WS บทที่ 102 มุ่งหน้า PART 2
บนถนนอันกว้างใหญ่มีรถม้ากำลังแล่นไปข้างหน้าอย่างเอื่อยเฉื่อย
ในรถม้ามีชายสองคนและหญิงสาวหนึ่งนั่งอยู่ ชายคนหนึ่งสวมชุดที่ดูเรียบร้อย เขาแบกดาบไว้ที่หลังของเขา เขามีร่างกายที่กำยำพร้อมกับออร่าที่ดุดันแผ่ออกมาอยู่รอบ ๆ ตัวเขา
ในตรงกันข้ามมีชายอีกคนสวมเสื้อคลุมตัวยาวหลวม ๆ มีผมสีดำและดวงตาสีฟ้าและดูหนุ่มมาก ชายคนนี้คือเมอร์ลินที่เขาเพิ่งจะออกจากเมืองปรากาซ
เขาเดินทางมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาเคอร์ดิชเพียงลำพังโดยอาศัยการนำทางของแผนที่ซึ่งในระหว่างทางเขาได้พบกับชายหญิงคู่นี้โดยบังเอิญ
ชายร่างกำยำมีชื่อว่าคาเปซ ผมของเขาถูกมัดรวบเป้นหางม้าเล็ก ๆ ส่วนหญิงสาวที่มีรูปร่างสูงโปร่งและเพรียวบาง เธอมีชื่อว่าแคทเธอรีน พวกเขาทั้งสองเป็นพี่น้องกัน พวกเขาได้พบเจอเมอร์ลินที่กำลังเดินทางบนท้องถนน แคทเธอรีนจึงเชิญชวนขึ้นรถม้าของพวกเขา
“คุณเมอร์ลิน คุณกำลังจะเดินทางไปไหน”
แคทเธอรีนได้พูดคุยกับเมอร์ลินอย่างอบอุ่นและเป็นมิตร เขารู้สึกว่าเธอค่อนข้างเป็นหญิงสาวที่ร่าเริงแต่ค่อนข้างไร้เดียงสา ขาดการระวังตัวต่อคนแปลกหน้า
ส่วนคาเปซมี เขามีนิสัยตรงกันข้ามเลย เขามีความตื่นตัวอย่างมาก ในตอนแรกเขาได้ห้ามปรามน้องสาวของเขาแต่สุดท้ายล้มเหลว สุดท้ายเมอร์ลินก็ได้เดินทางร่วมกลับพวกเขา
หลังจากที่เมอร์ลินได้ถูกถามจากแคทเธอทอรีน เขาก็ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่เพื่อเรียบเรียงคำพูดและตอบว่า “ผมกำลังเดินทางไปที่เทือกเขาเคอร์ดิช”
บนเทือกเขาเคอร์ดิชอันกว้างใหญ่ มีสัตว์ป่าหายากบางตัวปรากฏที่นั่นอยู่บ่อยครั้ง ขนของพวกมันเป็นที่นิยมมากในหมู่ขุนนางระดับสูงดังนั้นจึงมีนักผจญภัยเข้าไปยังเทือกเขาอยู่บ่อยครั้งเพื่อล่าสัตว์หายากเหล่านี้ ขนของพวกมันสามารถแลกเปลี่ยนเป็นเหรียญทองได้เป็นจำนวนมาก
แคทเธอรีนจ้องมองไปที่เมอร์ลิน จากนั้นก็พูดอย่างสงสัยว่า “คุณกำลังจะไปเทือกเขาเคอร์ดิชงั้นเหรอ? แต่ดูจากการแต่งตัวของคุณดูไม่เหมือนนักผจญภัยเลยนะ”
แม้ว่าเมอร์ลินจะสวมเสื้อคลุมยาวหลวม ๆ จึงทำให้เธอมองไม่ออกว่าตัวเขามีรูปร่างที่แท้จริงยังไงและอีกอย่างเธอสงสัยว่าเขาจะเอาตัวรอดในป่ายังไง อาวุธสักชิ้นก็ยังไม่มี
เมอร์ลินไม่ได้ตอบกลับในทันที เขายิ้มให้คาเปซและแคทเธอรีนอย่างมีนัยยะ ก่อนจะพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า “พวกคุณก็ดูไม่เหมือนนักผจญภัยเหมือนกัน”
ใบหน้าของแคทเธอรีนขึ้นสีเล็กน้อย หลังจากนั้นก็พูดแก้เขินว่า “อย่างที่คุณพูด พวกเราไม่ใช่นักผจญภัยจริง ๆ ถ้าหากคุณไม่อยากจะบอกเราก็ไม่เป็นไร ส่วนสาเหตุที่พวกเราเดินทางมาที่เทือกเขาเคอร์ดิชก็เพราะพวกเราได้ยินว่าที่นี่มีองค์กรนักเวทย์ที่ทรงพลังตั้งอยู่ ถ้าหากพวกเขาโชคดีพบสถานที่ตั้งเข้า เราอาจโชคดีกลายเป็นนักเวทย์ที่ทรงพลังได้” เธอกล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น
เมอร์ลินหรี่ตาลงและพูดออไปด้วยสีหน้านิ่ง ๆ “โอ้ที่เทือกเขาเคอร์ดิชที่พวกพ่อมดด้วยเหรอ?”
“แน่นอน พวกเราพอจะได้ยินเรื่องของพวกเขามาบ้าง...”
“อะแฮ่ม...แคทเธอรีน พี่รู้สึกว่าในนี้ร้อนอบอ้าวมาก เรามาพักกันก่อนเถอะ”
เมื่อเมอร์ลินถามอะไรไปแคทเธอรีนก็ตอบโดยไม่ยั้งคิด ทำให้คาเปซต้องคอยขัดเธออยู่ตลอดเวลาแต่กว่าเขาจะห้ามทัน น้องสาวของเขาก็หลุดข้อมูลไปมากกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว
“ได้เลย เรามาพักกันเถอะ” แคทเธอรีนตอบ
พอรถม้าจอดเมอร์ลินก็เดินทาจากรถม้าไปก่อน ส่วนคาเปซได้ลากแคทเธอรีนไปยังที่เงียบ ๆ และพูดกับเธอด้วยเสียงเบาว่า “แคทเธอรีน พวกเราได้หนีออกจากบ้านมานะ เราต้องระวังตัวให้ดีและไม่พยายามก่อเรื่องและนี่อะไรทำไมน้องถึงพาคนแปลกหน้าไปกับพวกเราแถมยังพูดเรื่องที่พวกเราตามหาพวกนักเวทย์ด้วย” คาเปซกล่าวอย่างไม่พอใจ
แคทเธอรีนแลบลิ้นออกมาและพูดด้วยเสียงเบาว่า “ขอโทษด้วยนะพี่ พอดีหนูตื่นเต้นมากเกินไปเลยลืมตัวแต่พี่ลองสังเกตดูคุณเมอร์ลินดี ๆ สิพี่ไม่คิดว่าเขาแปลกบ้างเหรอ เขาต้องไม่ใช่นักผจญภัยอย่างแน่นอน ไม่แน่นะเขาอาจจะเป็นเหมือนพวกเราที่ต้องการค้นหาที่ตั้งองค์กรนักเวทย์และกลายเป็นนักเวทย์ก็ได้”
คาเปซครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า “มันไม่สำคัญว่าคุณเมอร์ลินจะเป็นนักผจญภัยหรือไม่ มันไม่เกี่ยวกับพวกเรา น้องอย่าลืมสิว่าพวกเราหนีออกจากบ้านเพื่อตามหาองค์กรนักเวทย์ที่อยู่ในเทือกเขาเคอร์ดิชจากข่าวลือที่พวกเราได้ยินมา ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาบานปลายเราจะแยกจากคุณเมอร์ลินทันทีที่เราถึงเทือกเขาเคอร์ดิช”
แคทเธอรีนทำได้เพียงพยักหน้า อย่างไรก็ตามคาเปซกลัวว่าน้องสาวของเขาจะพูดอะไรออกไปอีก เขาจึงย้ำอีกว่า “แคทเธอรีนหลังจากน้องกลับไปที่รถม้าห้ามพูดอะไรกับคุณเมอร์ลินอีกต่อไปเพื่อป้องกันไม่ให้น้องเผลอหลุดปากเปิดเผยตัวตนของพวกเรา”
แม้ว่าแคทเธอรีนจะไม่เต็มใจแต่เธอไม่กล้าที่จะโต้แย้งกับคาเปซ เธอทำได้เพียงพยักหน้าและรับปากอย่างจนใจ จากนั้นพวกเขาก็กลับไปที่รถม้า
หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้เดินทางต่อไปอีกสองสามวัน รถม้าได้ค่อย ๆ หยุดลง ตรงเบื้องหน้าพวกเขาถนนได้มาถึงจุดสิ้นสุด มีเพียงป่าทึบที่ทอดยาวไปไกล ตอนนี้พวกเขาเดินทางมาถึงเทือกเขาเคอร์ดิชเรียบร้อยแล้ว
เมอร์ลินและคนอื่น ๆ ลงจากรถม้า ทางด้านคาเปซกับแคทเธอรีน พวกเขารู้ตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นคาเปซก็หันมาหาเมอร์ลินและพูดว่า “คุณเมอร์ลิน พวกเรามีเรื่องสำคัญที่ต้องไปทำ ดังนั้นเราจะขอแยกกับคุณกันตรงนี้”
เมอร์ลินพยักหน้า จากนั้นคาเปซก็ดึงแคทเธอรีนเข้าไปในป่าทึบอย่างรวดเร็ว
เมอร์ลินจ้องมองพวกเขาและส่ายหัวเบา ๆ ก่อนหน้านี้เขาได้ใช้พลังจิตตรวจสอบพลังจิตของพวกเขาและพบว่าพลังจิตของพวกเขาอยู่ในระดับธรรมดามาก สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่มีคุณสมบัติของการเป้นนักเวทย์
เขาไม่รู้ว่าพวกเขารู้ได้อย่างไรว่าที่เทือกเขาเคอร์ดิชมีองค์กรนักเวทย์และที่เทือกเขาแห่งนี้ก็ไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม เมอร์ลินก็ไม่คิดว่าจะเตือนพวกเขาเนื่องจากคาเปซเป็นนักดาบธาตุระดับสาม ด้วยพลังระดับนี้เขาน่าจะปกป้องตัวเองได้
เมอร์ลินมองไปที่แหวนสีหมึกและขมวดคิ้วขึ้นมา “เทือกเขาเคอร์ดิชกว้างใหญ่มาก ดินแดนมนต์ดำมันตั้งอยู่ที่ไหนกันนะ?”
เมอร์ลินหวังว่าแหวนวงนี้จะมีเบาะแสที่จะพาเขาไปยังที่ตั้งของดินแดนมนต์ดำได้
เขารีบเดินเข้าไปในป่าทึบและตรงไปยังส่วนลึกของเทือกเขาเคอร์ดิช เขาคาดเดาว่าที่ตั้งน่าจะอยู่ในส่วนลึกของป่าซึ่งเป็นที่ที่คนทั่วไปไม่น่าจะเข้าถึงได้
...
*สวบ*
ร่างทั้งสองร่างโผล่ออกมาจากต้นไม้ใหญ่ พวกเขาคือคาเปซกับแคทเธอรีนที่เข้าไปในป่าเมื่อไม่นานมานี้
คาเปซมองไปที่ทางที่เมอร์ลินเดินไปและถอนหายใจเบา ๆ ด้วยความโล่งอก “ดูเหมือนคุณเมอร์ลินจะไม่ตามพวกเรามา ดูเหมือนฉันจะระวังตัวมากเกินไปหน่อย”
“พวกเรารีบออกเดินทางกันเถอะจะได้หาที่ตั้งขององค์กรนักเวทย์เจอไว ๆ ซะที ฉันไม่เชื่อที่พ่อมดปาริโอบอกพวกเราหรอกนะว่าพวกเราไม่มีคุณสมบัติของนักเวทย์ ฉันว่าเขาคงจะอิจฉาพวกเราที่ตัวเองไม่มีโอกาสนั้นมากกว่า พวกเราจะต้องหาที่ตั้งขององค์กรให้เจอและกลายเป็นนักเวทย์ที่ยิ่งใหญ่และทรงพลัง” แคทเธอรีนกำหมัดแน่นเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณของนักสู้
คาเปซมองแคทเธอรีนด้วยสีหน้าอันซับซ้อนและพูดว่า “พ่อมดปาริโอได้บอกว่าที่เทือกเขาเคอร์ดิชมีองค์กรนักเวทย์ที่ชื่อว่าดินแดนมนต์ดำ พี่ได้ยินมาว่ามีเหตุการณ์ลึกลับต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในส่วนลึกของเทือกเขา พี่คิดว่าที่ตั้งของดินแดนมนต์ดำต้องอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาเคอร์ดิชแน่นอน ไม่แน่นะพวกเราอาจจะโชคดีเจอที่นั่นโดยบังเอิญก็ได้”
เมื่อเขากล่าวจบ คาเปซกับแคทเธอรีนจึงค่อย ๆ เดินลึกเข้าไปในป่าทึบ