[Rewrite,อ่านฟรี] Special District 9 ตอนที่ 29 พุ่งชนเพชฌฆาต
ตอนที่ 29 พุ่งชนเพชฌฆาต
หลังจากถอดสลักนิรภัยของระเบิดมือออกแล้ว เซี่ยผาจื่อก็ไม่ได้ขว้างมันออกไปทันที เพราะเขารู้ว่าตราบใดที่เขายกมือขึ้นเตรียมขว้าง เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะกระจัดกระจายและหลบเลี่ยงอย่างแน่นอน ถ้าเขาขว้างไปก็คงไม่เกิดผลอะไรมากนัก ดังนั้นเขาจึงใช้มือขวาบีบคันระเบิดแล้วรีบพุ่งตัววิ่งไปยังบริเวณที่ตำรวจกองปราบรวมตัวอยู่
ในความโกลาหลทำให้เหล่ามือปราบต่างสับสน ไม่มีใครรู้ว่าเซี่ยผาจื่อได้ยกคันโยกขึ้นหรือยังกดมันลง ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่วิ่งถอยหนีอย่างเร่งรีบเท่านั้น
“กระจายออกไป!”
“เขามีระเบิด!”
“...!”
เจ้าหน้าที่ตำรวจรีบเปิดเส้นทาง ในขณะที่เซี่ยผาจื่อตะโกนบอกเพื่อนร่วมแก๊งอีกสามคนด้วยสีหน้าดุร้ายว่า “ออกจากวงล้อมเร็ว!”
“ปัง ปัง!”
อ๋างสู่ยกปืนขึ้นยิงสี่นัดใส่หน้าอกเซี่ยผาจื่อ แต่กระสุนไม่ระคายผิวของเขาแม้แต่น้อยเพราะเขาสวมเสื้อเกราะกันกระสุนอยู่ มีเพียงควันสีขาวจากกระสุนปะทะเสื้อเกราะฟุ้งออกมาเท่านั้น
“เขาสวมเสื้อเกราะ!” อ๋างสู่ตะโกนเมื่อเขาเห็นเซี่ยผาจื่อถูกยิงแล้วยังวิ่งอยู่ได้ เขาวิ่งไปใกล้คนขับรถที่อยู่ห่างไปไม่ถึงห้าก้าว
“พี่ชาย วิ่ง!” เซี่ยผาจื่อตะโกนบอกคนขับรถพร้อมกับยกคันโยกขึ้นโดยไม่ลังเล ระเบิดมือเริ่มส่งเสียงวี้ดทำงานขึ้นทันที
“มันถอดสลักระเบิดแล้ว!” อ๋างสู่ตะโกนพร้อมหันหลังกลับวิ่งหนีไป
เมื่อมาถึงจุดนี้ อาหลงและคนอื่นๆ ก็ชักปืนออกมา พร้อมที่จะแยกตัวออกจากวงล้อม พวกเขายิงเปิดทางขณะเคลื่อนตัวออกไป ฉินหยู่เห็นว่าทีมกองปราบถอยหนีเซี่ยผาจื่อที่วิ่งถือระเบิดเข้ามา ทุกคนกระจายออกไปจากวงล้อม
ฉินหยู่ไม่ลังเลเมื่อเห็นวงล้อมถูกทำลาย เขาจึงเปลี่ยนทิศทางวิ่งกะทันหัน ฉินหยู่ในชุดเสื้อเกราะกันระเบิดเสริมแผ่นเหล็กหนา วิ่งอย่างงุ่มง่ามเล็กน้อยพุ่งเข้าไปหาเซี่ยผาจื่อทันที เขาก้มหัวลงพุ่งกระแทกเข้าที่เอวของเซี่ยผาจื่อ
“โครม!”
ชายทั้งสองล้มลงกับพื้น ฉินหยู่รีบกดหัวของเซี่ยผาจื่อลงโดยสัญชาตญาณ
“บูมม!”
เสียงระเบิดดังก้องกังวานไปในคืนอันเงียบสงบ แขนข้างหนึ่งขาดกระเด็นพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เลือดสีแดงสดสาดใส่กระจกกันกระสุนบนใบหน้าของฉินหยู่ทันที
“หัวหน้า หัวหน้าฉิน!” จูเหว่ยตะโกนด้วยสายตาเบิกกว้าง
“อย่าตกใจ ทำตามแผน!” ฉินหยู่สะบัดหัวไล่ความมึนงง เอามือซ้ายปาดกระจกหน้ากากกันกระสุนเช็ดคราบเลือดออกไป และเห็นว่าเซี่ยผาจื่อหมดสติไปแล้ว แขนขวาของเขาขาดไปครึ่งหนึ่ง มองเห็นกระดูกสีขาวและเนื้อที่ขาดรุ่งริ่ง มีเลือดสีแดงสดไหลออกมา
“บ้าเอ๊ย!”
อาหลงเห็นเซี่ยผาจื่อนอนจมกองเลือดอยู่กับพื้น เขารีบวิ่งไปทางซ้ายพร้อมยิงออกไปหลายนัดด้วยความโกรธ
“พรึบ!”
ฉินหยู่รีบลุกขึ้นและวิ่งไปข้างหน้า
“ปัง ปัง ปัง!”
กระสุนจำนวนมากพุ่งเข้าใส่ฉินหยู่เกิดประกายไฟแลบไปทั่วทั้งตัวของเขา
อาหลงยิงปืนจนกระสุนหมด แต่กระสุนก็ไม่สามารถเจาะเสื้อเกราะกันระเบิดของฉินหยู่เข้าไปได้ เขาไม่รู้จะทำอย่างไร จึงรีบถอยตั้งหลักพร้อมก้มลงเพื่อเปลี่ยนแมกาซีนกระสุนปืน
“โครม!”
ฉินหยู่วิ่งกระโดดสองครั้งติดต่อกันเป็นจังหวะ ฉวยโอกาสจากชุดเกราะกันระเบิดอันแสนหนักของเขาพุ่งตัวไปข้างหน้า หัวของเขาโขกเข้าที่คางของอาหลงอย่างจัง
ด้วยเสียงกระแทกอย่างรุนแรง อาหลงเซถอยหลังไม่เป็นท่าไปสองสามก้าว
ทันใดนั้น ฉินหยู่ก็พุ่งเข้าไปกอดข้อเท้าของอาหลงไว้แน่นอย่างรวดเร็ว และใช้พลังเฮือกสุดท้าย ยกอาหลงโยนลอยขึ้นไปกลางอากาศด้วยความสูงท่วมหัวคน ก่อนที่จะหล่นลงมากระแทกพื้นอย่างจัง
“อย่าขยับ อย่าขยับ!” ฉินหยู่ใช้ร่างในชุดเกราะกันระเบิดหนักของเขาเข้ากดลงบนอาหลงพร้อมตะโกนสั่งอย่างต่อเนื่อง
เมื่อการคุกคามของระเบิดมือหมดสิ้นลง ตำรวจมือปราบทั้งหมดกว่าสี่สิบนายรู้สึกโล่งใจ ต่างรีบรุดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมกับโล่ป้องกันการระเบิดในมือ เข้าล้อมรอบอาชญากรที่เหลือ ใช้เวลาไม่ถึงสิบวินาทีในการยุติการต่อสู้ลงได้
แม้ว่าการเคลื่อนไหวที่ฉินหยู่ทำเมื่อครู่เหมือนจะง่าย และระยะทางวิ่งไปมาทั้งหมดเพียงห้าสิบเมตร แต่เขาต้องต่อสู้ระยะประชิดตัวด้วยน้ำหนักมหาศาลของชุดเกราะ โดยอาศัยแรงฮึดในการต่อสู้ ขณะนั้นเขาจึงรู้สึกเหมือนว่ากำลังจะหมดเรี่ยวแรง และขาของเขาก็อ่อนยวบเหมือนของเหลวแต่หนักดั่งก้อนตะกั่ว ดังนั้น ขณะนี้เขาจึงทำได้เพียงใช้ร่างกายจับอีกฝ่ายไว้ และต้องใช้พลังฮึดหลายครั้งเพื่อสยบอาหลงให้ได้
“จับเขาไว้ จับเขาไว้” จูเหว่ยชี้ไปที่อาหลงบนพื้นพร้อมตะโกน
มือปราบเจ็ดแปดคนรีบรุดเข้ามาทันทีโดย แทนที่พวกเขาจะใช้กุญแจมือตำรวจธรรมดา เขาใส่กุญแจมืออาหลงด้วยโซ่หนัก 70 ปอนด์แทน
ฉินหยู่นั่งหมดแรงอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยหิมะ และพักเป็นเวลาเกือบสองสามนาที ก่อนที่จะถอดหมวกกันระเบิดออกจากหัว เขาถ่มน้ำลายออกมาและพูดว่า “พับผ่าสิ โชคดีที่มันเป็นเกราะเหล็ก ไม่อย่างนั้นมันก็เป็นแค่เสื้อเกราะกันกระสุนธรรมดานี่เอง อย่างน้อยวันนี้ก็รอดชีวิตไปอีกวัน”
“นายสบายดีหรือเปล่า?” อ๋างสู่รีบวิ่งเข้าไปถามทันที
“ไม่เป็นไร ฉันเข้าไปชนมันเยื้องด้านข้าง มันระเบิดด้านหน้า” ฉินหยู่เช็ดเหงื่อออกจากใบหน้าของเขาและอึ้งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะจงใจพูดกับอ๋างสู่และคนอื่นๆ “พวกนายทุกคนแม่งบอกว่าฉันเป็นคนโปรดกัปตันหยวน เขาจะไม่โปรดได้ไง ฉันเสี่ยงชีวิตเพื่อให้เขาได้ผลงานอยู่นี่ พวกนายจะดีใจไหมถ้าเขาไม่เลื่อนตำแหน่งฉัน?”
“ใช่ๆ !” อ๋างสู่พยักหน้าทันทีและยกนิ้วให้ “ถ้านายไม่รีบตัดสินใจพุ่งเข้าชนสองคนนั่นอย่างรวดเร็ว ก็ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของพวกเราจะเป็นยังไงในวันนี้”
“กลับไปดื่มฉลองเพื่อสยบความสยองกันเถอะ!” ฉินหยู่พูดพร้อมกับพยายามลุกขึ้นยืนอย่างงุ่มง่ามและพยุงตัวเองด้วยมือของเขา “ไปกัน รีบพาพวกเขากลับไปเร็วๆ เถอะ”
…
เวลาห้าทุ่มครึ่ง
ฉินหยู่กำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ข้างทางเดินในตึกกองกำกับการตำรวจ “จูเหว่ย นายต้องย้ำหมอนะว่า ช่วยชีวิตพวกมันทุกคนที่บาดเจ็บในเหตุการณ์ให้รอดให้ได้ ใช่ ใช่ ยิ่งเราจับพวกมันได้มาก ยิ่งมีหลักฐานมากเป็นลูกโซ่ ยิ่งดี... อืม ฉันจะไปกินข้าวแล้ว ฉันจะสอบปากคำหลังจากนี้ โอเค แล้วเจอกัน!”
เสียงฝีเท้าดังมาแต่ไกล ฉีหลินถือกล่องอาหารกลางวันเดินเข้ามาและทักทาย “เฮ้ นายกลับมาแล้วเหรอ?”
ฉินหยู่หันกลับไปเมื่อได้ยินเสียงแล้วถามว่า “มากินข้าวกันไหม?”
“อื้อ ฉันไม่มีงานอะไรให้ทำเท่าไหร่ เลยว่าจะมาซื้อข้าว” ฉีหลินถามด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
“เป็นไงบ้าง? งานราบรื่นไหม?”
“ใช่ ได้ตัวมันทุกคน”
“แล้วพวกเราปลอดภัยไหม?”
“เราจับมันได้เร็ว อีกฝ่ายแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น เสร็จงานแล้วทุกคนสบายดี”
“ดีแล้ว!” ฉีหลินยิ้มเห็นฟันขาวและถามแบบสบายๆ “เฮ้ ฉันได้ยินมาว่าพวกนายร่วมมือกับกองทหารรักษาการณ์ในการจับกุมครั้งนี้ แล้วทำไมฉันถึงไม่เห็นทหารซักคนเลย?”
ฉินหยู่ผงะ “ใครบอกนายเรื่องนั้น?”
“ไม่ใช่เหรอ? ฉันได้ยินคนในออฟฟิศคุยกันถึงเรื่องนี้” ฉีหลินก็ดูประหลาดใจเช่นกัน
“นายได้ยินเรื่องไร้สาระทั้งนั้นแหละ เราไม่ได้ร่วมงานกับคนจากกองทัพ” เป็นเพราะว่าคดีได้รับการคลี่คลายแล้ว
ฉินหยู่จึงไม่ได้ปิดบังรายละเอียดใดๆ
“เราจับกุมผู้ค้ายาได้ มันเป็นคนเดียวกับที่ฆ่าพวกเราทั้งสี่คนเมื่อครั้งที่แล้ว อาหลง!”
"แคล้งง!"
เสียงที่บาดหูดังก้องของกล่องข้าวเหล็กในมือฉีหลินร่วงหล่นลงกับพื้น ฉีหลินยืนนิ่งอยู่กับที่
ใบหน้าของเขาเริ่มซีดลง
“เป็นอะไรของนาย?” ฉินหยู่ขมวดคิ้วถาม
ฉีหลินตกตะลึง เขาเกิดอาการหูลั่นไปด้วยเสียงหวีดหวิวอย่างยาวนาน
ฉินหยู่เอื้อมมือออกไปแตะแขนของฉีหลิน “เฮ้ นายเป็นอะไรไป?”
ฉีหลินสะดุ้งตื่นจากภวังค์เมื่อถูกสัมผัส และมองดูฉินหยู่ด้วยดวงตาเบิกกว้าง “คือ... คือ... นั่นอาหลงเหรอ?”
“ใช่ เราไปจับกุมเขา เพราะได้เบาะแสจากกัปตันหยวน” ฉินหยู่พยักหน้าและถาม “ฉันรู้สึกว่านาย ท่าทางแปลกๆ ตอนนี้?”
“ไม่... ไม่มีอะไร ฉันแค่นึกถึงเหล่าเฮยขึ้นมาได้... เขาไม่ได้ตายด้วยน้ำมือของมันหรอกเหรอ” ฉีหลินแค่นยิ้มและพูดว่า “วันนั้นฉันได้เผชิญหน้ากับเขาช่วงสั้นๆ และฉันก็รู้สึกกลัวหมอนั่นนิดหน่อย”
“นายโอเคจริงๆ รึเปล่า?” ฉินหยู่ถาม
“ฉันสบายดี” ชี่หลินก้มลงหยิบกล่องอาหารกลางวัน “นายไปกินข้าวซะ!”
“นายจะไม่กินด้วยกันเหรอ? นิดหน่อยก็ยังดี” ฉินหยู่แนะนำ
“ฉันลืมเอาซอสพริกมา เดี๋ยวฉันจะกลับไปเอามาก่อน” ฉีหลินพูดด้วยรอยยิ้ม
“อ้า งั้นฉันจะไปกินก่อนละกันนะ” ฉินหยู่กล่าว
“ตกลง!” ฉีหลินตอบและหันเดินกลับไปพร้อมกับกล่องอาหารกลางวันในมือ
ในระเบียงทางเดิน ฉินหยู่มองไปที่ด้านหลังของเขาด้วยความแปลกใจ เขาไม่เชื่อที่ฉีหลินเพิ่งพูดไป แต่ก็คิดไม่ออกว่าทำไมคนคนนี้ จู่ๆ ถึงทำตัวแปลกไป
“หัวหน้าฉิน! มากินข้าวกันเถอะ” กวนฉีตะโกนออกมาที่ทางเข้าโรงอาหาร
“มาแล้ว!” ฉินหยู่หยุดคิดแล้วเดินเข้าโรงอาหารไป
...
สองนาทีต่อมา ในโกดังแผนกพลาธิการ
หลังจากปิดประตู ฉีหลินทรุดนั่งลงบนพื้นเสียงดังโครม กุมหัวของเขาแล้วตะโกนด้วยความโมโห “โธ่โว้ย! กองทหารรักษาการณ์ควรช่วยเหลือนายไม่ใช่เหรอ?! นี่มันครึ่งเดือนแล้วนี่? ทำไมนายยังไม่ออกไปอีก?...
แม่งเอ๊ย! ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ด้วยวะ?...!”
………………………………………………………………