บทที่ 263 การจัดอันดับกองกำลังในอิงเฉิง
บทที่ 263 การจัดอันดับกองกำลังในอิงเฉิง
“เสี่ยวอวิ๋น แกเป็นไงบ้างช่วงนี้? อั๊ย รู้ไหมว่าพ่อแกกับฉันเป็นห่วงแกมากขนาดไหน แกเป็นเด็กที่ทำอะไรไม่เป็นเลยกลับต้องอยู่ในวันโลกาวินาศตามลำพัง เราคิดว่าแก…พ่อแกเป็นห่วงจนผมขาวไปครึ่งค่อนหัว”
ขณะเดินลงไปชั้นล่าง น้าเหล่าเจียก็พูดคุยกับอวิ๋นเส่าไปด้วย อวิ๋นเส่าฟังด้วยรอยยิ้มไม่พยายามหยุดเขาไม่ให้พูด
วันสิ้นโลกได้เริ่มมานานแล้ว เพียงพอให้ตัวตนเดิมของผู้คนเปลี่ยนไป อวิ๋นเส่าเองก็ไม่ใช่คนในอดีตอีกแล้ว แต่เป็นนักรบผู้เก่งกาจที่ผ่านพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์มาด้วยคลื่นซอมบี้
อวิ๋นเส่าเข้าใจดีว่าทำไมน้าชายของเขาถึงได้พูดมากแบบนี้ ไม่เพียงเขาจะคิดเพื่อตัวเอง เขายังคิดช่วยหลานชายคลี่คลายความรู้สึกอึดอัดใจ ให้กล้าออกไปหาอาหาร
ในอิงเฉิง แม้แต่คนโง่ที่สุดยังรู้ว่าการออกไปหาอาหารมันอันตรายขนาดไหน
อย่างไรก็ตามอวิ๋นเส่าก็ไม่สนใจ มีลูกพี่อยู่ข้างๆ มีอะไรที่แก้ไขไม่ได้?
“เดี๋ยวก่อน”
พอทั้งสามคนเดินมาถึงหน้าประตูชั้นล่าง จู่ๆ เย่จงหมิงก็ร้องบอกและทำสัญญาณให้หยุดเดิน
เหล่าเจียอ้าปากเหมือนจะพูดบางอย่าง แต่ก็ถูกหลานชายห้ามไว้ สองวินาทีต่อมา ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากทางด้านนอก
ผ่านหน้าต่างชั้นแรกของอาคาร คนทั้งสามมองเห็นชายคนหนึ่งเดินโซเซอยู่ฝั่งตรงข้ามของถนนด้านนอก แม้ว่าจะมีท่วงท่าที่ไม่มั่นคง แต่เห็นได้ชัดว่ามีความเร็วมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป คนที่มีประสบการณ์อย่างเย่จงหมิง สามารถบอกได้อย่างรวดเร็วว่า นี่ควรเป็นผู้วิวัฒนาการระดับ 1 ดาว
ด้านหลังของผู้วิวัฒนาการระดับ 1 ดาวคนนี้ ตามมาด้วยฝูงซอมบี้หลายร้อยตัว แต่ไม่มีซอมบี้ระดับสูงมีเพียงซอมบี้ระดับปกติเท่านั้น
ทั้งอวิ๋นเส่าและเหล่าเจียต่างตกใจ เส้นทางด้านหน้าเป็นทางตัน ถนนด้านหน้าถูกอาคารสูงที่โดนไฟไหม้ถล่มลงมาขวางไว้ไม่มีทางออก
เห็นได้ชัดว่าผู้วิวัฒนาการระดับ 1 ดาวคนนี้ไม่คุ้นเคยกับสถานที่นี้ เขาบังเอิญวิ่งมาที่นี่ด้วยความตื่นตระหนก
เมื่อเห็นเส้นทางด้านหน้ามีซากปรักหักพังสูง 17-18 เมตรขวางกั้นอยู่ ผู้วิวัฒนาการระดับ 1 ดาวคนนั้นก็ถึงกับกู่ร้องอย่างสิ้นหวัง
แม้ว่าความเร็วของซอมบี้ธรรมดาจะไม่เร็วนัก แต่ผู้วิวัฒนาการระดับ 1 ดาวได้รับบาดเจ็บมาก่อน อย่างไรก็ตามเขาจำเป็นต้องคืบคลานปีนผ่านซากปรักหักพังให้ได้ก่อนที่พวกมันจะตามมาทัน แต่เห็นได้ชัดว่ามันสายเกินไป
เขาไม่ยอมถอดใจรีบปีนขึ้นไปบนซากปรักหักพัง แม้ว่าซากปรักหักพังจะมั่นคงแข็งแรง แต่มันก็มีเศษอิฐ เศษปูน เศษเหล็กแหลมคมยื่นออกมามากมายนับไม่ถ้วน ทุกจุดที่ปีนป่ายขึ้นไปต้องคำนวณตำแหน่งวางมือเท้าให้ดี ฝูงซอมบี้ค่อยๆมารวมตัวกันจนมีจำนวนมากขึ้น พวกมันไม่ว่าจะปีนป่ายได้ดีหรือไม่ก็ตาม และไม่ว่าร่างกายของพวกมันจะถูกทิ่มแทงด้วยเศษซากแหลมคมอย่างไร พวกมันก็ปีนป่ายตามขึ้นไปทีละตัวๆ ภายใต้แรงกดดันทางจิตใจมหาศาลนี้ ผู้วิวัฒนาการระดับ 1 ดาวก็เกิดจับพลาด ลื่นไถลลงมา
ซอมบี้คว้าข้อเท้าของเขาไว้ทันที และลากร่างของเขาลงสู่พื้นดิน ผู้วิวัฒนาการระดับ 1 ดาวพยายามดิ้นรนเพื่อหลบหนี เขากระหน่ำหมัดทั้งคู่ทำลายหัวซอมบี้ ในเวลาเดียวกัน ซอมบี้ตัวอื่นก็กรูเข้ามาฉีกกินเลือดเนื้อบนร่างกายของเขา
ผ่านไปเพียงครึ่งนาที ท่อนขาและหลังของเขาก็ถูกฉีกกินจนเปิดกว้างมองเห็นกระดูก จากนั้นเขาก็จมลงไปภายใต้ฝูงซอมบี้
คนทั้งสามเฝ้ามองฝูงซอมบี้กลุ่มนี้กัดกินผู้วิวัฒนาการระดับ 1 ดาวอย่างเงียบๆ หนึ่งในบรรดาพวกมันได้กลายเป็นซอมบี้ระดับ 2 พอซอมบี้ระดับ 2 ตัวนั้นกินเสร็จมันก็ผละจากไปอย่างสบายอารมณ์
แต่ทันใดนั้นก็มีเงาสีแดงพุ่งออกมาจากสุดปลายถนน นกเพลิงกลายพันธุ์จับซอมบี้ระดับ 2 ที่เพิ่งวิวัฒนาการขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนที่ซอมบี้ระดับ 2 จะทันได้ตอบสนอง มันก็โยนร่างซอมบี้ใส่ผนังอาคาร ด้วยแรงเฉื่อยและพลังมหาศาล ซอมบี้ระดับ 2 ก็กลายเป็นเนื้อบด นกกลายพันธุ์กระพือปีกสองสามครั้งบินเข้าไปกินส่วนสำคัญที่สุดของซอมบี้ระดับ 2 ลงท้อง
ในวันโลกาวินาศ ในเวลาเดียวกันที่ผู้วิวัฒนาการแข็งแกร่งขึ้น ซอมบี้ก็แข็งแกร่งขึ้น และชีวิตกลายพันธุ์อื่นๆก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นเดียวกัน ทั้งหมดเข่นฆ่ากันอย่างไร้ความปราณี สร้างห่วงโซ่อาหารและระบบนิเวศที่ทั้งมั่นคงและลึกลับขึ้นใหม่ นอกเสียจากว่าจะมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่ทรงพลังมหาศาลกว่า มิฉะนั้นสถานการณ์เช่นนี้ก็จะดำเนินต่อไป
ในชีวิตที่แล้วเย่จงหมิงไม่เคยพิจารณาเรื่องเหล่านี้มาก่อน เขารู้เพียงการล่าชีวิตกลายพันธุ์เอาผลึกวิเศษมาวิวัฒนาการตัวเองเท่านั้น
ในตอนนั้นเขาไม่เคยคิดสงสัยเลยว่าทำไมวันโลกาวินาศถึงได้เกิดขึ้น? ทำไมถึงมีชีวิตกลายพันธุ์ให้ฆ่าไม่สิ้นสุด? ทำไมคลื่นซอมบี้ถึงได้ปะทุขึ้นเป็นครั้งคราว? และทำไมผู้รอดชีวิตถึงได้ดื้อรั้นที่จะอยู่รอด?
อย่างไรก็ตามเมื่อได้เกิดใหม่ เย่จงหมิงไม่เคยหยุดคิดเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้ เขาเลือกเส้นทางที่มีแนวโน้มมากที่สุดที่จะได้รับคำตอบ แล้วเดินหน้าต่อไป เขาหวังว่าสักวัน เขาจะสามารถเปิดเผยความลึกลับของวันโลกาวินาศด้วยมือตัวเอง
แม้เป้าหมายจะอยู่ห่างไกล และเส้นทางเต็มไปด้วยขวากหนาม แต่เย่จงหมิงจะเดินหน้าต่อไปอย่างแน่วแน่มั่นคง
จนกว่า…จะพบคำตอบ
ทั้งสามคนเดินออกจากประตูอย่างระมัดระวัง ตามคำบอกเล่าของเหล่าเจีย ด้านหน้าไม่ไกลมีซูเปอร์มาร์เก็ตอยู่สองแห่ง แม้ว่าพวกมันจะถูกปล้นชิงจากผู้รอดชีวิตหลายครั้ง แต่ก็ยังมีของเหลืออยู่อีกมาก ถ้าโชคดีก็น่าจะหาอาหารกินได้ อย่างไรก็ตามบริเวณใกล้เคียงยังมีซอมบี้และชีวิตกลายพันธุ์อยู่ พวกเขาจึงทำได้เพียงระวังและระวังให้มากขึ้น
เมื่อมาถึงซูเปอร์มาร์เก็ต เย่จงหมิงสังเกตดูอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เลิกล้มความคิดที่จะบุกเข้าไปทันที เพราะไม่กี่ร้อยเมตรจากซูเปอร์มาร์เก็ต มีซอมบี้อย่างน้อยหนึ่งพันตัวรวมตัวกันอยู่ นอกจากนี้ยังมีกล้วยไม้กลายพันธุ์บานอยู่บนหน้าต่างชั้นสองของซูเปอร์มาร์เก็ต แม้ว่าเขาจะเป็นผู้วิวัฒนาการระดับ 3 ดาว เขาก็ไม่อยากออกไปหาที่ตายเพื่อของกิน
ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นค้นหาของในกระเป๋าเป้ของอวิ๋นเส่าอยู่นาน แล้วหยิบบิสกิต 5 ห่อ กับอาหารกระป๋อง 2-3กระป๋องออกมา และบอกกับเหล่าเจียว่าไม่จำเป็นต้องเสี่ยงเข้าไป เอาของพวกนี้ไปกินก่อน
ความโปรดปรานของเหล่าเจียที่มีต่อเย่จงหมิงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เขารู้ดีว่าแม้แต่ในค่ายกองกำลังของเขา สิ่งเหล่านี้สามารถแลกเปลี่ยนกับอาวุธปืนอย่างดี หรือผลึกวิเศษมากกว่า 8 ชิ้น หรือว่าจะหลับนอนกับผู้หญิงที่สวยที่สุดในค่ายเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ก็ยังได้
เมื่อกลับไปถึงดาดฟ้าตึก คนเหล่านั้นยังคงพูดคุยกันถึงผู้วิวัฒนาการที่ถูกซอมบี้รุมกินที่ด้านล่าง พอเห็นอาหารที่คนทั้งสามนำกลับมา พวกเขาก็ถึงกับจ้องจนตาแทบถลน ในเมืองมีซอมบี้อยู่มากที่สุด มีสัตว์กลายพันธุ์อยู่ค่อนข้างน้อย ดังนั้นในระหว่างการล่าสัตว์จึงไม่ค่อยได้ซากของสัตว์กลายพันธุ์กลับมา พวกเขาจึงไม่ค่อยมีโอกาสได้กินเนื้อสัตว์มากนัก ตอนนี้พอได้เห็นเนื้อกระป๋องแสนอร่อย จะไม่ให้พวกเขาตื่นเต้นเกินขนาดแบบนี้ได้อย่างไร
“เหล่าเจีย ทำดีมาก” หัวหน้าหลินฮุบอาหารครึ่งหนึ่งเป็นของตัวเอง แล้วกินมันอย่างมูมมาม ส่วนคนอื่นๆก็กินส่วนที่เหลือ แต่คนที่ออกไปหาอาหารทั้งสามกลับไม่ได้รับอะไรแม้แต่นิดเดียว
อวิ๋นเส่าอารมณ์ขึ้นเล็กน้อย คนเหล่านั้นมีผู้วิวัฒนาการเพียงสองคน เขารู้สึกว่าไม่ควรให้ลูกพี่ลงมือเอง สำหรับคนเหล่านี้เขาสามารถฆ่าด้วยมือตัวเอง ขณะที่เจตนาฆ่าพุ่งขึ้น เย่จงหมิงก็มาหยุดไว้ โดยดึงตัวเขาไปที่มุมหนึ่งของดาดฟ้าตึก
“ลูกพี่ คนพวกนี้…”
“นี่คือวันโลกาวินาศ” อาหารปัจจุบันของเย่จงหมิงคือเนื้อของสัตว์กลายพันธุ์ระดับ 2 เขาจึงไม่สนใจอาหารธรรมดาเหล่านี้อีกต่อไป “เราต้องตามพวกเขาไปหาพ่อของนายที่ค่าย พอพาเขาออกมาแล้ว ก็แล้วแต่ว่านายจะจัดการยังไง จะให้เขาไปอยู่ที่อวิ๋นติ่งวิลล่า หรือจะให้เขาอยู่กับทีมอัศวินพยัคฆ์หิวของนายก็ได้ เราไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกับพวกเขาในตอนนี้”
หัวใจของอวิ๋นเส่ารู้สึกอบอุ่นจนแทบร้อนระอุ เมื่อรู้ว่าลูกพี่ของตนกำลังคิดเพื่อตัวเขา ไม่อย่างนั้น ในสายตาของลูกพี่คนเหล่านี้ก็ไม่แตกต่างอะไรกับมดที่จะเหยียบให้ตายเมื่อไหร่ก็ได้
“เข้าใจแล้ว”
อวิ๋นเส่าสงบลง พิงกำแพงพูดคุยกับเย่จงหมิง เมื่อเหล่าเจียเห็นว่าไม่มีโอกาสได้รับอาหาร หลังจากนั้นไม่นานเขาก็กลับมาด้วยความผิดหวัง และพูดขอโทษคนทั้งคู่
เย่จงหมิงใช้โอกาสนี้สอบถามเหล่าเจียเกี่ยวกับสถานการณ์ในอิงเฉิง เพื่อพยายามทำความเข้าใจให้กระจ่างก่อนเข้าร่วมงานประมูล
งานแสดงสินค้าประเภทนี้เป็นโอกาสอันดีที่จะแลกเปลี่ยนสิ่งที่จำเป็น และก็เป็นโอกาสร่ำรวยของเหล่าผู้ร้ายด้วยเช่นกัน แม้เขาจะไม่รู้สึกว่าผู้รอดชีวิตในระยะนี้จะสามารถเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตของเขาได้ก็ตาม แต่การเตรียมตัวไว้ก่อนย่อมดีกว่าเสมอ
“พูดถึงกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในอิงเฉิง มีอยู่ 4 กองกำลัง” เมื่อได้ยินเย่จงหมิงกับหลานชายขอคำแนะนำ เหล่าเจียก็พูดขึ้นพร้อมกับยกนิ้วขึ้นทีละนิ้ว “ทีมเหรินซิ่ง ทีมลี่โห่ว หน่วยคอมมานโดกรีนโอลีฟ และบริษัทซิงเหม่ย”
เย่จงหมิงพยักหน้า เขาเคยได้ยินหยวนซั่งพูดถึงชื่อเหล่านี้มาก่อน จากมุมมองนี้ ความถูกต้องของบัตรเชิญที่ได้รับมาควรเชื่อถือได้
“ที่แข็งแกร่งที่สุดต้องเป็นทีมเหรินซิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะมีสมาชิกเป็นผู้วิวัฒนาการทั้งหมด ตอนต้นเดือนพวกเขาจัดกลุ่มทำภารกิจที่สถานีรถไฟใต้ดินทางใต้ของเมือง ซึ่งเป็นรังของหนูกลายพันธุ์ ได้ยินมาว่าได้รับผลึกวิเศษระดับ 3 มาหลายสิบชิ้น ผลึกวิเศษระดับ 2 หลายร้อยชิ้น และผลึกวิเศษระดับ 1 อีกนับไม่ถ้วน”
อวิ๋นเส่ายิ้ม รู้สึกว่าน้าชายพูดเกินจริงไปหน่อย นับไม่ถ้วนอะไรกัน ตอนที่อวิ๋นติ่งวิลล่ากวาดล้างซอมบี้ จำนวนผลึกวิเศษยังนับถ้วนเลย จะเป็นไปได้อย่างไรว่าหนูรังนี้จะมีมากกว่า 20,000 ตัว
“ตอนนี้บอสไป๋เฟิง หัวหน้าทีมเหรินซิ่ง ได้เป็นผู้วิวัฒนาการระดับ 3 ดาวแล้ว เขาแข็งแกร่งมากและเป็นผู้มีอาชีพด้วย แต่ที่น่าทึ่งไปกว่านั้นก็คือ ในทีมของเขามีผู้วิวัฒนาการระดับ 3 ดาวอยู่ด้วย มีระดับ 2 ดาว 4-5 คน ส่วนที่เหลือทั้งหมดเป็นระดับ 1 ดาว”
อวิ๋นเส่าเหลือบมองไปยังลูกพี่ของเขา แล้วยิ้มเยาะคำพูดเหล่านั้น แต่ก็ไม่ได้โต้ตอบอะไร
“อีกสามกองกำลังด้อยกว่าทีมเหรินซิ่งเล็กน้อย แต่ก็แข็งแกร่งมากเหมือนกัน เพราะพวกเขาก็มีผู้วิวัฒนาการระดับ 3 ดาวอยู่ในทีมด้วยเช่นกัน”
“มีระดับ 3 ดาวมากขนาดนี้เลยเหรอ?” อวิ๋นเส่าอดถามไม่ได้ ลูกพี่ของเขาเองยังเพิ่งได้เป็นผู้วิวัฒนาการระดับ 3 ดาว แล้วคนของกองกำลังเหล่านี้กลายเป็นผู้วิวัฒนาการระดับ 3 ดาวมากขนาดนี้ได้อย่างไร?
เหล่าเจียยืนยัน “ใช่แล้ว เสี่ยวอวิ๋นแกไม่รู้หรอกว่า การปรากฏขึ้นของยาวิวัฒนาการระดับ 3 ดาว ทำให้อิงเฉิงเกิดพายุนองเลือดไปถึงสองสัปดาห์ กองกำลังใหญ่เหล่านั้นพากันบ้าคลั่งไปหมด พวกเขายอมจ่ายผลึกวิเศษระดับ 1 ให้กับใครก็ตามที่บอกตำแหน่งของชีวิตกลายพันธุ์ระดับ 3 และทุกครั้งที่ค้นพบชีวิตกลายพันธุ์ระดับ 3 ก็จะเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ มีคนตายมากมาย ว่ากันว่าในบรรดากองกำลังเหล่านั้น ***ขโมยผลงานมาจากเว็บ ThaiNovel*** หน่วยคอมมานโดกรีนโอลีฟสูญเสียมากที่สุด มีผู้คนถูกสังหารตายไปมากกว่าครึ่งในระหว่างกระบวนการให้ได้มาซึ่งยาวิวัฒนาการระดับ 3 ดาว! แต่กองกำลังอื่นก็ไม่ได้ดีกว่ากันสักเท่าไหร่”
ยังคงหลงเหลืออาการใจสั่นอยู่ในน้ำเสียง เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ในเวลานั้นได้ประทับอยู่ในใจของเหล่าเจียอย่างลึกซึ้ง
“นี่ไม่ใช่หมายความว่าผู้วิวัฒนาการระดับ 3 ดาวถูกสร้างขึ้นมาโดยชีวิตของพวกเขางั้นเหรอ?” อวิ๋นเส่าขมวดคิ้วถาม
“แน่นอน หรือว่าแกไม่คิดแบบนั้น?” เหล่าเจียไม่ต้องการโวยวายกับหลานชาย “ไอ้สารเลวรูเล็ต มันชั่วร้ายมาก หากต้องการวิวัฒนาการต่อไป ก็ต้องออกล่าชีวิตกลายพันธุ์ที่มีวิวัฒนาการสูงกว่าตัวเอง หากไม่ใช้ชีวิตคนของกองกำลังไปแลกมา แล้วจะได้มันมาได้ยังไง? นั่นทำให้กองกำลังเล็กๆ ไม่มีโอกาสเลย!”
เย่จงหมิงฟังเงียบๆ นี่เป็นเรื่องปกติของวันโลกาวินาศ ทรัพยากรของทีมทั้งหมดจะมุ่งเน้นไปที่คนเพียงคนเดียวหรือเพียง 2-3 คน เมื่อคนเหล่านั้นแข็งแกร่งขึ้น พวกเขาจะให้ผลประโยชน์เล็กน้อยกับผู้ใต้บังคับบัญชาราวกับให้ทาน หลายคนในชีวิตก่อนต้องการเรียกร้องความเสมอภาค แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เพราะถ้าออกจากทีมไป ก็จะไม่มีโอกาสได้กินแม้แต่เศษอาหาร จึงทำได้เพียงยินยอมให้ผู้อื่นใช้ประโยชน์เท่านั้น
“ส่วนกองกำลังชั้น 2 มีประมาณ 10 กองกำลัง ตัวอย่างเช่น ทีมปีกของเจิ้งห่าว ทีมโคมโลหิต กลุ่มเยาวชนทหารรับจ้าง ทีมอาณาจักรไท่ผิง เป็นต้น กองกำลังเหล่านี้หลายกองกำลังมีผู้วิวัฒนาการระดับ 3 ดาวอยู่ด้วย บางกองกำลังเคยเป็นกองกำลังชั้น 1 แต่ความแข็งแกร่งโดยรวมอ่อนแอลง อย่างเช่นทีมปีกของเจิ้งห่าว ก่อนหน้านี้กองกำลังของพวกเขาเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งมาก แต่ภารกิจการล่าชีวิตกลายพันธุ์ระดับ 3 ทำให้สมาชิกในทีมเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก ดังนั้นแม้จะมีผู้วิวัฒนาการระดับ 3 ดาวอยู่ในทีม แต่แกนหลักของทีมอ่อนแอเกินไป จึงถูกจัดให้อยู่ในชั้น 2”
“ไม่ต้องพูดถึงพวกชั้นสามกับพวกที่ไม่มีอิทธิพลอื่นๆ ที่มีจำนวนมากมายราวกับขนวัว อ้อ ใช่แล้ว ผู้รอดชีวิตในอิงเฉิงมีการจัดอันดับกองกำลังด้วยเหมือนกัน ต้องการฟังไหม?”
พูดจบ ไม่ว่าเย่จงหมิงกับอวิ๋นเส่าจะเห็นด้วยหรือไม่ เขาก็เริ่มพูดต่อไป “อันดับ 1 ทีมเหรินซิ่ง อันดับ 2 บริษัทซิงเหม่ย อันดับ 3 ทีมลี่โห่ว อันดับ 4 หน่วยคอมมานโดกรีนโอลีฟ อันดับ 5 ปีกของเจิ้งห่าว อันดับ 6 ทีมอาณาจักรไท่ผิง อันดับ 7 กลุ่มเยาวชนทหารรับจ้าง อันดับ 8 เรือนจำอิงเฉิง อันดับ 9 ทีมโคมโลหิต อันดับ 10 ทีมเพลิงโกรธาแผดเผา เหอ เหอ นี่คือทีมที่พ่อของแกกับฉันอยู่ อันดับ 11 … อันดับ 31 ทีมซาซ่า อันดับ 32…”
เหล่าเจียพูด 40 อันดับภายในลมหายใจเดียว
หลังจากได้ยินอวิ๋นเส่าก็ถามขึ้นว่า “เรือนจำอิงเฉิง? มันไม่ได้อยู่ในเมืองไม่ใช่เหรอ?”
เหล่าเจียพยักหน้า และพูดว่า “มันไม่ได้อยู่ในเมือง แต่มันยังอยู่ในขอบเขตของเมืองอิงเฉิง เรียกได้ว่าเป็นทีมที่มาแรงทีเดียว ทีมที่เพิ่งถูกจัดอันดับเข้ามา เป็นกองกำลังที่มีอยู่มากมายรอบๆอิงเฉิง อย่างเช่น อวิ๋นติ่งวิลล่าที่เป็นพื้นที่รีสอร์ทที่มีชื่อเสียงมาก มันเป็นที่ๆ พวกเราเคยไปเที่ยวกันมาก่อน ฉันได้ยินมาว่าที่นั่นมีทีมดีๆอยู่ มันถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 41”
อวิ๋นเส่ามองหน้าลูกพี่ แล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้ “อวิ๋นติ่งวิลล่า อันดับที่สี่สิบเอ็ด? ! ทีมซาซ่าอันดับที่สามสิบเอ็ด?”
เหล่าเจียชะงักเล็กน้อย และลองคิดดูดีๆก่อนจะพูดว่า “ถูกต้อง การจัดอันดับเป็นแบบนั้น การจัดอันดับนี้จะอัพเดตทุกครึ่งเดือน ยังเหลืออีกสองวันก่อนจะอัพเดตใหม่อีกครั้ง”
เย่จงหมิงค่อนข้างเป็นมิตรกับการจัดอันดับนี้ เพราะการจัดอันดับในชีวิตก่อนก็อยู่ในขอบเขตนี้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้รอดชีวิตมีการติดต่อสื่อสารกันมากขึ้น การจัดอันดับแบบนี้ก็จะกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนใส่ใจและให้การพูดถึง
ในชีวิตก่อนทีมที่เย่จงหมิงอยู่ติดหนึ่งในสิบอันดับแรกของกองกำลังในอิงเฉิง ตัวของเย่จงหมิงเองก็โชคดีติดอันดับ 1 ใน 100 ของผู้มีพลังต่อสู้ระยะไกล นับว่าในอิงเฉิงเขาไม่ใหญ่ ไม่เล็กเกินไปนัก
แต่ในระดับจังหวัดหรือในระดับประเทศ เขาไม่สำคัญอะไรเลย
อย่างไรก็ตามทีมที่เย่จงหมิงเคยเป็นสมาชิกในชีวิตก่อน ตอนนี้ยังไม่เกิดขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น เย่จงหมิงยังได้ยินมาว่ามีการจัดอันดับคนดังจากทั่วโลกอีกด้วย มีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับ 9 ดาวที่แข็งแกร่งและมีพลังระดับซุปเปอร์เท่านั้นที่มีคุณสมบัติเข้าถึง ขอบเขตของการจัดอันดับนี้จะวนเวียนอยู่ในแวดวงระดับสูงเท่านั้น ส่วนการจัดอันดับที่เฉพาะเจาะจงนั้น เย่จงหมิงก็ไม่รู้ชัดเจน
ทางอีกด้าน พอหัวหน้าหลินกับคนอื่นๆ กินเสร็จ เขาก็ร้องตะโกนบอกให้เหล่าเจียอยู่เฝ้ายามคืนนี้ แล้วพากันนอนหลับไปทีละคนๆ
สิ่งนี้แสดงให้อวิ๋นเส่าเห็นว่าน้าชายไม่มีตำแหน่งใดๆในทีม
ไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมร่างกายของเหล่าเจียถึงได้ผอมลง และไม่มีอาวุธดีๆ ถ้าไม่ยอมทำงานสกปรกก็อาจถูกขับไล่ออกจากทีม
เหล่าเจียลุกขึ้นยืนอย่างไม่มีทางเลือก แล้วเดินลงไปชั้นล่างนั่งเฝ้ายาม เขาไม่กล้าพูดคุยกับหลานชายต่อ เพราะถ้าหัวหน้าหลินเห็น เข้า เขาจะถูกลงโทษ
ช่วงกลางดึก เย่จงหมิงก็เข้ามาเปลี่ยนเวรยาม ปล่อยให้เหล่าเจียไปนอนพัก แม้ว่าน้าชายของอวิ๋นเส่าจะไม่ใช่เด็ก แต่ก็ไม่ใช่ผู้วิวัฒนาการ ทั้งยังต้องทำงานหนักให้ทีมอยู่เป็นประจำ ทำให้สุขภาพไม่ค่อยดี เมื่อเห็นว่าเย่จงหมิงมาอยู่ยามแทน เขาก็รู้สึกซาบซึ้งบุญคุณและบอกขอบคุณเย่จงหมิงอยู่หลายครั้ง
เย่จงหมิงยัดเนื้อแห้งใส่มือของเขา เหล่าเจียไม่รู้ว่า มันคือเนื้อของหมูป่ากลายพันธุ์ระดับ 2 ที่หลังจากกินลงไปจะสามารถเพิ่มสมรรถภาพทางร่างกาย
เหล่าเจียรู้สึกขอบคุณเย่จงหมิงมากขึ้น และคิดว่าอวิ๋นเส่ามีเพื่อนที่ดีจริงๆ
ตอนที่เย่จงหมิงตื่นขึ้นและลุกออกมา อวิ๋นเส่าที่นอนตะแคงอยู่ข้างๆ ก็ได้เห็นฉากนี้ และรู้สึกอบอุ่นขึ้นในใจ
คืนนี้ไม่มีอันตรายเกิดขึ้น ทุกคนตื่นแต่เช้าตรู่ หัวหน้าหลินบอกให้เหล่าเจียกับเย่จงหมิงออกไปหาอาหารอีกครั้ง คราวนี้เย่จงหมิงหยิบขนมปังถุงเล็กที่หมดอายุนานแล้วออกมา 2 ถุง ซึ่งทำให้หัวหน้าหลินมีความสุขอีกครั้ง
เหล่าเจียอยู่ในทีมเพลิงโกรธาแผดเผา ครั้งนี้่เขาออกมาเพื่อค้นหาชีวิตกลายพันธุ์ระดับสูง ไม่จำเป็นต้องต่อสู้ แค่จดตำแหน่งที่แน่นอนเอาไว้เท่านั้น การล่าสัตว์เป็นเรื่องของกลุ่มคนชั้นนำ อย่างที่สองคือการรวบรวมผลึกวิเศษระดับ 1
ทุกเช้าทีมจะเดินเตร่ไปทั่ว หลังจากจดจำสถานที่ๆมีชีวิตกลายพันธุ์ระดับ 2 อยู่สองสามตัว พวกเขาก็กลับฐาน เวลาบ่ายสองโมงพวกเขาก็กลับมาถึงฐาน
ในฐานะทีมอันดับ 10 ในอิงเฉิง ค่ายพักของทีมเพลิงโกรธาแผดเผาอยู่ในลานพักผ่อนของชุมชนแบบเก่า โดยทีมใช้อิฐ ปูนซีเมนต์ และเศษซากรถมาขวางไว้ระหว่างอาคารโดยรอบ และปิดกั้นหน้าต่างอาคารทุกชั้น สร้างเป็นสิ่งปลูกสร้างที่คล้ายกับกำแพงเมืองเล็กๆ จัดตั้งเป็นค่ายพักที่ค่อนข้างมั่นคง
พวกเขาปีนข้ามกำแพงเมืองที่ค่อนข้างเล็กด้วยบันไดหนีไฟเข้าไปในค่าย ภาพการใช้ชีวิตของมนุษย์ในวันโลกาวินาศปรากฏสู่สายตาของหลายๆคนทันที
หลายคนร้องทักทายหัวหน้าหลิน ถามพวกเขาเกี่ยวกับผลกำไรที่ได้จากการเดินทางครั้งนี้
นอกจากกลุ่มคนชั้นนำของทีมเพลิงโกรธาแผดเผา 3 กลุ่ม ก็มีกลุ่มย่อยระดับสามัญอีกเกือบ 20 กลุ่ม ระหว่างกลุ่มมีความสัมพันธ์ด้านการแข่งขันระหว่างกัน คำทักทายที่เหมือนจริงใจเหล่านี้ อันที่จริงแฝงไว้ด้วยความหมายของการสอดแนม
ใบหน้าของคนแปลกหน้าอย่างเย่จงหมิงที่ติดตามมาด้วย ได้รับความสนใจจากผู้คนมากมาย หัวหน้าหลินเพียงบอกไปว่า พวกเขามาตามหาคน คนเหล่านั้นก็ไม่ถามอะไรอีก สิ่งนี้เกิดขึ้นในทุกฐาน หลังจากได้รับสิ่งพื้นฐานที่สุดสำหรับการอยู่รอดแล้ว หลายคนก็เริ่มออกตามหาญาติพี่น้องของตน
แต่เย่จงหมิงรู้สึกแปลกๆกับแววตาของผู้คนในฝูงชน เพราะมันมีความโกรธและความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด
ในขณะนั้นเอง จู่ๆก็มีกลุ่มคนเดินออกมาจากอาคารโรงงานกลางค่าย แม้จะมีเพียง 5-6 คน แต่ก็มีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งมาก ค่ายพักที่ค่อนข้างคึกคักตอนแรก เงียบลงทันที
“นี่ใคร?” หัวหน้าหลินมองคนต่างถิ่นที่เดินออกมาจากพื้นที่พักผ่อนชั้นสูง และถามคนที่อยู่ข้างๆ
“กลุ่มนักรบคีล อันดับที่ 23”
“คนบ้าพวกนี้มาทำอะไรที่นี่?” หัวหน้าหลินแสดงท่าทางหวาดกลัวจนตัวลีบพูดขึ้น
“จะอะไรอีกล่ะ ก็บัตรเชิญงานแสดงสินค้านั่นไง ตั้งแต่คุณชายใหญ่กับคนอื่นๆเกิดเรื่อง ไม่ใช่นายจะไม่รู้ว่าเพลิงโกรธาแผดเผาเป็นอย่างไรไปแล้ว ความแข็งแกร่งของพวกเราลดลงไปมาก การอัพเดตอันดับวันมะรืน คงตกไปอยู่อันดับ 30 แน่นอน และไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก ส่วนกลุ่มนักรบคีล ฉันได้ยินมาว่าพวกเขาได้ยาวิวัฒนาการระดับ 3 ดาวมาจากการหมุนรูเล็ตเพียงครั้งเดียว อันดับของพวกเขาต้องพุ่งกระฉูดแน่ๆเลย ดังนั้นพวกเขาเลยคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติเข้าร่วมงานแสดงสินค้า แต่ พวกเขาไม่กล้าแตะต้องกองกำลังอื่นๆ 20 กองกำลังที่อยู่เหนือพวกเขาขึ้นไป ถึงได้มารังแกเรา”
แม้ชายคนนี้จะโมโห แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น ตอนนี้กลุ่มนักรบคีลแข็งแกร่งกว่าทีมเพลิงโกรธาแผดเผา นี่คือความจริง
เหล่าเจียก็เฝ้าดูอยู่เช่นกัน อย่างไรก็ตามผู้รอดชีวิตธรรมดาก็ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมในเรื่องระดับสูงเหล่านี้ เขาเข้าไปคุยกับหัวหน้าหลินว่าจะพาหลานชายไปพบพ่อ หัวหน้าหลินก็ไล่เขาไปทันทีราวกับไล่แมลงวัน
เย่จงหมิงเพียงเหลือบมองกลุ่มนักรบคีลที่จากไปอย่างภาคภูมิใจ แล้วติดตามเหล่าเจียกับอวิ๋นเส่าไป
“เสี่ยวอวิ๋น พ่อแกกับฉันอาศัยอยู่ที่โกดังด้านหน้านี่แหล่ะ แม้สภาพจะไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ยังดีที่ยังมีที่ให้ปักหลัก พ่อแกกับฉันผลัดกันออกไปล่าสัตว์ ถ้าโชคดีได้ผลึกวิเศษมา ก็พอจะเปลี่ยนเป็นอาหารได้หลายวัน ในโลกแบบนี้มันก็ไม่เลวนัก”
ทั้งสามคนเดินมาได้สักพัก ก็มาถึงโกดังที่เหล่าเจียบอก จากระยะไกล พวกเขามองเห็นผู้คนมากมายมารวมตัวกันอยู่ที่หน้าประตูโกดัง และมีเสียงสบถด่าว่าดังมาจากภายใน
“แม่งเอ๊ย แกคิดว่าแกยังเป็นชายชราผู้ทรงอิทธิพลเหมือนเมื่อก่อนอยู่หรือไง? ! ข้าจะบอกให้ แกมันเป็นแค่ลมตด กล้าถ่มน้ำลายใส่ข้า เบื่อชีวิตมากใช่ไหม? พูด จะคุกเข่าหรือไม่คุกเข่า? !”
“บัดซบ…ให้ฉันคุกเข่าให้แกน่ะเรอะ!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ชายร่างใหญ่ก็คำรามลั่น แต่อวิ๋นเส่าเมื่อได้ยินเสียงนี้ก็ถึงกับตกตะลึง แล้วใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดง รีบวิ่งตรงเข้าไปยังสถานที่เกิดเหตุ
เย่จงหมิงหรี่ตาลง แล้วติดตามอวิ๋นเส่าไปช้าๆ อย่างใกล้ชิด
(ที่เรียกกลับไปกลับมาระหว่าง งานแสดงสินค้า งานประมูล งานชุมนุน หรือว่างานแลกเปลี่ยนสินค้า เป็นเพราะ…เอ่อ…คนแปลมั่วเองล่ะค่า ?… บทต่อไปอัพพรุ่งนี้เย็นๆหรือไม่ก็ค่ำๆ)