ตอนที่ 188 ความเศร้าของตระกูลอาโรเดีย
ตอนที่ 188 ความเศร้าของตระกูลอาโรเดีย
ไคโรและคาร่า ทั้งสองเดินเข้ามาภายในห้องพัก ที่ไนเรลนั่งอยู่ที่โซฟาอยู่ก่อนแล้วด้วยสีหน้าเคร่งเครียดราวกับจะแบกทุกอย่างไว้คนเดียว
“ไนเรลเกิดอะไรขึ้น” ไคโรเดินเข้ามาถามเขาทันที เพราะรู้ถึงความผิดปกติ คาร่าเองก็รู้สึกใจคอไม่ดี
“พ่อกับแม่นั่งลงก่อน...” ไนเรลพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย “พ่อกับแม่ทำใจดี ๆ ไว้ด้วยนะ”
“ลูกเกิดอะไรขึ้นกันแน่” คาร่าถาม
“คือปู่...”
“เกิดอะไรขึ้นกับปู่”
“ปู่ตายแล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับมันเป็นปกติ แต่มือของเขากำแน่นเมื่อพูดคำนี้ออกมา
ทั้งห้องเงียบลงไปในทันที ไคโรนิ่งไปทันที จากนั้นก็ตามมาด้วยน้ำตาที่ไหลออกมา มือของเขาสั่นไหว คาร่าที่อยู่ด้านข้างก็ตกใจมากจนกำมือของสามีของเธอแน่น
ปัง!
นิเรียที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่ตอนไหนผลักประตูเข้ามาถามไนเรลด้วยน้ำตาว่า “พี่พูดอะไร ปู่...ท่าน...เกิดอะไรขึ้นกับปู่...ไม่สิ ปู่อยู่ไหน” เธอพูดด้วยประโยคที่จับต้นชนปลายไม่ถูก
ไนเรลยืนขึ้นทันที
“ฮือออ...พี่...บอกหนูสิ...ฮื..อ...ว่า..ว่า...ปู่อยู่ไหน พี่...ฮือออ” นิเรียร้องไห้และทุบหน้าอกของไนเรลไม่หยุด แต่ตัวเขาที่เหลือเพียงขาข้างเดียวกับไม้เท้าที่ใช้ค้ำยืนกับยืนมันคงไม่ล้มลง
“ปู่ตายแล้วจริง ๆ” ไนเรลกอดนิเรียไว้แน่น น้ำตาของนิเรียไหลออกมาเต็มอกของเขา
“ฮือ..ฮื..อ..ปู่..ฮืออออ” นิเรียรู้สึกสับสนมาก ราวกับว่าครั้งสุดท้ายที่เจอปู่เป็นเมื่อวานนี้ แต่ตอนนี้ปู่ก็หายไป ราวกับเมฆบนฟ้าที่ลอยจากไป ใจของเธอราวกับมีบางอย่างหายไปในชีวิต
ซึ่งไม่ใช่เพียงแต่นิเรียคนเดียว แต่ทุกคนในห้องก็ร้องออกมาเช่นกัน
“พ่อปู่ตายแล้ว แม่ปู่ไม่อยู่อีกแล้ว” นิเรียเข้ามาผลักจากอกของพี่ชายเธอวิ่งไปกอดแม่ร้องไห้ คาร่าปลอบลูกสาวด้วยความเศร้า การสูญเสียนั้นเกิดขึ้นอยู่ทุกวัน แม้ครอบครัวอาโรเดียนั้นจะโชคดีกว่าคนอื่น ๆ แต่พอถึงเวลาแห่งการสูญเสียมันก็เศร้าไม่ต่างกัน
ไคโรเข้าไปกอดทั้งสองไว้ ไนเรลมองดูภาพตรงหน้าด้วยความเจ็บปวด ‘ถ้าฉันไม่ปล่อยปู่ไปในตอนนั้น...’
...
หลังจากนั้นสักพักนิเรียร้องจนสงบลง ไคโรก็แยกตัวออกมามองลูกชายของตัวเองนิ่งอยู่
“ไปข้างนอกกับพอหน่อยพ่ออยากรู้เรื่องที่เกิดขึ้น” ไคโรเดินนำไนเรลออกไปจากห้อง ไนเรลใช้ไม้ค้ำเดินตามไปจากนั้นก็ปิดประตูออกไปโดยที่นิเรียนอนหนุนตักคาร่าอยู่
“เกิดอะไรขึ้นกับปู่ไคโร”
“ปู่โดนวางกับดักที่ทุ่งหญ้ากอเซียก่อนถึงชายแดนไทกีล่า มันเป็นผู้นำจีนาสเอิร์ลดาโก้...” ไนเรลบอกรายละเอียดไปคร่าว ๆ เท่านั้น
ไคโรได้ยินสิ่งที่ไนเรลบอกก็เงียบไป “เจอร่างของปู่ใหม่”
ไนเรลส่ายหัว “ไม่...แต่พอจะรู้ว่าร่างปู่โดนพวกมันเก็บขึ้นไปที่เรือเหาะหมายเลข 1 ซึ่งตามที่ซีโร่ค้นหาจากข้อมูลที่ไปเอามาได้ เรือเหาะลำนั้นขาดการติดต่อแถวรอยต่อสามชายแดนทางใต้ของประเทศมิสทาล”
“ทำไมพวกมันถึงไปที่นั่น”
“ผมก็ไม่แน่ใจ แต่พวกมันตามหากุญแจ”
“กุญแจ”
“ใช่ เรื่องทั้งหมด ตั้งแต่ก่อนที่เกิดซอมบี้ระบาด พวกมันใส่ร้ายปู่เพื่อบีบให้ปู่เอากุญแจ พวกมันต้องการกุญแจจากปู่ พ่อรู้เรื่องกุญแจไหม”
“เห้อ...พ่อพอจะรู้ ในสมัยที่พ่อเป็นเด็กก็เคยเห็นมาบ้าง แม้ปู่จะไม่ยอมพูดเรื่องนี้ก็ตาม ปู่มักจะเก็บกุญแจมันไว้กับตัวเสมอ”
ไนเรลพยักหน้าเห็นด้วย ‘ปู่ยังไงก็ยังคงเป็นปู่ แต่เดี๋ยวก่อนพ่อบอกปู่เก็บกุญแจไว้กับตัว’
“พ่อพูดว่าปู่เก็บกุญแจไว้กับตัว หมายความว่าไง ก็ปู่บอกผมว่ากุญแจเก็บอยู่ที่สุสานมีแต่คนที่สืบทอดตระกูลจะรู้เรื่องนี้เท่านั้น”
“สุสาน บ้านเราก็มีสุสานอยู่ที่เดี๋ยวก็ภูเขาหลังคฤหาสน์อาโรเดีย แต่ปู่บอกเกลียดที่นั้นก็เลยไม่เคยไปอีก” ไคโรอธิบาย
‘เดี๋ยวสิ ถ้างั้นที่ปู่บอกก็เป็นเรื่องโกหก กุญแจอยู่กับปู่ตลอดแต่ทำไมพวกนั้นค้นหากุญแจไม่เจอ มีทางเดียวที่เป็นไปได้คือเก็บไว้ในร่างกาย แต่ถ้างั้นด้วยเครื่องเอกซเรย์สแกนตัวปู่ก็ต้องเจอสิ นอกซะจากว่ากุญแจมันพิเศษจนไม่สามารถสแกนหาเจอได้’ ยิ่งไนเรลคิดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นไปได้เท่านั้น
“ผมว่าเอิร์ลดาโก้คงได้กุญแจจากปู่ไป พวกมันจึงเดินทางไปที่ไหนสักแห่งแถวนั้น ร่างปู่ก็ต้องอยู่ที่นั่นด้วย แต่ผมจะตามร่างปู่กลับมาให้ได้ไม่ว่ายังไงปู่ก็ควรกลับมาอยู่กับพวกเรา”
“ตอนนี้ลูกไม่ใช่เด็กมหาลัยอีกแล้ว แต่เป็นประธานสมาพันธ์นักล่าดูแลชีวิตของมนุษย์นับล้านคนดังนั้นลูกต้องรับผิดชอบชีวิตของคนที่ฝากไว้กับสมาพันธ์ด้วย ปู่เองก็คงหวังว่าลูกจะปกป้องพวกเขาเช่นกัน ชีวิตลูกต้องมาก่อน เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นกับลูกที่นี่คงแตกออกทันที”
“ผมรู้ แต่ไม่ว่ายังไงผมจะต้องพาปู่กลับบ้านให้ได้”
“อืม...พ่อรู้!ไอ้ลูกชาย!” ไคโรตบบ่าไนเรลและดึงเขาเข้ามากอด
‘ขอบคุณครับ สำหรับทุกเรื่องนะพ่อ’ ไนเรลคิดในใจ
......
สามวันต่อมา แม้จะมีความเศร้าในครอบครัวอาโรเดีย แต่ทุกอย่างก็ต้องเดินหน้าต่อไป
เช้าวันนี้ไนเรลไปหาเมสันที่โรงงานที่เมืองซานติเกียซึ่งเมสันมาที่นี่เมื่อหลายวันก่อน หลังจากเขานั่งรอเมสันสักพักเมสันก็จัดการงานของตัวเองเสร็จและหันมาพูดกับเขา
“ฉันจึงลองทำขากลตามที่นายขอแล้ว ไม่รู้ว่าใช้ได้ไหมลองใส่ดูก่อนก็แล้วกัน” เมสันเปิดกล่องขนาดใหญ่ออกมา ภายในมีขากลสีดำอยู่ “มันสร้างมาจากวัสดุระดับ 5 แข็งแกร่งทนทานไม่ต่างจากอาวุธระดับ 5 มีตัวเซนเซอร์ 800 จุดทั่วขาซึ่งรองรับประจุไฟฟ้าที่มาจากกล้ามเนื้อแต่ละมัดได้ทำให้มันสามารถขยับได้เหมือนกับขาจริง ๆ เกือบ 99% ใกล้เครียงขาจริงที่สุด”
“ขอบคุณมาก คุณเมสัน”
“ฉันไม่ต้องการคำขอบคุณนาย แต่ฉันต้องการเกล็ดระดับ 6 ของจระเข้นั้น”
“คุณเอาไปได้ทั้งหมดเลย”
“ฮ่า ๆ อย่างนี้ค่อยคุ้มค่าเหนื่อยหน่อย ไปเสร็จแล้วจะไปไหนก็ไป” เมสันไล่ไนเรลออกมาทันที
“คุณไม่ช่วยผมประกอบมันก่อนงั้นเหรอ”
“นายใส่เขาเองเลยแล้วกัน ซีโร่แสดงคู่มือการใส่ด้วย” หลังจากพูดจบเมสันก็ไปทำงานของตัวเองแถวนั้นต่อ
“คุณรู้เรื่องปู่แล้วใช่ไหม?”
“ไคโรนะเหรอ มันหัวดื้อไปตายเองก็สมควรแล้ว” เมสันพูดด้วยความโมโห
ไนเรลรู้ว่าเมสันกับปู่คงรู้จักกันมาก่อนที่ท้องสองจะลงเอยในคุกอย่างแน่นอน แต่ในเมื่อเมสันไม่อยากเล่าไนเรลก็ไม่อยากถาม ใครบ้างไม่เคยมีอดีต ตอนนี้เขารู้แต่เพียงว่าเมสันเป็นคนของเขาที่ติดตามมาตั้งแต่ตอนแรก ๆ หลังเกิดเรื่อง เป็นผู้อาวุโออีกคนของเขาก็พอ
“คุณทำอะไรอยู่” ไนเรลมองดูสิ่งที่เมสัน
“ระเบิดแก่นพลังงานที่แรงเท่าระเบิดนิวเคลียร์ 104,000 ตัน แต่ชิ้นนี้เป็นเพียงต้นแบบเท่านั้น เพราะยังขาดแก่นพลังงานอยู่ ไม่งั้นพลังทำลายของมันอาจจะมากกว่านี้อีก 10-100 เท่าอาจจะระเบิดดาวเคราะห์ได้เลย” เมสันอธิบาย ระเบิดพวกนี้พัฒนามาจากระเบิดที่ใช้ตอนกวาดล้างเมืองหลวงก่อนหน้านี้
ไนเรลได้ยินดังนั้นก็หนังตากระตุกที่เมสันคิดจะระเบิดดาวเคราะห์ เขาไม่รู้ว่าเมสันคิดจะเอาไปใช้กับใคร แต่ถ้าเขาเป็นศัตรูของเมสันก็คงจะมีเสียวสันหลังการบ้าง
“คุณต้องการแก่นพลังงานอะไร”
“ระดับ 6 ชัก 10 ชิ้น แต่ยิงสูงยิ่งดี”
“เอองั้นเรื่องนี้เอาไว้ก่อนก็แล้วกัน” ไนเรลยิ้มแห้ง ๆ ตอนนี้เขามีแก่นพลังงานระดับ 6 แค่ชิ้นเดีนวเท่านั้นนี่ไม่ต้องพูดถึง 10 ชิ้นเลย
หลังจากเขาใส่ขากลแล้วมันก็ไม่ต่างจากขาของเขามากนัก แต่แน่นอนว่ามันก็ยังคงเป็นขากลดังนั้นไม่มีทางแทนที่ขาจริงของเขาได้
‘ทนสักสองเดือนแค่นั้น’
เมื่อใส่ขาเรียบร้อยแล้ว ไนเรลก็เดินปกติไม่ต้องใช้ไม้ค้ำยันอีก เขาเดินมาถึงจุดที่เป็นคลังเก็บหัวของจระเข้ระดับ 6 ที่เอากลับมาด้วย
“พี่ไนเรล” ดามินที่อยู่แถวนั้นพอดีทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม
“นายมาคุมงานเองเลยเหรอ”
“ครับพี่ เนื้อด้านในศีรษะ สมองและส่วนอื่น ๆ ถูกเอาออกไปเกือบหมดแล้ว มันเป็นเนื้อระดับ 6 หลายตันเลยทีเดียว แต่ว่าพวกหนังเกล็ก กระดูกและฟันปู่เมสันบอกว่ามันเป็นวัตถุดิบทำอาวุธคุณภาพสูงเลย แต่พวกเราตัดมันไม่ได้พวกมันแข็งแกร่งและทนทานเกินไป” ดามินบอกกับเขา
“เรื่องหนังและกระดูกฉันคุยกับเมสันแล้ว ส่วนจะตัดมันเป็นชิ้น ๆ คงต้องระอีกสักพักหลังจากนี้เดียวฉันจะจัดการให้”
ไนเรลเหมือนจะนึกอะไรได้จึงบอก “ส่วนเนื้อให้แจกให้กับเจ้าหน้าที่และทหารในกองกำลังของสมาพันธ์ที่อยู่ระดับสีน้ำตาลขึ้นไปคนละ 500 กรัมก็แล้วกัน เตือนพวกนั้นด้วยว่านี่คือเนื้อระดับ 6 อย่ากินมากเกินไป”
“ครับ” ดามินรีบจดบันทึกคำพูดของไนเรล
“ส่วนที่เหลือให้เก็บรักษามันในห้องแช่เย็น และเพิ่มเนื้อพวกนี้ไปเป็นรางวัลให้กับแต้มสงครามด้วย” ไนเรลเก็บเนื้อบางส่วนไปเอาไว้กิน
“แล้วเรื่องแนวหน้าเป็นยังไงบ้าง”
“พี่เอวาไปช่วยจัดการอยู่ เส้นทางเสบียงที่ทอดยาว 1,000 กิโลเมตรจากเมืองซานติเกียจนถึงแนวหน้าสร้างเสร็จแล้ว อาหารและของจำเป็นถูกส่งไปไม่หยุดซึ่งน่าจะใกล้พอกับจำนวนที่ต้องใช้แล้ว และมีกองกำลังที่แบ่งออกไปซุ่มโจมตีแบบกองโจรเพื่อตัดกำลังยักษ์เถื่อนที่เดินทัพมาที่ข้ามชายแดนไทกีล่ามา ทำให้ยังต้องเพิ่มเสบียงและของอื่น ๆ อีก 20%” ดามินอธิบาย
“อืม” ไนเรลคิดสักพักขณะที่เดินออกมาด้านนอก ดามินก็เดินตามออกมาด้วย เพราะเขาต้องไปทางเดียวกับไนเรลพอดี
“ซีโร่”
“ครับท่านไนเรล”
“ติดต่อไปที่คูเปอร์ ส่งหน่วยออกไปเพิ่มพยายามดึงสนามรบให้อยู่ในระยะพื้นที่ 2,500 กิโลเมตรระหว่างชายแดนและให้คนสร้างป้อมกระจายเป็นจุด ๆ ไปตามป่า ระยะห่าง 50 กิโลเมตรต่อจุดควรจะมีคนประจำอยู่ที่ป้อมด้วยในระยะยาว” เขาสั่งออกไป
ไนเรลคิดว่าไม่ควรที่จะให้สนามรบใกล้กับเมืองซานติเกียมากนัก เขาไม่รู้ว่าการต่อสู่จะจบลงตอนไหน แต่ตอนนี้เขาคิดว่าควรจะวางแผนสู้ในระยะยาวมันจะดีที่สุด
พวกยักษ์เองก็คงจะทำแบบเดียวกัน ‘แม้ฉันไม่อยากจะให้พวกมันกลับขึ้นมาบนผิวดิน แต่ก็คงไม่มีอะไรหยุดมันได้แล้ว หวังว่ามันคงจะมีระดับ 6ไม่กี่ตัว’
*** (ตอนที่ 178 ชุดเกราะรบM4และแต้มสงคราม ไรท์เขียนผิดจากแนวหน้า 100 เมตรห่างจากเมืองซานติเกีย อันที่จริงมันคือ 1,000 กิโลเมตร ต้องขออภัยอย่างแรง) ***
..........
Witterry : เมื่อคืนลงไม่ทันขอโทษด้วยครับ