[Rewrite,อ่านฟรี] Special District 9 ตอนที่ 27 บะหมี่น้ำชามหนึ่ง
ตอนที่ 27 บะหมี่น้ำชามหนึ่ง
ห้านาทีต่อมา
เบลล่าย้ายไปนอนห้องแม่และน้องสาวชั่วคราว ฉีหลินพาอาหลงไปคุยในห้องของเขา
“ชีวิตน้อยๆ กำลังไปได้สวย ได้แต่งลูกสะใภ้แล้ว” อาหลงหันมองสภาพแวดล้อมในบ้าน แล้วนั่งลงบนเตียงด้วยความรู้สึกเหมือนถูกทิ่มแทงในใจ
ฉีหลินจ้องตาของเขา กำหมัดแน่นแล้วต่อว่าอาหลง “ถ้าแกอยากตาย ไปตายที่อื่นได้ไหม? ทำไมถึงอยากกลับมาซงเจียง แกรู้ไหมว่าชีวิตฉันเกือบฉิบหายเพราะแก?!”
ชื่อจริงของอาหลงที่แท้จริงคือ ฉีหลง เขาคือพี่ชายของฉีหลิน แต่พวกเขามีบุคลิกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ฉีหลินเป็นคนหัวโบราณและเต็มใจที่จะเผชิญหน้ากับยุคปัจจุบันด้วยความถ่อมตนเท้าติดดิน แต่ฉีหลงเป็นคนชอบโลดโผนและความเสี่ยง เที่ยวเตร่อยู่ข้างนอกตลอดทั้งปี ดำเนินชีวิตอย่างคนไร้บ้าน
ครั้งสุดท้ายที่ฉีหลงจากไปคือเมื่อสองปีที่แล้ว และเขาไม่เคยติดต่อกลับมาหาครอบครัวเลยในช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่ ในบางครั้งฉีหลินคิดว่าพี่ชายเขาเสียชีวิตข้างนอกไปแล้ว แต่เขาไม่คาดคิดว่า เมื่อวันบุกจับในวันนั้น เขาได้เห็นพี่ชายของเขาอีกครั้ง แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องไม่กลมเกลียวกันมากนัก เลือดย่อมข้นกว่าน้ำนั้นจริงแท้แน่นอน ทำให้ฉีหลินไม่สามารถยิงใส่พี่ชายของเขาได้ ด้วยเหตุผลแค่เพื่อรางวัลเกียรติคุณในการทำคุณประโยชน์ต่อสังคมเท่านั้น
ไม่มีใครสามารถบอกเรื่องนี้กับใครได้ ดังนั้นฉีหลินจึงระงับความหงุดหงิดของเขาตลอดช่วงสองสามวันที่ผ่านมา แต่เขาก็ยังไม่วายกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของฉีหลง
ฉีหลงหยิบกล่องยาสูบรมควันจีนแท้ออกมาใส่ปากแล้วจุดไฟและพูดว่า “พูดตามตรง ฉันก็ไม่อยากพบแกเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุการณ์วันนั้น บางทีฉันคงไม่กลับมาบ้านวันนี้...”
“ใช่สิ แกกินข้าวนอกบ้านจนอิ่มแล้วก็ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว แกเคยดูแลบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ หา?” ฉีหลินกัดฟันและถามต่อ
“แกมาทำอะไรที่นี่? แกรู้ไหม ถ้าคนข้างนอกรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเรา ฉันจะโดนฆ่าก็เพราะแกนี่แหละ”
“เหะเหะ แกก็อยู่สบายดีอยู่นิ?”
“สบายห่าอะไรล่ะ!”
“ไม่ต้องห่วง แม้จะมีไอ้ปืนระยำซักหมื่นกระบอกมาจ่อหัวฉันอยู่ก็ตาม ฉันไม่ขายแกให้พวกมันหรอก” ฉีหลงมีท่าทีประชดประชันอยู่เสมอ “ฉันเข้ามาหลายวันแล้ว และดูเหมือนไม่มีใครจับตาดูฉัน และถ้าฉันไม่ถูกจับพวกเขาจะไม่มีวันรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเรา ตอนแกสมัครเป็นตำรวจ แกไม่ได้ระบุในเอกสารใช่ไหมว่าเราเป็นพี่น้องกัน”
“ฉันไม่เข้าใจ มีงานทำเงินอื่นๆ ตั้งเยอะแยะ ทำไมแกถึงเลือกเส้นทางนี้” ฉีหลินกำหมัดแน่นพร้อมตะโกนด้วยความสับสนอย่างมาก “แกรู้ไหมว่า ตอนนี้บริษัทยากำลังจ่ายเงินให้กับกรมตำรวจ แล้วกดดันเรา แล้วทางกรมตำรวจก็กำลังกดดันผู้กำกับของเราอีกต่อหนึ่ง ระบบตุลาการของซงเจียงทั้งหมดกำลังจับตาดูแกอยู่ พยายามหาว่าสินค้าของแกมาจากไหน เมื่อแกถูกจับได้ พวกเขาจะไม่ปรานีเลย ไม่อย่างแน่นอน...”
“ฉันรู้”
“แกรู้ แต่ยังทำต่อไปใช่ไหม?”
“ถ้าฉันไม่ทำ และจะให้ทำอะไรวะ? ให้อยู่อย่างคนขี้ขลาดอย่างแกเรอะ?” ฉีหลงถามกลับ
“ฉันเป็นคนขี้ขลาดเหรอ? ฉันเป็นแค่ไอ้ขี้ขลาดนอกบ้าน! แต่ในบ้าน...” ฉีหลินกระวนกระวายและกำหมัดสั่นระริกแน่น รู้สึกอยากทำอะไรสักอย่าง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉีหลงก้มหน้าลงขมวดคิ้วเล็กน้อย และขัดจังหวะด้วยเสียงแหบแห้งลง
“ใช่ ฉันยอมรับว่านายดีกว่าฉันในเรื่องดูแลครอบครัว”
ฉีหลินพูดไม่ออก
“ให้ตายเถอะวะ ฉันหิวข้าว แกมีอะไรให้กินมั้ย? ขอกินหน่อย” อาหลงเงยหน้าขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ
ฉีหลินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถอนหายใจและเดินออกจากห้องไป
...
ภายในกองกำกับการตำรวจ
หยวนเค่อรินน้ำใส่แก้วให้ฉินหยู่ด้วยมือของเขาเอง จากนั้นนั่งลงบนโซฟาแล้วพูดว่า “พ่อค้ายาที่ถูกจับ สารภาพไหมว่า มีความเคลื่อนไหวบางอย่างของอาหลง”
ฉินหยู่ส่ายหัว “เราได้คำสารภาพจริงครับ แต่ทุกคนคิดว่าอาหลงต้องหนีออกไปจากซงเจียงแล้ว”
“พวกฟ้าคำรามเหล่านี้ล้วนหาเงินโดยเอาหัวซุกไว้ใต้เข็มขัด และพวกมันรู้ว่ากำลังเจอกับอะไร ดังนั้นพวกมันจะไม่ล้อเล่นอย่างแน่นอน” หยวนเค่อยิ้มนั่งไขว่ห้างแล้วพูดว่า “แต่โชคดี ฉันมีความเชื่อมั่นบางอย่าง”
ฉินหยู่ผงะไปครู่หนึ่ง “คุณมีเบาะแสใช่ไหม?”
“มี” หยวนเค่อหันหน้ามาและพูดเบาๆ “ฉันมีเพื่อนในวงสังคม พวกเขาพึ่งพาฉัน และฉันก็อำนวยความสะดวกบางอย่างให้แก่พวกเขา ดังนั้นคนเหล่านี้จึงสนับสนุนฉันมาก แก๊งค้ายามีตระกูลหม่าเป็นตัวหลัก และอาหลงมีความสัมพันธ์เป็นคู่ค้ากับเขา”
“ฉันเข้าใจแล้ว” ฉินหยู่พยักหน้า
“มีคนคนหนึ่ง ชื่อเค่อลั่วเต๋อ ชอบยิงปืนเสียงดังในถนนสีดำเป็นประจำจนคนแถวนั้นตั้งฉายาให้ว่า ปืนสีดำ เรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เมื่อตอนอาหารค่ำเมื่อกี้นี้เขาโทรหาฉัน และบอกว่า มีคนต้องการใช้ช่องทางขนของของเขา เพื่อขนส่งคนนอกเขตที่ 9” หยวนเค่อพูดอย่างใจเย็น “ฉันขอให้เขาสอบถามรายละเอียด และเขาบอกฉันว่า คนที่ขอความช่วยเหลือมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้เฒ่าหม่า และมีการติดต่อกันอย่างลับๆ”
ฉินหยู่ผงะไปครู่หนึ่ง “คนที่ถูกส่งมาอาจจะเป็นอาหลง?!”
“แปดสิบเปอร์เซ็นต์คือเขา” หยวนเค่อพยักหน้าและพูดว่า “ถ้าคุณแค่ต้องการส่งคนที่ไม่สำคัญไป ผู้เฒ่าหม่าจะคุยกับ เค่อลั่วเต๋อโดยตรงอย่างแน่นอน ไม่จำเป็นต้องหาคนกลางโดยเจตนา คุณเข้าใจไหม?”
“นั่นคือเหตุผล”
“ฉันขอให้เค่อลั่วเต๋อเห็นด้วยกับฝ่ายนั้น ประมาณว่าผู้เฒ่าหม่าจะจัดการให้อาหลงออกเดินทางในช่วงเวลานี้” หยวนเค่อ มองไปที่ฉินหยู่ด้วยรอยยิ้มและพูดต่อ “ฉันจะให้เบาะแสแก่นาย และนายจะจัดการกับคดีนี้ คราวนี้นายต้องจับอาหลงและค้นหาแหล่งที่มาและช่องทางขนสินค้าของเขาให้ได้”
ฉินหยู่ รู้สึกงุนงงเล็กน้อยเมื่อเขาได้ยินเช่นนี้ และไม่ได้ตอบรับทันที
“มีอะไรหรือ?” หยวนเค่อถาม
ฉินหยู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถามด้วยรอยยิ้มบนความสงสัย “กัปตันหยวน ฉันมีบางอย่างที่ฉันสงสัยมาโดยตลอด”
“พูดมา”
“...ฉันรู้สึกปลื้มใจ แต่ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงให้สิ่งดีๆ แก่ฉัน” ฉินหยู่ถามอย่างห้วนๆ “คุณขุดเบาะแสสำคัญออกมา แล้วทำไมคุณไม่ให้มันให้คนอื่นทำล่ะ? หรือไม่ก็ทำเอง...นี่มันจะเป็นเครดิตที่สำคัญมากเลยนะครับ”
หยวนเค่อจ้องฉินหยู่สองสามวินาที จากนั้นลุกขึ้นยืนทันที ชี้ไปที่หน้าของเขาแล้วพูดว่า “เพราะปีนี้ ฉันแค่จะยกนายขึ้นไป”
ฉินหยู่เต็มไปด้วยความสงสัย “ทำไม? กัปตันหยวน?”
“เพราะฉันจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองผู้กำกับการในปลายปีนี้อย่างช้าที่สุด ฉันจึงต้องมีทีมของตัวเอง ฉันสามารถบอกได้ว่า ใครเก่งใครไม่เก่ง และใครไม่เล่นเป็นทีม เพียงแค่ชำเลืองมองเท่านั้น” กัปตันหยวนลุกเดินไปมาระหว่างพูดคุย เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงเบาแต่แฝงด้วยพลังใจเต็มเปี่ยม “ฉันจะเสนอชื่อตำแหน่งกัปตันสามคน ไม่ใช่แค่นายเท่านั้น แต่เป็นคนอื่นๆ ด้วย”
ฉินหยู่ประสานฝ่ามือของเขาและกำแน่นขณะนิ่งอึ้งไป
“ไอ้เซ่อเอ๊ย นายไม่เข้าใจเหรอ!” หยวนเค่อเดินไปที่โซฟาตบไหล่ของฉินหยู่ พร้อมพูดด้วยรอยยิ้ม
“ทำไมถึงเลื่อนตำแหน่งนาย เพราะนายเป็นเลือดใหม่ที่นี่ เพราะนายไม่เหมือนคนอื่น นายไม่มีประวัติด่างพร้อย และมีความสามารถสูง ดังนั้นฉันจึงวางใจได้...”
ฉินหยู่ตกตะลึงไปเป็นเวลานาน “กัปตันหยวน ถ้าอย่างนั้น ฉันเข้าใจแล้วครับ”
“คดีอาหลงให้ขึ้นอยู่กับนาย ตราบใดที่นายจัดการได้ดี ฉันจะให้นายกระโดดสามขั้นตอนสิ้นปี และรับตำแหน่งกัปตันของทีมชุดแรก รับช่วงต่อจากฉันโดยตรง” หยวนเค่อยืนขึ้น ถือแก้วน้ำกำลังจะดื่มและพูดเสริมขึ้นอีก
“ทำให้ดีที่สุดฉินหยู่ เรือของฉันมีเสถียรภาพที่สุดในบรรดากัปตันของกองกำกับการที่นี่”
“ขอบคุณครับ กัปตันหยวน!” ฉินหยู่ยืนขึ้นทำความเคารพ แต่สมองของเขาทำงานเร็วมาก คิดถึงเรื่องอื่นเพิ่มขึ้นอีกมากมาย
...
ในบ้านฉีหลิน
ฉีหลงนั่งที่โต๊ะไม้กลมหักแหว่งตรงขอบด้านหนึ่ง เคี้ยวบะหมี่ในชามที่ปรุงสุกแล้วโดยไม่มีแม้แต่ซอส พลางเม้มปากพูด
“แกกินนี่ทุกวันเหรอ?”
“มันไม่แย่นักหรอก อย่างน้อยก็ไม่ต้องกินขี้” พูดจบฉีหลินก้มลงสูบบุหรี่เข้าเฮือกใหญ่
“เฮ่อ…”
ฉีหลงถอนหายใจ กินบะหมี่เสร็จอย่างเงียบๆ เช็ดปากแล้วถามว่า “แม่หลับหรือยัง”
“นางหลับไปแล้ว”
“ฉันจะไปดูที่หน้าต่าง” ฉีหลงลุกขึ้นและเดินออกไปข้างนอก
ฉีหลินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินตามออกไป
ที่หน้าต่างห้องของแม่จากด้านนอกบ้าน ฉีหลงยืนอยู่ข้างขอบหน้าต่าง แก้มของเขาแนบกับกระจกเย็นยะเยือก สายตาของเขามองไปที่แม่บนเตียงด้านใน ความเงียบสงัดครอบคลุมราวกับว่าจะเป็นไปอย่างนั้นตลอดกาล
ฉีหลิน ยืนสูบบุหรี่อยู่ใกล้ๆ ด้วยความเงียบงัน
“อาการของแม่เป็นยังไงบ้าง” ฉีหลงถามด้วยเสียงสั่นเครือ
“ไม่ค่อยดีหรอก” ฉีหลินส่ายหัว
ฉีหลงเงียบไปสองสามวินาที
“นี่มันชะตากรรม ไอ้ชะตากรรมฉิบหาย! แม่ง อ้อนวอนผีสางเทวดาไปก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นเลย”
“เฮ่ย! แกพูดอะไรให้มันมีความหวังหน่อยสิ?” ฉีหลินขึ้นเสียงเพราะความกังวลมากขึ้น ทั้งที่ตอนนี้เขาก็มีความทุกข์ท่วมหัวอยู่แล้ว
“อย่าตะโกน เดี๋ยวนางจะตื่น” ฉีหลงใช้มือเช็ดตาอย่างรวดเร็ว หันกลับมาและหยิบบางสิ่งออกมาจากกระเป๋าของเขา
ฉีหลินตกตะลึงเมื่อเห็นสิ่งนั้น
“นี่เงิน 10,000 หยวน แกรับไป” ฉีหลงพูดเบาๆ
“แกหาเงินได้ตั้งมากมาย....”
“ธุรกิจยาเพิ่งเริ่มได้ไม่นาน ไม่อย่างงั้นฉันคงส่งเงินมาให้ครอบครัวแล้ว นี่เป็นเงินที่ฉันเก็บหอมรอมริบได้ เอาเงิน 8,000 ไปใช้รักษาแม่ นางจะอยู่ได้หรือเปล่าก็เรื่องของนาง แต่ในฐานะลูก บุญคุณท่านเราต้องทดแทนให้ถึงที่สุด…
เงินที่เหลือไว้ใช้จ่ายประจำวันของแก“น้ำเสียงของฉีหลงราบเรียบ”ถ้าฉันสามารถรอดพ้นจากหายนะนี้ได้โดยบังเอิญ
ต่อไปจะมีเงินไม่น้อยเลย…แล้วฉันจะค่อยๆ ทยอยเอามาให้นะ”
ฉีหลินมองพี่ชายของเขาด้วยความลังเล
“นี่คือสิ่งที่ฉันควรทำ แกไม่จำเป็นต้องคิดอะไรให้มาก” ฉีหลงยัดเงินใส่มือน้องชายของเขา ก้มหน้าลงจุดบุหรี่แล้วพูดว่า
“น้องชาย ฉันไปคราวนี้ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้กลับมาเจอกันอีกเมื่อไหร่ ขอให้แกดูแลบ้านให้ดียิ่งขึ้นไปอีก พี่ชายของแกไม่ได้เป็นคนดีเท่าแกเลย จำไว้”
หลังจากพูดจบทั้งสองก็เงียบไปชั่วครู่ ฉีหลงหันไปมองแม่ที่ห้องอีกครั้ง แล้วตัดสินใจหันหลังเดินจากไป
ฉีหลินถือกระเป๋าใส่เงินใบเล็ก สายตาแน่นิ่งเหมือนใช้ความคิดอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดก็พูดขึ้นว่า
“...ไอ้บ้าเอ๊ย นายหลบออกจากพื้นที่ได้ไหม? ไม่งั้น ฉันจะหาช่องทางพานายออกไปเอง”
ฉีหลงหยุดลงที่ประตู หันกลับมามองฉีหลิน “ไม่ว่าใครถามนาย อย่ายอมรับว่าเราเป็นพี่น้องกัน จากวันนี้ไป ถือว่าฉันตายไปแล้ว ดูแลแม่และน้องให้ดีด้วยนะ”
ดวงตาของฉีหลินเริ่มแดงก่ำขณะฟังคำของพี่ชาย
“ถ้าวันหนึ่ง นายไม่ได้อยู่กับกองปราบแล้ว และตกระกำลำบาก ในกระเป๋านั่นมีที่อยู่ติดต่อ ติดต่อเขา เขาสามารถช่วยแกได้” ฉีหลงโบกมือร่ำลาน้องชายของเขา “ลาก่อน”
...
ในยามดึกของค่ำคืนนี้ ละอองหิมะล่องลอยลงมาจากท้องฟ้าอันมืดหม่น
ฉีหลงเดินอย่างรวดเร็วไปจนเกือบหนึ่งกิโล เขาหยุดเดิน ยืนตัวสั่นเล็กน้อย แล้วหันไปมองทางบ้านอีกทีด้วยน้ำตานองหน้า ทันใดนั้น เขาคุกเข่าลงกับพื้นหมอบลงพร้อมเสียงสั่นเครือ “แม่... ฉันเป็นลูกอกตัญญู ฉันกำลังจะไปแล้ว…
ฉันจะขอเป็นลูกแม่ในชาติหน้านะ…”
ภายในบ้าน
ฉีหลินนั่งสูบบุหรี่ด้วยความรู้สึกที่ว่างเปล่า จับต้นชนปลายไม่ถูก ในใจของเขาเต็มไปด้วยความกังวล แม้ว่าเขาและฉีหลง จะมีบุคลิกที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร สายเลือดเดียวกันก็ไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือดของพวกเขา ความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนจะไม่แยแสกันนั้น เต็มไปด้วยความรักในครอบครัวที่ไม่สามารถบรรยายได้
เขาอธิษฐานให้พี่ชายของเขาผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไป แต่เขาไม่รู้ว่า หลังจากการพบกันระหว่างสองพี่น้อง พายุที่สามารถเปลี่ยนแปลงทุกคนกำลังเคลื่อนเข้ามา และชะตากรรมของหลายๆ คนก็จะเปลี่ยนไปเพราะมัน…
...
ครึ่งเดือนต่อมา
ฉินหยู่ได้รับโทรศัพท์จากหยวนเค่อ บอกว่าพันธมิตรให้ข้อมูลเขาว่า เค่อลั่วเต๋อได้รับข้อความจากผู้เฒ่าหม่า
ว่าจะให้คนส่งอาหลงออกนอกเขตพิเศษที่ 9 ในคืนพรุ่งนี้ การจับกุมแห่งความเป็นความตายกำลังใกล้เข้ามาแล้ว
……………………………………………………………