[Rewrite,อ่านฟรี] Special District 9 ตอนที่ 33 ชีวิตอันโหดร้าย ทำลายกระดูกสันหลังด้วยหมัดเดียว
บทที่ 33 ชีวิตอันโหดร้าย ทำลายกระดูกสันหลังด้วยหมัดเดียว
หยวนเค่อไม่ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่คุ้นเคยพาฉีหลินกลับบ้าน แต่เขากลับพบคนแปลกหน้าสองคน ขับรถพาฉีหลินไปส่งที่หน้าประตูบ้านของเขา
ภายในตรอกทางไปบ้านฉีหลิน ฉีหลินนั่งอยู่ในรถแล้วหันไปพูดกับคนขับวัยกลางคน “พี่ใหญ่ ไม่ต้องเข้ามากับฉัน ฉันจะหยิบของแล้วออกมา”
“ได้ เราจะรออยู่ที่นี่” ชายร่างกำยำพยักหน้าตอบ
ฉีหลินเปิดประตูรถแล้วเดินประมาณสองร้อยเมตรก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในลานบ้าน และมุ่งตรงไปที่บ้านเดี่ยวที่เขาอยู่กับเบลล่าเท่านั้น ส่วนแม่และน้องจะอยู่บ้านอีกหลังที่อยู่ข้างๆ กัน เขาเอื้อมมือไปดึงประตูและพบว่าประตูถูกล็อกจากด้านใน
“เปิดประตู” ฉีหลินตะโกน
“สักครู่นะคะ” เบลล่าตอบอย่างรวดเร็ว
“เร็วเข้า!” ฉีหลินเร่งเร้าอย่างไม่อดทน
หลังจากนั้นประมาณสามสี่นาที เบลล่าก็สวมเสื้อผ้าพร้อมกับผมเผ้ายุ่งเหยิงเดินไปเปิดประตูหน้าบ้าน
“คุณ...คุณกลับมาแล้ว ทำไมคุณไม่กลับบ้านตอนกลางวันล่ะ ฉันคิดว่าคุณกำลังทำงานอยู่”
ฉีหลินไม่มีเวลาอธิบาย เขาก้าวเข้าไปในบ้านแล้วถามว่า “กระเป๋าสีดำที่ฉันให้เธอวันนั้นอยู่ที่ไหน?”
เบลล่างง “กระเป๋าดำอะไรคะ”
“มันคือใบที่ฉันให้เธอพร้อมกับค่าใช้จ่ายรายเดือนน่ะ” ฉีหลินหันกลับมาถาม
วันนั้นเมื่ออาหลงให้เงินกับฉีหลิน เขายังคงอยู่ในความโศกเศร้าที่พี่ชายจะจากไป ทำให้จิตใจของเขาไม่ได้อยู่ที่เงินและกระเป๋าเลย และความตั้งใจของอาหลงก็ไม่ชัดเจนในคำพูดของเขา ดังนั้นฉีหลินจึงคิดว่าเขากำลังบอกว่า หากฉีหลินประสบปัญหาหรือต้องการเงินในอนาคต เขาสามารถใช้ข้อมูลติดต่อในกระเป๋าเพื่อติดต่ออาหลงได้ ดังนั้นฉีหลินเลยไม่ได้เชื่อมโยงข้อมูลติดต่อนี้กับแหล่งค้าส่ง และไม่ได้ถือว่ากระเป๋าเป็นสิ่งล้ำค่า เขาจึงมอบมันให้กับเบลล่าพร้อมกับค่าครองชีพให้เธอถือครองและจัดการในบ้านตามปกติ
เบลล่าเอานิ้วลูบผมของเธออย่างประหม่า “กระเป๋าใบนั้นดูเก่ามาก...เมื่อคุณให้เงินฉัน ฉันก็หยิบมันออกมา ส่วนกระเป๋าใบนั้น...ฉันลืมไปแล้วว่าวางไว้ที่ไหน”
“นี่เธอทำบ้าอะไรได้ดีบ้างหา?!” ฉีหลินแทบไม่เคยใช้น้ำเสียงโกรธเมื่อพูดกับเบลล่าเลย แต่ตอนนี้เขากังวลอย่างแท้จริงและตะโกนว่า “รีบไปหาให้เจอ! ลองคิดดูว่าเธอจะวางไว้ที่ไหน”
“เอ้อ ฉันจะหาให้”
“หาให้เจอ เร็วเข้า!”
“คุณนั่งพักก่อน...ฉัน...ฉันจะหามันมาให้ ให้ฉันคิดก่อนว่าเอามันไปไว้ที่ไหน” เบลล่ารู้สึกสับสน เธอสวมเสื้อผ้าอีกชิ้นแล้วค้นหาผ่านตู้เก็บของข้างหน้าต่าง
“กระเป๋านั่นสำคัญมาก อย่าทำมันหาย” ฉีหลินกระสับกระส่ายและไม่สามารถนั่งนิ่งได้ ดังนั้นเขาจึงเริ่มก้มลงค้นหาห้องไปพร้อมกับเบลล่า
เบลล่านั่งคุกเข่าอยู่หน้าตู้ เหลือบมองไปที่ฉีหลินยืนอยู่ด้วยหางตาของเธอด้วยความกระวนกระวายใจ และเห็นว่าเขายืนอยู่ข้างตู้เสื้อผ้าใบใหญ่แล้ว ในที่สุด เพราะความตื่นตระหนกของเธอ เบลล่าเลยแต่งเรื่องโกหกขึ้น “ฉัน...ฉันจำได้แล้ว วันนั้น ฉันคิดว่าฉันใช้กระเป๋าใบนั้นเพื่อขนของบางอย่าง...แล้วมันสกปรกมาก ฉันเลย...ฉันโยนมันทิ้งไป”
ฉีหลินเพิ่งเปิดประตูด้านซ้ายของตู้เสื้อผ้าใหญ่เมื่อเขาได้ยินคำพูดของเบลล่า เขาหันขวับมามองเบลล่าทันทีพร้อมตะโกนว่า “อะไรนะ! เธอโยนมันทิ้งไป!?”
เบลล่าเห็นฉีหลินเปิดตู้แล้วเธอก็ตกตะลึงอยู่กับที่ ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตกใจ
ฉีหลินรู้สึกว่าการแสดงออกของเบลล่าไม่ปกติ เขาหันไปมองเข้าไปในตู้ แล้วตกตะลึงทันที
ภายในตู้มีร่างคนผิวขาวถือเสื้อผ้าสองชิ้นและกะพริบตาไปที่ฉีหลิน
ฉีหลินถอยหลังไปสองสามก้าว ใบหน้าของเขาซีดเซียว ขณะที่เขาถอนสายตาจากภายในตู้แล้วหันไปมองเบลล่าที่ดูตกตะลึงเช่นกัน
“คุณ...ฉัน...” เบลล่าลุกขึ้นยืนตัวสั่นไปทั้งตัวจนพูดไม่ออก
“ไอ้ห่าเอ๊ย! นายบอกว่านาย...ทำงานล่วงเวลาไม่ค่อยดี...แล้วนายคิดว่าจะเจออะไรเมื่อนายกลับมาตอนนี้วะ” เสียงที่คุ้นเคยดังก้อง และร่างของผู้พูดก็โผล่ออกมาจากตู้ “ไม่ขายขี้หน้าเหรอวะ?”
ฉีหลินกำหมัดแน่นทันที ความโกรธของเขาโหมกระหน่ำ ความคับข้องใจทั้งหมดที่เขาได้รับในช่วงไม่กี่วันมานี้ ปะทุขึ้นพร้อมกัน เขาหันกลับมาและรีบไปหาเบลล่า ตะโกนพร้อมเตะเข้าที่ท้องของเธอ “อีสัตว์! ข้าจะตายห่านอกบ้านอยู่แล้ว แต่แกดันมีชู้อยู่ที่บ้านเหรอ?!”
ร่างนั้นโผล่ออกมาจากตู้ใหญ่ออกมายืนข้างโคมไฟตั้งโต๊ะ เผยให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเขา ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก เสือใหญ่ คนที่บังเอิญเข้าร่วมงานเลี้ยงแต่งงานของฉีหลินในวันนั้น
เสือใหญ่ยังคงไม่สะทกสะท้าน เขาลงนั่งสบายๆ บนเก้าอี้และใส่เสื้อผ้าพลางสบถว่า “ฉิบหาย ตำรวจพวกนี้รับเงินไปแล้วไม่ทำห่าอะไรเลย ฉันอุตส่าห์ให้พวกมันยัดกะกลางคืนให้นาย แล้วทำไมนายถึงกลับมาได้ล่ะ?”
ฉีหลินบ้าดีเดือดคว้าผมของเบลล่า กดเธอไว้กับตู้และทุบตีเธออย่างคนไร้สติ
“โครม!”
“โครม!”
“...”
น้ำตาเอ่อล้นในดวงตาของฉีหลิน เขาเตะและตะโกนด่าว่า “อีห่าเอ๊ย! ข้าหามาเลี้ยงแก ทั้งเสื้อผ้าอาหาร ทำให้แกได้สิทธิ์อยู่อาศัยในซงเจียง เพื่อแกจะได้มีชีวิตเหมือนคนทั่วไป...แล้วแกสวมเขาให้ข้า! ข้าทำอะไรถึงสมควรได้รับแบบนี้ เราอยู่กันแค่ไม่กี่วัน แล้วแกกล้าดียังไงถึงไปนอนกับมัน!”
“เฮ้ เฮ้ แค่นี้ก็พอแล้ว นายทำบ้าอะไรอยู่วะ? ยังไม่จบอีกเหรอ?” เสือใหญ่ตะโกน
เมื่อฟังคำพูดของเขา เลือดของฉีหลินก็เดือดพล่าน ทันใดนั้นเขาก็หันกลับมาตามเสียงเสือใหญ่ และรีบไปที่ประตู ผลักมันออกไป และหยิบพลั่วที่ใช้ในการกำจัดหิมะที่อยู่นอกประตูขึ้นมา
“โย่ๆๆ นายนี่มันเก่งจริงๆ ว่ะ คิดจะเลียนแบบเพื่อนแกเหรอ?” เสือใหญ่ยิ้ม ลุกขึ้นยืนสวมเสื้อคลุมแล้วเดินไปที่ประตูถามว่า “นายจะทำอะไร ฆ่าฉันเรอะ? อ้วนเตี้ยอย่างนายเนี่ยนะ?”
“ข้าจะกระทืบแก...” ฉีหลินยกพลั่วขึ้นและเล็งไปที่หัวของเสือ
“พี่ชาย...พี่ชาย พี่กลับมาแล้วเหรอ?” ทันใดนั้น ประตูเหล็กหน้าบ้านก็มีเสียงดังขึ้น และน้องสาวตาบอดของฉีหลินถือไม้เท้าสีขาวและสวมเสื้อคลุม เข้ามายืนอยู่ในลานบ้านแล้วถามว่า “ทำไมพี่ถึงทะเลาะกัน...แม่ตื่นแล้ว...ฉันเป็นห่วงจริงๆ บอกฉันหน่อยสิ”
ฉีหลินหันกลับไปและเห็นน้องสาวที่ผอมแห้งของเขา และดูเหมือนว่าความโกรธอันร้อนแรงของเขาจะเย็นลงทันที เขาจ้องมองอย่างว่างเปล่า จ้องมองไปที่ห้องของแม่ในบ้านหลังเล็กอีกหลังที่อยู่ตรงข้ามลานบ้าน และมือของเขาที่ถือพลั่วสั่นโดยไม่ตั้งใจ
“เราทุกคนต่างโตๆ กันแล้ว ทำไมนายยังทำตัวเป็นวัยรุ่นเลือดร้อนกับเรื่องพวกนี้อีก?” เสือใหญ่เอื้อมมือไปคว้าข้อมือของฉีหลินที่ถือพลั่วไว้ ยิ้มพร้อมพูดว่า “เอาน่า ใจเย็นๆ วางมันลง แล้วมาคุยกัน”
แววตาของฉีหลิน เต็มไปด้วยความเกลียดชังในขณะที่เขาหันไปมองเสือใหญ่
“แม่นายไม่ต้องการสิ่งนี้ น้องสาวไม่ต้องการสิ่งนี้ นายพร้อมจะแลกชีวิตกับฉันใช่ไหม? เสือใหญ่ยิ้มอย่างมีเลศนัยให้ฉีหลิน และเขาก็กดแขนฉีหลินที่ถือพลั่วลง และตะโกนบอกน้องสาวคนเล็กที่อยู่นอกประตูว่า”น้องสาว กลับไปนอนได้แล้ว ไม่มีอะไรหรอก เราจะคุยกันต่อเท่านั้น”
น้องสาวของฉีหลินยืนอยู่ในลานบ้านโดยไม่ขยับ ไม่ก้าวเข้าไปข้างใน และไม่ตะโกนเสียงดัง เธอแค่ยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ
เสือใหญ่ปิดประตู ยืดอกขึ้นและมองไปที่ฉีหลิน “คนนี้ใช่ไหมที่นายซื้อมาราคา 4,500?”
ฉีหลินกัดฟัน ปากของเขากระตุกอยากจะตอบโต้ แต่เขาก็ยังคงเงียบ
“เอาแบบนี้รึ?” เสือก้มศีรษะลงและดึงกระเป๋าเงินใบใหญ่ออกมาจากกระเป๋า โดยไม่ได้นับเงินด้วยซ้ำ เขาหยิบมันออกมาทั้งหมดแล้วโยนมันลงบนตู้ที่อยู่ใกล้ๆ อย่างไม่ลังเล “อะนี่ ฉันมีเงิน 8,000 อยู่กับตัวพอดี ฉันจะพาเบลล่าไป เราเข้ากันได้ดีจริงๆ หิหิ...”
ฉีหลินจ้องมองเสือใหญ่ด้วยตาเขียวคล้ำ และเขาตัวสั่นไปด้วยความโกรธแค้น
“ทำไมนายไม่พูดอะไรเลย” เสือเอียงศีรษะและมองไปที่ฉีหลิน และใช้นิ้วจิ้มหน้าอกของเขา “ให้ตายเถอะ เรามาจากพื้นที่เดียวกัน ใครไม่รู้จักกันมั่งที่นี่? ทำไมนายถึงต้องเสแสร้งล่ะ?
นายลืมไปหรือว่า ซื้อเธอมา 4,500 ? ฉันให้นาย 8,000 แล้วนายจะยังบ่นเหรอ? นายเป็นใครล่ะ? คนอย่างนายจะมีปัญญาเลี้ยงคนอย่างเบลล่าได้เหรอ? วันนี้ฉันยินดีให้นาย 8,000 ถ้าพรุ่งนี้เธอต้องการไปกับฉัน นายจะไม่ได้แม้สักแปดอีแปะเลย”
ฉีหลินถามด้วยเสียงสั่นเทาถามว่า “แค่ฉันต้องดิ้นรนนิดหน่อย...แกจะรังแกฉันแบบนี้เหรอ?”
“ฮ่ะ! ด้วยทัศนคติของนาย แม้แต่คนที่โรงอาหารของตำรวจยังบอกว่านายซักถุงเท้าของพ่อครัวเพียงเพื่อนำอาหารกลับบ้าน แม้ว่าถ้าฉันตกอยู่ในสถานการณ์แย่ๆ ฉันจำเป็นต้องรังแกนายเพื่อให้รู้สึกว่าตัวเองสำคัญรึเปล่า?” เสือใหญ่หันหน้าถ่มน้ำลายและผลักประตู “เอาเงินไป ฉันจะรอเบลล่าข้างนอก”
เมื่อการสนทนาจบลง เสือใหญ่ก็เดินจากไป
ฉีหลินยืนอยู่ข้างประตูด้วยความงุนงงสับสนและสิ้นหวังในชีวิต เขาหันไปพูดกับเบลล่า “ฉันหาเงินมาเพื่อเลี้ยงดูเธอ...แต่เธอทำลายมัน เอาศักดิ์ศรีที่เหลืออยู่น้อยนิดของฉันไป”
เบลล่าก้มหน้าลงและเงียบไปสักพักจึงตอบว่า “ฉี...ฉีหลิน...เมื่อคุณซื้อฉันมา คุณคำนึงถึงศักดิ์ศรีของฉันไหม เมื่อคุณต่อรองราคากับคนขายตั้งสามครั้ง?”
ฉีหลินนิ่งอึ้งไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“มันเป็นเรื่องของการมีอาหารกิน แล้วจะพูดถึงความรู้สึกให้เสียเวลาทำไม คุณเลี้ยงฉัน ฉันนอนกับคุณ ซักเสื้อผ้า และทำอาหารให้คุณ ช่วยทำงานบ้าน” เบลล่าค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “เสือใหญ่ให้ข้อเสนอดีกว่า และฉันจะไปกับเขา สมัยก่อนที่โลกยังปกติ คนเคยใส่หน้ากากคุยกัน เกรงใจและรักษาน้ำใจกันเป็นส่วนมาก แต่ตอนนี้ โลกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย ผู้คนจำเป็นต้องมีความตรงไปตรงมามากขึ้น แต่โดยหลักแล้ว มันก็เหมือนเดิมแหละ มันก็แค่นั้นเอง”
“ออกไป” ฉีหลินหลับตาแล้วชี้ไปที่ประตู
เบลล่าหยิบเสื้อคลุมของเธอขึ้น ยืดผมของเธออย่างเหม่อลอย และเดินไปที่ทางออกอย่างใจเย็นและพูดว่า
“ภายในยี่สิบกว่าวัน คุณได้กำไรเพิ่ม 3,500 คุณไม่ขาดทุนเลย…”
“ออกไปให้พ้น!” ฉีหลินกำหมัดแน่นและตะโกนด้วยความโกรธ
เบลล่าผลักประตูแล้วออกไป
เสือใหญ่ยืนปัสสาวะอยู่ใกล้ประตูลาน แล้วหันกลับมา เห็นเบลล่าเดินออกมาจากบ้าน เขาบ่นทีเล่นทีจริง “ให้ตายห่าสิ 8,000 หยวน ฉันใช้โบนัสหนึ่งสัปดาห์ของฉันเพื่อเธอเชียวนะเนี่ย”
“ฉันจะไปกับคุณ”
“เธอมากับฉันมันดีกว่าอยู่แล้ว ถ้าให้เลือกได้ ใครจะเลือกอยู่กับหมาวะ!” เสือใหญ่เดินนำเบลล่าออกจากลานหน้าบ้านไป
……
ข้างในบ้าน
ฉีหลินทรุดตัวลงนั่งกับพื้น โลกในหัวของเขาหมุนไปเหมือนไม่มีวันหยุดขณะที่เขาจ้องมองไปที่เพดาน ราวกับว่าเขาสูญเสียจิตวิญญาณของตนเองไป
เขาไม่ใช่แมวแก่ เขาไม่ใช่ลูกหลานรุ่นที่สองของเจ้าหน้าที่ระดับสูง และเขาไม่เคยได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากใครเลย เขาไม่ใช่ฉินหยู่ ที่สามารถใช้ชีวิตอย่างประมาทเลินเล่อได้โดยปราศจากภาระผูกพัน ดังนั้นเขาจึงก้มหน้าก้มตาอยู่ในกรมตำรวจมาโดยตลอด...แต่ถึงกระนั้น จนถึงทุกวันนี้ เขาก็ยังยอมรับยุคและมองสังคมนี้ในแง่ดีอย่างแข็งขัน โดยทำทุกวิถีทางที่มีเพื่อเลี้ยงดูแม่และน้องสาวของเขา
แต่วันนี้ ชีวิตและความฝันของเขาพังทำลายลงอีกครั้ง ชะตาชีวิตเคี่ยนตีเขาลงสู่เหวอย่างโหดร้ายราวกับคนบ้า
พี่ชายของเขาเสียชีวิตอย่างอนาถ ผู้หญิงของเขาทรยศเขา และตัวเขาเองพัวพันกับคดีร้ายแรง
โอกาสเดียวที่จะพลิกสถานการณ์ได้นั้นถูกโยนทิ้งไป พร้อมกับกระเป๋าสีดำ...
ฉีหลินเคยหลบเลี่ยงเป็นนิสัยเมื่อต้องเผชิญกับปัญหา แต่ตอนนี้...เขายืนอยู่ที่ขอบหน้าผาแล้ว และถ้าเขาหลบเลี่ยงอีกครั้งเดียว เขาคงจะหล่นลงไปแตกสลายไปอย่างไม่มีวันฟื้นคืน
ความรู้สึกไม่ได้รับยุติธรรม ความรู้สึกผิดหวังในชีวิต และความโกรธ พลุ่งพล่านอยู่ในตัวเขาแทบจะระเบิดออกมา
ทันใดนั้นประตูก็เปิดออกด้วยเสียงเอี๊ยด และน้องสาวของเขายืนถือไม้เท้าสีขาวอยู่ข้างนอก ในโลกที่เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน “พี่ชาย เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี เรา...เราไม่มีอะไรต้องเสียใจ”
ฉีหลินหันไปมองน้องสาวของเขา และดวงตาที่สับสนของเขาก็ค่อยๆ กระจ่างขึ้น
ฉันอยู่เหมือนหมาเพียงเพื่อตายอย่างหมาหรือ?
เสียงตะโกนอยู่ในใจของฉีหลิน แล้วเขาก็ลุกขึ้นยืนช้าๆ ปาดน้ำตาทิ้งไปและพูดว่า
“กลับไปที่ห้อง ช่วยแม่เก็บของ”
"เกิดอะไรขึ้น?"
“ไม่ต้องถาม รีบไปเก็บของซะ” ฉีหลินตัดสินใจจะเดิมพัน
กระเป๋าสีดำหายไป และเขาไม่มีทางอธิบายให้หยวนเค่อเข้าใจได้ ถ้าเขากลับไปตอนนี้ มีโอกาสสูงที่เขาจะไม่สามารถกลับออกมาได้อีก
ด้วยเหตุนี้ ฉีหลินจึงก้มลงและกดเบอร์โทรศัพท์ของแมวแก่อย่างรวดเร็ว
…………………………………………………………….