Ep.1018 - ขุมนรกทมิฬ!
Ep.1018 - ขุมนรกทมิฬ!
วิสัยทัศน์ของฉินเฟิงเปลี่ยนแปลงไป เขาพบว่าตัวเองอยู่กลางป่าทึบ สภาพแวดล้อมรอบกายคุกรุ่นไปด้วยพลังงานพิเศษ ส่งผลให้พลังสมาธิและการรับรู้ของฉินเฟิง ถดถอยไปพร้อมกับมัน
“รัศมีการรับรู้ของฉันลดทอนลงเหลือแค่ 10,000 เมตร ถ้าคนอื่นๆก็ถูกลดการรับรู้ลงเหมือนกัน ระยะการตรวจสอบของพวกเขาคงไม่มีทางมากไปกว่าฉัน น่าจะซัก 1,000 เมตรเท่านั้น”
ฉินเฟิงทราบดี ว่าสถานที่แห่งนี้คือเขตแดนลับ ไม่ใช่มิติซะทีเดียว ขนาดอาณาเขตน่าจะสักประมาณ 1,000 กิโลเมตร ภมูิประเทศอุดมสมบูรณ์มาก ด้วยความว่องไวที่แต่ละคนครอบครอง การออกค้นหากันและกันน่าจะไม่ยาก แต่หากซ่อนตัวคงเจอกันยากหน่อย
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่เกิดเมื่อเผชิญหน้ากัน คงต้องวัดกันแล้วล่ะว่าใครจะเก่งกว่ากัน
ด้วยระยะเวลามากถึงเจ็ดวัน หากไม่แกร่งพอ คงได้แต่ซ่อนตัว เก็บไพ่ในมือเอาไว้ อย่าลืมนะว่าทุกคนถือการจัดแบ่งสิทธิ์ 100 มิติฝั่งตนเองไว้กับตัว และหากสามารถรอดชีวิตไปได้ ตนเองจะได้รับ 1 มิติเป็นรางวัล
ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุด ในความเป็นจริงคือออกตามหาสมาชิกทีมเดียวกัน เพื่อรวมกลุ่มเพิ่มกำลังรบ
ณ จุดนี้ เหนือท้องฟ้า ดวงตากลมโตขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น มันสามารถมองทะลุชั้นเมฆสีขาวได้ เฝ้าจับตามองการเคลื่อนไหวของทั้ง 46 คน จากนั้นส่งต่อมายังพันธมิตรมนุษย์
แต่ในตอนนั้นเอง ผู้ชมฝั่งพันธมิตรมนุษย์ได้ร้องอุทานด้วยความตื่นตระหนก
งานประลองเพื่อสันติภาพ ก็เหมือนกับงานประลองบนโลกมนุษย์ มีพิธีกรคอยให้การบรรยาย แถมคนๆนี้ดูเหมือนจะเป็นมืออาชีพเสียด้วย ดวงตายักษ์จับจ้องไปยังสองคนบนสนามประลองอย่างรวดเร็ว
หนึ่งในสองที่ว่า คือฉินเฟิง
ในมุมฝั่งที่นั่งผู้ใช้พลังจากโลกมนุษย์ เส้นประสาทของทุกคนเริ่มตึงเครียด สีหน้ากลายเป็นเคร่งขรึม กระทั่งชิน นากาว่า ยังเผลอเกร็งนิ้วโดยไม่รู้ตัว
นั่นเพราะฝั่งตรงข้ามฉินเฟิงห่างออกไปหนึ่งกิโลเมตร ผู้ใช้พลังคนหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้น แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่ผู้ประลองจากฝั่งพันธมิตรมนุษย์
แต่เป็นคนขององค์กรมืด!
ระยะทางหนึ่งกิโลเมตร ยามมองจากมุมสูงบนท้องฟ้า สำหรับผู้ใช้พลังแล้ว มันใกล้แค่เอื้อม
“ผู้ประลองอันดับที่ 5 ฉินเฟิง เกรงว่าจะเจอวิกฤตเข้าให้แล้ว! เขาเป็นแค่ผู้ใช้พลังเลเวล S0 เท่านั้น หากพลังการรับรู้ของเขาถูกสะกดโดยมิติสนามประลอง นั่นเท่ากับว่าระยะการตรวจสอบของเขาอยู่ที่ไม่กี่ร้อยเมตร ในกรณีนี้ มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่ศัตรูจะเจอตัวเขา และลอบโจมตีเขาก่อนที่จะทันตั้งตัว พวกเรามาดูกันดีกว่าว่าพันธมิตรองค์กรมืดคนนั้นคือใคร!”
พิธีกรบรรยายด้วยสำเนียงรวบรัดและน่าฟัง เขาวิเคราะห์และกล่าวสรุปโดยย่อ กระตุ้นให้ผู้รับชม มุ่งสมาธิติดตามอย่างใกล้ชิด
ในบรรดาผู้ชมที่นั่งแถวหน้า มีเส้าตงเฟิงรวมอยู่ด้วย เวลานี้อีกฝ่ายแสยะยิ้มเย็นชา ในแววตาทอประกายสะใจอย่างมิอาจปกปิด
“นั่นนักพรตมาร! ผู้ประลองอันดับหนึ่งของพันธมิตรองค์กรมืดในครั้งนี้ พลังโจมตีที่เขาทำได้ สูงมากถึง 124125 แต้ม!” ฝูงชนที่กำลังรับชมพอได้ยิน ดวงตาของทั้งหมดต่างเบิกกว้าง รู้สึกว่าฉินเฟิงผู้นี้ช่างโชคร้ายนัก
ตรงกันข้าม เส้าตงเฟิงรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก
‘อยากรู้จริงๆว่าสหายตัวน้อยจะชอบของขวัญที่ฉันหามาให้รึเปล่า!’
ถูกต้อง สถานการณ์ในตอนนี้ เป็นเส้าตงเฟิงจงใจให้เกิดขึ้น
ประตูมิตินั่น เป็นเขาเองที่ตั้งใจทิ้งไว้ให้ฉินเฟิง
การต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่าย เดิมตำแหน่งของแต่ละคนจะถูกกำหนดโดยการจับสลากแบบสุ่ม เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรวมกันเป็นกลุ่มเดียว แล้วนำไปสู่สถานการณ์ที่ว่าคนหมู่มากรังแกคนน้อย
อย่างไรก็ตาม พิกัดมิติสามารถดัดแปลงได้ แน่นอนมิใช่ผู้ประลองที่ดัดแปลง ฉินเฟิงเป็นเพียงบุคคลธรรมดาที่ไม่มีอำนาจหรืออิทธิพล ไม่มีผู้ใดให้การสนับสนุน เขากระทั่งปฏิเสธที่จะร่วมมือกับเส้าตงเฟิง ดังนั้นถูกส่งไปยังจุดที่อันตรายที่สุด
ซึ่งจุดที่ว่า มันอยู่ห่างจากจุดเกิดขององค์กรมืดเพียง 1 กิโลเมตรเท่านั้น และในกรณีที่ผู้ดัดแปลงมิติอยากสังหารใครสักคน ศัตรูที่เขาจัดเตรียมไว้ให้อีกฝ่าย ย่อมเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ความแข็งแกร่งของนักพรตมาร มากกว่าหมิงเทียนห่าวถึงหนึ่งในสาม ฉะนั้นต่อให้หมิงเทียนห่าวมาอยู่ที่นี่ โชคชะตาเขาคงมิแคล้วตกตาย ยิ่งเป็นฉินเฟิงซึ่งไม่ใช่คนสำคัญ ยิ่งไม่มีใครสนใจว่าเขาจะรอดหรือไม่
นี่เอง เป็นเหตุผลให้ฉินเฟิงประสบพบเจอกับสถานการณ์อันยากลำบากดั่งตอนนี้
ประเด็นก็คือ ผู้ชมที่เฝ้ามองผ่านม่านแสง สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทุกคนสามารถเห็นได้เต็มสองตาว่านักพรตมารกำลังทำอะไรอยู่
อีกฝ่ายกำลังพยายามกินหนอนสีดำขนาดใหญ่ น่าขยะแขยงและน่าเกลียดเป็นอย่างยิ่ง แต่ในระหว่างเคี้ยว ร่างกายและพลังของเขา กลับพุ่งทะยานอย่างบ้าคลั่ง
พิธีกรเคยประกาศพลังโจมตีของนักรพรตมารไปแล้ว เวลานี้ต้องตะโกนขึ้นอีกครั้ง “ดูนั่นสิ! มันคือหนอนเขมือบไขกระดูกอายุร้อยล้านปี แม้ดูน่าขยะแขยง แต่ถ้ากลืนเจ้าสิ่งนี้ลงไป ความแข็งแกร่งของนักรพรตมารจะต้องทะยานขึ้นเป็นเลเวล SS อย่างแน่นอน! พลังโจมตีของเขาจะพุ่งสูงไปอีกขั้น ถึงเวลานั้น …”
ทุกคนต่างกระจ่างแจ้งแก่ใจ ถึงเวลานั้น ฉินเฟิงจะไม่สามารถหลบหนีได้ ต่อให้เขาจะปรารถนาเพียงใดก็ตาม
“มาดูกันดีกว่าว่าฉินเฟิงจะมีโอกาสหรือไม่ ถ้าเขารู้สึกตัว และหนีไปตอนนี้ อาจจะยังทัน!”
แต่ช่างน่าเสียดาย ที่ภายในม่านแสง ฉินเฟิงไม่ได้หลบหนี ตรงกันข้าม เขามุ่งหน้าไปยังทิศทางของนักพรตมาร
“แบบนี้ไม่ดีแล้ว คาดว่าพลังการรับรู้ของฉินเฟิงคงอ่อนแอเกินไป เลยไม่ตระหนักถึงตัวตนของนักพรตมาร ดันพาตัวเองไปเคาะประตูหน้าบ้านเขา นั่นไม่ต่างจากหาที่ตาย!”
ในความคิดของคนเหล่านั้น ฉินเฟิงเท่ากับหาที่ตายจริงๆ
ผู้ชมแทบทั้งหมด ไม่มีใครมองฉินเฟิงในแง่ดี ฉินเฟิงในสนามประลอง เป็นคนเดียวเท่านั้นที่ความแข็งแกร่งยังไม่ถึงเลเวล S9 แถมตอนนี้ดูเหมือนว่า เขาจะไม่มีตัวช่วยใดที่ใช้ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการต่อสู้บนสังเวียนนี้
ภายในสนามประลอง ความเร็วของฉินเฟิงไม่เชื่องช้า ทว่าเงียบเชียบ
แต่สถานการณ์ที่ทางฝั่งพันธมิตรมนุษย์เห็น มันตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่ว่าฉินเฟิงไม่ค้นพบนักพรตมาร แต่เป็นนักพรตมารต่างหากที่ยังไม่ค้นพบฉินเฟิง
ฉินเฟิงใช้อบิลิตี้มืด กลบซ่อนกลิ่นอายของเขา นักรพรตมารไม่ทราบว่าเขาอยู่ที่ไหน หรือทันรู้สึกตัวว่าจะมีใครปรากฏขึ้น หลังจากไม่ตระหนักถึงอันตรายใดๆรอบตัว เขาจึงเริ่มกลืนกินหนอนเขมือบไขกระดูกร้อยล้านปี เพื่อยกระดับตน
ตราบใดที่สามารถตัดผ่านสู่เลเวล SS ความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ถึงเวลานั้น พวกผู้ประลองฝั่งพันธมิตรมนุษย์ทั้งหมด จะต้องถูกเขาฆ่า! และต่อให้เป็นคนจากองค์กรมืดด้วยกันเอง เขาก็ยังฆ่าได้ สามารถเพลิดเพลินไปกับการผูกขาดสินสงครามแต่เพียงผู้เดียว
หนอนมีขนาดใหญ่มาก นักพรตมารไม่สามารถกลืนมันลงไปในคำเดียว เจ้าตัวเริ่มกินได้ไม่ถึงหนึ่งในสาม ฉินเฟิงก็บุกมาถึงเบื้องหลังเขาแล้ว อยู่ห่างเพียงร้อยเมตร
ซึ่งระยะทางแค่นี้ มันใกล้มากจริงๆ
เป็นระยะทางสู่ความตาย!
ประกายสังหารทอแสงวูบวาบในแววตาของฉินเฟิง
พลังสมาธิถูกขับเคลื่อน รูนมืดปลดปล่อยออกไป
รังสีแสงสีดำปรากฏขึ้น มันซ่อนตัวอยู่ในที่มืด เลื่อยไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง จากนั้นหลอมรวมเข้ากับเงาของนักพรตมาร เงาของนักรพรตมารบิดเบี้ยวทันที สักพักม้วนเป็นกระแสวังวน ขยายออกไปหลายร้อยเมตรในพริบตา
แต่ดูเหมือนว่านักพรตมารจะไม่ตระหนักถึงฉากนี้เลย เขายืนอยู่ท่ามกลางวังวน สูญเสียประสาทสัมผัสทั้งห้าไป
การมองเห็น , การได้ยิน , ได้กลิ่น , ลิ้มรส และสัมผัส หายไปสิ้น!
“เทคนิคขุมนรกทมิฬ!”
โคตรดาวเคราะห์ธาตุมืดของฉินเฟิงได้พัฒนา เติบโตไปอยู่ในจุดที่ยิ่งใหญ่แล้ว ดังนั้นเขาจะไม่สามารถฝึกฝน หรือเรียนรู้เทคนิคอบิลิตี้ใหม่ได้อย่างไร? นี่คือเทคนิคที่เขารังสรรค์ขึ้นตอนเก็บตัวอยู่ในมิติมวลหมู่ดาวรูน!
และมันคือเทคนิคอบิลิตี้ในเลเวล SS !
ฉินเฟิงเองก็เคยใช้เทคนิคนี้ เพื่อหยุดเส้าตงเฟิงไว้เช่นกัน และหากขุมนรกทมิฬยังสามารถหยุดเส้าตงเฟิงได้ แล้วนักพรตมารที่ยังไม่ยกระดับเป็นเลเวล SS ด้วยซ้ำจะเหลือหรือ?
ในมือของฉินเฟิง ปรากฏมีดที่ดูโดดเด่นเล่มหนึ่ง ฝังของมันถูกถอดออก เผยให้เห็นถึงรังสีคมมีดอันงดงามระเบิดจากจุดนั้น กวาดวูบไกลออกไป 100 เมตรทันที
เพียงเสี้ยวลมหายใจเดียว ต้นไม้ , พืชพรรณใดที่อยู่ขั้นกลางระหว่างฉินเฟิงกับนักพรตมาร ถูกกวาดจนเหี้ยนโดยอำนาจทำลายล้าง
อานุภาพจากการตัดเฉือนของคมมีดนี้ น่าหวาดกลัวอย่างหาที่เปรียบมิได้!
นักพรตมารยังอยู่ที่เดิม ไม่มีแม้ปฏิกิริยาตอบสนอง ในปากยังเคี้ยวหนอน กลืนลงไปไม่ถึงครึ่งกระเพาะ แต่สักพักตัวเขาก็แข็งค้าง
เพราะราวกับมีสายลมที่มองไม่เห็นพัดผ่าน ต่อมา ศีรษะของนักพรตมารร่วงพลิกลงกับพื้นพร้อมกับหนอนเขมือบไขกระดูกอันแสนล้ำค่าอายุร้อยล้านปีที่ยังคาอยู่ในปาก!
ภายในป่า เงียบงันไร้ซึ่งสรรพเสียงใด
สถานที่ถ่ายทอดสดในเซ็นทรัลซิตี้ก็เช่นกัน เวลานี้สามารถได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตกกระทบพื้น!!