ขุนศึกสยบสวรรค์ บทที่ 53 ปีศาจเฒ่าถงปี่
บทที่ 53 ปีศาจเฒ่าถงปี่
ร่างของเยี่ยฉวนอ่อนยวบและพลิ้วไหวไปมาประหนึ่งใบหลิวไร้กระดูก ปราณกระบี่อันรุนแรงและรวดเร็วปะทะเข้าใบหน้าแต่คมดาบกลับปัดผ่านเขาไป
เยี่ยฉวนหยุดเคลื่อนไหวหลังหลบการโจมตีจากกระบี่ได้ถึงสิบเจ็ดครั้ง
เส้นผมยาวสลวยลอยลงมาจากฟ้าอย่างเชื่องช้า เสียงสายฟ้ายังคงดังแว่วอยู่ในอากาศ
ทุกคนต่างเบิกตากว้าง หัวใจสั่นระรัว
ในการต่อสู้ระหว่างหงลี่และเยี่ยฉวนนั้น ฝ่ายหนึ่งโจมตีอย่างเชี่ยวชาญและว่องไวราวสายฟ้าฟาดด้วยพลังอันแข็งแกร่ง ส่วนอีกฝ่ายเคลื่อนไหวร่างกายหลบหลีกเป็นเลิศจนผู้คนอดไม่ได้ที่จะชื่นชม แม้จะหวาดเสียวจนน่าใจหายแต่ก็ยังไม่เพลี่ยงพล้ำ!
“ดี ทักษะดีทีเดียว ศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักหมอกเมฆาก็พอมีฝีมืออยู่บ้าง”
หงลี่ก้าวขึ้นมาข้างหน้าก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชาราวน้ำแข็ง จิตสังหารแผ่ซ่านหนาแน่นขึ้น “แต่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ประสาอะไรบรรลุเพียงขั้นอูเจ๋อ ยังไม่บรรลุถึงขั้นซิวฉือเสียด้วยซ้ำ ช่างเป็นความน่าอัปยศของสำนักยิ่ง ไอ้หนู วันนี้ต้องเป็นวันตายของเจ้า!”
แววตาของหงลี่ทอประกายวูบไหว เตรียมยกกระบี่หนักอึ้งในมือขึ้นอีกครั้ง
“ช้าก่อน!”
เยี่ยฉวนมองหงลี่ก่อนจะพูดอย่างไม่ยินดียินร้าย “วันนี้เจ้าจะสู้ให้ตายกันไปข้างหนึ่งจริงๆ หรือ?”
“ไม่ วันนี้เจ้าคือคนที่ต้องตาย ส่วนข้าคือผู้รอด” หงลี่ก้าวขาออก สีหน้าโหดเหี้ยมแสดงให้เห็นว่าเขากำลังเตรียมโจมตีขั้นรุนแรง แม้จะดูผ่ายผอม ร่างเล็ก และอัปลักษณ์ แต่รังสีที่แผ่ออกมาจากตัวเขาในตอนนี้คือพลังของปรมาจารย์ผู้สูงส่งยากจะมีผู้ใดกล้าดูหมิ่น
“เรามีความแค้นเข่นฆ่ากันมาตั้งแต่สมัยบิดาหรืออย่างไร?” เยี่ยฉวนเอ่ยถาม
“ไม่!”
“หรือเรามีผลประโยชน์ทับซ้อนอันใดต้องแก่งแย่งกัน?” เยี่ยฉวนถามขึ้นอีกครั้ง
“ไม่”
“ดี ข้าเข้าใจแล้ว”
เยี่ยฉวนมองดูหงลี่ผู้หยิ่งผยองที่กำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตรงหน้าก่อนจะมองดูโท่วป่าเซียงเนียวผู้นุ่มนวลอ่อนหวานราวกับสายน้ำเย็น เขาเข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างทันที
แม้สำนักหมอกเมฆาและสำนักเครื่องนิลจะไม่ลงรอยกันประหนึ่งน้ำกับไฟ ทว่าศิษย์ในสำนักไม่เคยต่อสู้ชี้เป็นชี้ตายกันตั้งแต่แรกพบหน้า การที่หงลี่เหี้ยมโหดถึงเพียงนี้ไม่ใช่เพราะเขาเกลียดชังเยี่ยฉวนเป็นการส่วนตัวหรือมีผลประโยชน์ทับซ้อนอันใด แต่เห็นได้ชัดว่าเขาชอบพอโท่วป่าเซียงเนียวผู้เพิ่งกลับจากการเดินทางไกลหลายปี จึงร้อนรุ่มไปด้วยไฟโทสะเมื่อได้ยินว่านางเป็นภรรยาของเยี่ยฉวน
“ปล่อยเคล็ดวิชาที่ทรงพลังที่สุดของสำนักหมอกเมฆามาเสีย! ยังไงวันนี้เจ้าก็ต้องตาย!” แม้หงลี่จะเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารแต่กลับไม่เข้าจู่โจมทันที เขาจงใจให้เยี่ยฉวนอับอายขายหน้าก่อนจะปลิดชีพเสียเพื่อแสดงความน่าเกรงขามต่อหน้าหญิงงาม
หงลี่รู้ดีว่ารูปร่างหน้าตาของเขาเป็นข้อด้อย ด้วยเหตุนี้จึงรู้สึกต่ำต้อยและไม่กล้าเอ่ยปากบอกความในใจให้ดอกไม้งามอย่างโท่วป่าเซียงเนียวได้รับรู้ วันนี้การมาของเยี่ยฉวนกระตุ้นความเกลียดชังและโกรธแค้นในจิตใจของเขาเสียตั้งแต่ยังไม่พบหน้า แต่สำหรับเขาแล้วก็ถือเป็นโอกาสอันดีเช่นกัน
การฆ่าเยี่ยฉวนไม่เพียงเป็นการแก้แค้นให้โท่วป่าเซียงเนียว แต่ยังทำให้เขามีโอกาสกลบข้อด้อยของตนพร้อมทั้งแสดงความแข็งแกร่งและสง่างามต่อหน้านาง
“ระวังฝ่ามือของข้าไว้ให้ดี”
เยี่ยฉวนพยักหน้า ฝ่ามือฟาดไปยังความว่างเปล่า แต่ร่างของเขากลับผละถอยหลังไปก่อนจะหัวเราะสุดเสียง “อยากจะสู้ชี้เป็นตายกับข้าอย่างนั้นหรือ จับข้าให้ได้เสียก่อนเถอะแล้วค่อยว่ากันใหม่! แล้วพบกันแม่นางตัวขาวของข้า ฮ่าๆๆ”
เยี่ยฉวนระเบิดเสียงหัวเราะลั่นก่อนจากไปอย่างรวดเร็ว
“อย่าหนีไอ้สารเลว ถ้าแน่จริงก็อย่าหนี!” โท่วป่าเซียงเนียวกระทืบเท้าและไล่ตามเขาด้วยความโกรธระคนอับอาย
การที่เยี่ยฉวนหนีมาเช่นนี้ไม่ได้เป็นการเสียเปรียบจนเกินไปนัก ในเมื่อเขาเห็นทุกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้วจึงคิดหลบหนีจะถือว่าเสียเปรียบได้อย่างไร?
เยี่ยฉวนสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะเร่งฝีเท้าขึ้น เขายิ้มชั่วร้ายเมื่อหันไปเห็นโท่วป่าเซียงเนียวไล่ตามมา “ว่าอย่างไร? ภรรยาของข้า เจ้าไม่อยากพรากจากสามีสุดที่รักถึงเพียงนี้เชียวหรือ? หรือรีบเร่งอยากจะเข้าเรือนหอกับสามีคนนี้กันล่ะ?”
“ไอ้คนบัดซบ ข้า…” โท่วป่าเซียงเนียวร้อนรนเต็มทนเมื่อได้ยินเยี่ยฉวนเรียกนางว่าภรรยาในที่แจ้ง อับอายเสียจนแทบแทรกแผ่นดินหนีและเกือบจะหยุดฝีเท้าลง
ทันใดนั้นเอง เสียงแสบแก้วหูดังก้องขึ้น
หงลี่ไม่ได้เอ่ยคำใดแต่ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความโกรธจนแทบพ่นควันออกทวารทั้งเจ็ด กระบี่อสนีพิฆาตในมือรวดเร็วเสียจนเสียงสายฟ้าฟาดหายไปและถูกแทนที่ด้วยเสียงกัมปนาทดังกึกก้องบาดหู สองเท้าออกแรงพุ่งทะยานตรงไปหาเยี่ยฉวนหมายจะฟาดฟันให้ตัวขาดเสีย
เข้ามา!
เข้ามาตอนนี้เลย!
เยี่ยฉวนผู้กำลังหนีเพื่อรักษาชีวิตหันกลับมาเผชิญหน้ากับหงลี่ผู้มีจิตสังหารแรงกล้าอย่างไม่ไหวหวั่น เขาดีดนิ้วทันทีที่กระบี่อสนีพิฆาตฟาดลงมา ทันใดนั้นอากาศกลับบิดเบี้ยวและกระเพื่อมออกไปเป็นระลอก ใจกลางคลื่นนั้นปรากฏนิ้วมือขนาดมหึมาผุดขึ้นในอากาศและพุ่งเข้าใส่กระบี่ในมือของหงลี่
หัตถ์มารลวงตา!
เยี่ยฉวนเปิดการโจมตีอย่างฉับพลันและโคจรยันต์กลืนกินสวรรค์เพื่อปล่อยกระบวนท่ารุนแรงถึงชีวิต
การวิ่งหนีเป็นเพียงแค่เหยื่อล่อ และการร้องเรียกแม่นางตัวขาวก็ทำไปเพื่อยั่วยุหงลี่เท่านั้น เมื่ออีกฝ่ายโมโหจนไม่ทันระวังก็เปิดฉากโต้กลับทันที
“ระวัง!”
โท่วป่าเซียงเนียวและเหล่าทหารอารักขาแห่งสำนักเครื่องนิลร้องขึ้นด้วยความตระหนก เยี่ยฉวนไม่เพียงลงมือทีเผลอหากแต่เป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งและน่ากลัวอีกด้วย
ศิษย์ขั้นอูเจ๋อใช้เคล็ดวิชาเช่นนี้ได้อย่างไร?
ผู้คนต่างตกตะลึงและสับสน แม้ครุ่นคิดจนหัวแทบแตกก็ไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น
“ฮ่าๆๆ เป็นแค่ตั๊กแตนตำข้าวแต่คิดจะไปหยุดรถม้าอย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ”
ผู้คนร้องด้วยความตระหนกแต่หงลี่ใจกล้ายิ่งนัก เขาไม่หลบหลีกซ้ำยังเร่งความเร็วเข้าปะทะตรงๆ ด้วยกระบี่อันทรงพลัง “เปรี้ยง!” เสียงดังก้องก่อนที่กระบี่อสนีพิฆาตในมือของเขาจะสั่นระรัวแทบหลุดจากมือ เยี่ยฉวนตกใจราวกับไฟฟ้าแล่นผ่านร่าง ใบหน้ากลับซีดเผือด นิ้วมือใหญ่ยักษ์ในอากาศหายไปอย่างไร้ร่องรอย
อำนาจของหัตถ์มารลวงตานั้นน่าเกรงขามยิ่ง เคราะห์ร้ายที่ขั้นการฝึกตนในปัจจุบันของเยี่ยฉวนยังต่ำเกินไป ด้วยพลังจากยันต์กลืนกินสวรรค์ก็พอจะฝืนใช้ข่มขู่ผู้คนได้ด้วยความพยายามอย่างหนัก แต่เห็นได้ชัดว่ายังไม่เพียงพอหากต้องการสร้างบาดแผลให้ระดับปรมาจารย์อย่างหงลี่
อย่างไรก็ตามเยี่ยฉวนได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว หัตถ์มารลวงตายังไม่ใช่ท่าไม้ตาย ท่าไม้ตายที่แท้จริงนั้นยังมาไม่ถึงต่างหาก
หงลี่ระเบิดเสียงหัวเราะลั่นหลังสกัดกั้นการโจมตีของเยี่ยฉวนอย่างง่ายดาย เขากระชับกระบี่ในมือก่อนจะพุ่งเข้าหาเยี่ยฉวนอีกครั้ง เมื่อกำลังจะฟาดฟันอีกฝ่ายอย่างไร้ความปรานีนั้นพลันเกิดสายลมเย็นเยียบพัดผ่านลำคอ เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายจึงล่าถอยอย่างรวดเร็ว เมื่อถอยออกมาต่อเนื่องสามเมตรจึงเห็นแสงวาบสีทองบนท้องฟ้าเข้าไปในร่างของเยี่ยฉวน สิ่งนี้ไม่ใช่กระบี่บินแต่มันยอดเยี่ยมกว่านั้น
ตามแผนของเยี่ยฉวนแล้วราชันจักจั่นทองคำคือท่าไม้ตายที่แท้จริง แม้หงลี่จะเป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักเครื่องนิล แต่ด้วยความประมาททำให้เขาเกือบตกหลุมพรางและเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ!
“ภรรยาของข้า คราวหน้าที่พบกันอย่าร้องโวยวายให้ตีให้ฆ่าเช่นนี้อีกล่ะ ภรรยาไม่ควรออกคำสั่งกับสามี หากเจ้าไม่เชื่อฟังข้าจะตีก้นเจ้าซะ”
เยี่ยฉวนแอบเสียดาย ใบหน้าของหงลี่ซีดเผือดและกระแสความแปรปรวนของพลังงานในร่างกลับพุ่งสูง แต่เยี่ยฉวนไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย เขามองโท่วป่าเซียงเนียวด้วยรอยยิ้มอยู่เพียงครู่ก่อนจะเดินวางท่าจากไป หงลี่หมายจะไล่ตามแต่กลับพลาดโอกาสไปเสียแล้ว ทำได้เพียงมองดูแผ่นหลังของเยี่ยฉวนไกลออกไปอย่างหมดท่า
เยี่ยฉวนโคจรยันต์กลืนกินสวรรค์และพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วเต็มที่ ความเร็วนั้นว่องไวเสียจนปรมาจารย์ขั้นซิวฉือยังมองเห็นเพียงฝุ่นและไม่มีหวังจะไล่ตามได้ทัน!
อย่างไรก็ตาม เมื่อเยี่ยฉวนคิดว่าตนหนีพ้นแล้วก็พลันสัมผัสถึงบางสิ่ง เขาหยุดฝีเท้าและมองไปข้างหน้าอย่างระแวดระวัง
“ฮ่าๆๆ ไม่เลวเด็กน้อย เจ้ารอบคอบนักซ้ำยังมีฝีมือดี ไม่ใช่ความล้มเหลวเสียทีเดียวหรอก แต่หยามเกียรติสำนักเครื่องนิลของพวกข้าแล้วคิดว่าจะหนีไปได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?”
เสียงแหบพร่าดังขึ้นในความมืด ชายชราไว้หนวดเคราสีหงอกก้าวออกมาจากความมืด รูปร่างของเขาเตี้ยสั้นราวกับเด็กแต่กลับมีแขนที่ยาวมากจนแทบลากกับพื้น บนบ่ามีหม้อสัมฤทธิ์หนักกว่าหนึ่งหมื่นจิน ทุกย่างก้าวของเขาทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนและทิ้งรอยเท้าลึกไว้บนพื้นดินเบื้องหลัง
“เซียงเนียวจึงต้อนรับผู้เฒ่าถงปี่!”
“พวกเราจึงทำความเคารพอาวุโสผู้พิทักษ์!”
ผู้คนในสำนักเครื่องนิลต่างโค้งคำนับแสดงความเคารพโดยพร้อมเพรียงกันเมื่อเห็นชายแก่ท่าทางประหลาดผู้นี้
แรงกดดันหนาแน่นแพร่กระจายไปในอากาศและกดทับเยี่ยฉวนไว้ เกิดเสียงแตกดังขึ้นก่อนที่กระดูกสันหลังของเยี่ยฉวนจะถูกบังคับให้โก่งโค้ง
เขาเพิ่งหลบหนีอันตรายจากการตามล่าของหงลี่ศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักเครื่องนิลมาได้ไม่ทันไรก็ต้องเผชิญกับศัตรูที่น่าเกรงขามยิ่งกว่า อาวุโสผู้พิทักษ์แห่งสำนักเครื่องนิลผู้เป็นที่รู้จักในนาม ปีศาจเฒ่าถงปี่ ได้เข้ามาขวางทางเขาเอาไว้เสียแล้ว!