบพื้นบ้านดังไปทั่ว หญิงสาวผู้เป็นเจ้าบ้านเบิกตากว้างสีหน้าที่ตกใจคล้ายจะเป็นลม ในตาที่ค่อยๆมีนํ้าไหลออกมา ความเศร้าโศกปะทุออกจากหน้าอก แอร์นากัดริมฝีปากด้วยความเสียใจ ส่วนเฟลิเซียถึงกับไม่สามารถคิดคำพูดอะไรออกมาได้ หัวใจของหญิงผู้เป็นคนรักล้วนแตกสลายง่ายดาย แต่หัวใจของแอร์กลับแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า ไม่นานเธอก็เก็บอารมณ์ที่รุ่นแรงนี้ได้

แม้ว่าแอร์นาไม่แสดงอาการเสียใจออกมาแต่บรรยากาศอึกอักและความโศกเศร้าก็โผล่ออกมารอบๆตัวเธอ

ร้อยตรีลาส หยิบจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นมาก่อนจะหยิบยื่นให้แอร์นา ซึ่งเธอก็รับด้วยความเต็มใจ มันเป็นจดหมายสุดท้ายของหลี่ จวิน ก่อนออกศึก แอร์นาที่เห็นชื่อคนเขียนก็ได้ยิ้มอ่อนก่อนจะพูดกับลาส

“ขอบคุณท่านที่นำมันมาให้ข้า ขอบคุณจริงๆ” แอร์นาหยุดสักครู่ก่อนจะหันไปกล่าวกับแขกทั้งสองฝั่ง “ข้อขออยู่ตัวคนเดียวสักพัก หากคุณหนูเฟลิเซียมีประสงค์จะคุยต่อข้าจะให้คนรับใช้เตรียมนํ้าชาให้ใหม่”

เฟลิเซียเหล่ตามองไปที่ชายหน้าหวานด้วยแววตาใคร่รู้โดยที่ผู้ถูกจ้องมองไม่ทันสังเกต ก่อนจะหันตอบแอร์นาด้วยการพยักหน้าเป็นเชิงยินยอม เฟลิเซียเข้าใจว่าแอร์นาอยากได้เวลาส่วนตัวของเธอ ซึ่งเธอก็ควรที่จะไม่ยุ่งเรื่องของความรักคนอื่น เมื่อแอร์นาเดินออกไปแล้วเฟลิเซียก็หันไปหานายทหารทั้งสอง

“เชิญร้อยตรีนั่งลงและมาพูดคุยเล่นกันสักหน่อยเสีย” เฟลิเซียเผยหน้ามือเชื้อเชิญชักชวนให้ชายทั้งสองนั่งลง

ลาสหันกลับไปมองไปยังหญิงสาวที่ยิ้มให้กับเขา แม้ว่าอยากจะบอกขอโทษแต่ปากไม่รักดีมันไม่ยอมเอ่ยตอบ ลาสนึกถึงเรื่องตอนที่เขาได้เจอกับคุณหนูตรงหน้าพร้อมไวส์ มันช่างเป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมและน่าอายเสียจริงๆ เฟลิเซียคงไม่น่าจะจำคนแปลกหน้าตอนนั้นได้หรอกนะไม่งั้นตัวเขาคงได้มีปัญหาเป็นแน่ ลาสคิดในใจก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆและเดินไปนั่งตามที่หญิงสาวเชิญ พร้อมกับบูลล์ที่เดินตามมานั่งข้างๆตัวของเขา นํ้าชาและถ้วยถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะเล็ก ก่อนที่เฟลิเซียจะเป็นคนเปิดบทสนทนา

“ ทิวาสวัสดิ์​ ท่านคงเป็นผู้นำกองกำลังทหารอาสาสมัครไปทำศึกที่ยูทิก้าใช่หรือไม่”

ลาสพยักหน้าตอบกลับไม่เอ่ยกล่าวอะไรทั้งสิ้นสร้างความเงียบจนบูลล์ต้องเรียกสติลาสด้วยการตบไปที่น่องขาของลาสเบาๆสองทีจนเจ้าตัวที่ถูกเรียกสติต้องตอบเฟลิเซียไป “ใช่ครับ”

เฟลิเซียจ้องมองบูลล์ด้วยสีหน้าที่แปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะคิดอะไรเพลินๆพลางมองไปยังชายหนุ่มทั้งสอง ช่างน่าแปลกชายผู้เปลี่ยนกองกำลังช้าวบ้านให้กลายเป็นนักรบเต็มตัว กลับเป็นชายที่ไม่ใช่พวกโอ้อวดเหมือนกองทหารของบิดาของเธอ ที่น่าแปลกยิ่งกว่าคือการที่ชายคนนี้ไม่ได้มองเผ่าพันธุ์อื่นตํ่ากว่าตัวเองผิดกับผู้มีฐานะหรือบุคลากรที่สำคัญในดินแดนแห่งนี้ แต่จะว่าทุกคนก็ไม่ได้ ตัวอย่างเช่นท่านหญิงแอร์นาแม้ว่าจะถูกเรียกว่าชนชั้นสูงคล้ายขุนนางรอง แต่ท่านหญิงเธอก็ไม่เคยมองเผ่าพันธุ์อื่นด้อยกว่าตนเสียด้วยซํ่า

เฟลิเซียเปลี่ยนใบหน้าจากคุณหนูผู้อ่อนน้อมกลายเป็นหญิงสาวที่สงบเสงี่ยมและเย็นชา เธอเปลีี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที เฟลิเซียเอ่ยพูดแบบเคร่งขรึมเอาจริงเอาจัง

“ตัวข้าอยากทราบความคิดเห็นส่วนตัวของท่านเกี่ยวกับ อาริกาเซีย และ ดินแดนโพ้นทะเล”

“ความเห็นงั้นเหรอครับ? เรื่องอะไรละครับ การเมืองการปกครอง? สงครามโลกภายนอก? ความเป็นอยู่ของประชากร? หรือ…” สายตาของลาสจับจ้องไปยังเฟลิเซียเพื่อหาคำตอบ “ความทะเยอทะยานในอำนาจของคุณหนู”

เฟลิเซียที่ได้ยินคำเสียดสีของลาสก็ไม่ได้แสดงอาการโกรธแค้นแต่อย่างไร เธอนำพัดบรรดาศักดิ์คู่ใจขึ้นมาปกปิดบริเวณปาก ทิ้งไว้เพียงแค่สายตาที่ยากจะคาดเดา ก่อนที่เธอจะตอบกลับ

“หากเป็นคนอื่นคงไม่ตอบคำถามด้วยการถาม หึ แน่นอนว่าเป็นดินแดนแห่งนี้ ท่านไม่คิดหรือว่าทำไมพวกเราต้องส่งผลประโยชน์ส่วนร่วมของประชากรเราให้กับเจ้าของที่ไม่แม้จะเดินทางทำงานด้วยตัวเอง  ” เฟลิเซียหุบพัดแล้วชี้ไปทางลาส

“ดินแดนอาริกาเซียแห่งนี้มันก็ควรเป็นของชาวอาริกาเซีย! ไม่ใช่ลีโอเนียที่หวังแต่ทรัพยากรกลับดินแดนของมัน พวกเราควรที่จะมีอริสระในแบบของเรา การกดขี่อันอยุติธรรมควรที่จะจบสิ้นได้แล้ว ท่านไม่คิดเช่นนั้นหรือ?” เฟลิเซียกล่าด้วยวาจาอันแข็งกระด้าง

“กดขี่? เท่าที่เห็นผมเห็นที่แห่งนี้ก็มีการปกครองตัวเองไม่ได้ถูกกดขี่ตรงไหน แต่ก็จริงว่ามีการเอารัดเอาเปรียบกันมากมายระหว่างชาวอาณานิคมกับชาวอัลชลาฟไวส์อยู่บ้าง หรือไม่คุณหนูคงหมายถึงความแตกต่างด้านชีวิตความเป็นอยู่ของทั้งสองทวีป เรื่องนั้นผมก็พอเห็นด้วยกับคุณหนูครับ…. อีกเรื่องที่สำคัญที่คุณหนูควรจะนึกเอาไว้ ดินแดนของอาริกาเซียเป็นของชนพื้นเมืองที่เติบโตมาหลายชั่วอายุคน ไม่ใช่ผู้ย้ายเข้ามาอาศัยรุ่นใดๆ” ลาสชะงักก่อนจะตอบกลับ

ดินแดนแห่งโอกาสไม่ควรที่จะทิ้งผู้ใดไว้ข้างหลัง ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นชนชาติใด

เฟลิเซียนิ่งตกใจชั่วครู่ กับคำพูดของลาส เธอไม่คิดว่าชายตรงหน้าจะแตกต่างยิ่งกว่าชาวบ้านหรือชนชั้นใดๆที่เธอเคยเจอ มันเป็นอย่างที่ลาสพูดเฟลิเซียไม่เคยคิดถึงเรื่องอดีตก่อนที่จะมีการโยกย้ายเข้ามาในดินแดนแห่งนี้และสร้างเขตแดนของตนภายในพื้นที่อาศัยของชนพื้นเมือง ในหัวของเธอเต็มไปด้วยคำว่า ‘ ดินแดนแห่งโอกาส ’ แต่เฟลิเซียก็เก็บไว้ในใจก่อนที่เธอจะบอกกับลาส

“ร้อยตรี ดักลาส ท่าน… ท่านเป็นพวกแบ่งแยกงั้นหรือ? แต่ข้าไม่เคยเห็นนายทหารที่อยากจะเปลี่ยนแปลงแบบท่านเลยนอกจากหลี่ จวิน ที่ข้ารู้จัก”

“แบ่งแยกหรือแท้จริงแล้วคุณหนู ต้องการปลดแอกออกจากสหจักรวรรดิ… แสดงว่ามีจริงๆสินะ” คำสุดท้ายนั้นเบาเสียจนเฟลิเซียไม่ได้ยิน

“หึ สายตาของข้าไม่เคยมองคนผิด ร้อยตรี ดักลาส ใช่แล้วข้าต้องการให้อริสระภาพกับแผ่นดินผืนนี้ อริสระภาพให้แก่ชาวบ้านที่ถูกจับมาปล่อยในดินแดนแห่งนี้ อริสระภาพให้กับทาสที่ถูกลักพาตัว” เฟลิเซียมองกลับลาสกับบูลล์ก่อนจะพูดต่อ

“แล้วพวกท่านละ คิดจะเอาเรื่องที่ข้าพูดไปฟ้องเพื่อจับกุมข้า ในความผิดกบฏต่อจักรวรรดิหรือไม่….”

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด