ขุนศึกสยบสวรรค์ บทที่ 33 หากศิษย์น้องหญิงมีเรื่องอันใด อย่าลืมมองหาข้า
บทที่ 33 หากศิษย์น้องหญิงมีเรื่องอันใด อย่าลืมมองหาข้า
เรื่องที่เยี่ยฉวนมาเยือนเพื่อท้าประลองและเอาชนะกงซุนเยี่ยและพรรคพวกแพร่กระจายไปทั่วสำนักหมอกเมฆาอย่างรวดเร็ว บรรดาผู้คนที่พร้อมก่อความวุ่นวายและกำลังรอคอยผลการสอดแนมยอดเขาเมฆาอินทนิลหลังจากได้ยินข่าวลือนี้ต่างพากันล่าถอย และเลือกที่จะเฝ้าจับตาดูแทน
ยามเย็น ยอดเขาเมฆาอินทนิลกลับสู่ความเงียบสงบ ไร้วี่แววของแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
วันถัดมา หลังข่าวสารอันน่าอัศจรรย์ได้แพร่กระจายออกไป ความปรารถนาแรงกล้าของผู้คนกลับฟื้นคืนอีกครั้ง
ยามเช้าตรู่ เยี่ยฉวนออกทุบตีกงซุนเยี่ยและพวกอีกครั้ง เมื่อวานเขาสู้ในนามของการประลองที่มีขึ้นทุกห้าวัน ในยามนี้เขาสู้ในนามของศิษย์พี่ใหญ่ผู้ประเมินผลการฝึกตนของบรรดาศิษย์ในสำนักและอ้างว่านี่คือกฎของศิษย์พี่ใหญ่ เมื่อเหอไท่ซวีและเหล่าปรมาจารย์เร่งรุดมาที่นี่ เขาก็จากไปไกลแล้ว
เหอไท่ซวีสบกรามแน่นอย่างแค้นเคือง สีหน้าของจินจื่อคุนที่ยืนอยู่เบื้องหลังนั้นยิ่งไม่น่ามอง กงซุนเยี่ยและพรรคพวกอยากร่ำไห้ให้กับความประมาทเลินเล่อของตนแต่กลับไม่มีน้ำตาไหลออกมา
การเอาชนะพวกเขาเพียงครั้งเดียวยังไม่สาสมกับความโกรธเคืองของเยี่ยฉวน เขาจึงกลับมาสู้อีกครั้งในวันถัดมา แล้ววันถัดไปจากนี้เล่า? เขาจะไม่ปล่อยให้ผู้คนอยู่กันอย่างสงบสุขเลยหรือ?
พวกเขารู้สึกเศร้าสลดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ หากล่วงรู้ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น ต่อให้ยอดเขาเมฆาอินทนิลมีภูเขาทองคำพวกเขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว!
หลังเรื่องนี้แพร่ออกไป ผู้คนที่อยากลงมือเต็มแก่ก็กลับกลัวหัวหดไม่กล้าแสดงท่าทีผลีผลาม หลายคนเริ่มตระหนักว่านี่คืออุบายอันแยบยลของที่ปรึกษาเหอไท่ซวีที่หลอกใช้และเกือบทำให้พวกเขาตกหลุมพราง
ด้วยเหตุนี้ แผนลวงอันชาญฉลาดของเหอไท่ซวีจึงล้มเหลว
เหอไท่ซวีผู้เย่อหยิ่งและมั่นใจยิ่งว่าแผนของตนจะไม่ผิดพลาดกำลังพบเจอกับความผิดหวังอย่างรุนแรง แม้วิธีการของเยี่ยฉวนจะโหดร้ายไปสักหน่อยแต่กลับได้ผลดีเกินคาด!
ในตอนนี้เหอไท่ซวีจอมบงการซ่อนกายอยู่ในความมืด คิ้วขมวดเป็นปมด้วยความหดหู่ใจ ทว่าความทรมานของเขาเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น
ข่าวลือที่น่าตกใจกว่าเดิมแพร่กระจายไปทั่วทั้งสำนักหมอกเมฆา
ลือกันว่าผู้ใดปราบเหอไท่ซวีได้ บุคคลผู้นั้นจะได้รับรางวัลจากศิษย์พี่ใหญ่ ยิ่งวิธีการโหดเหี้ยมมากเพียงใด รางวัลยิ่งใหญ่ขึ้นมากเท่านั้น
เยี่ยฉวนไม่ได้ปฏิเสธหรือยอมรับข่าวลือจากเหอไท่ซวีที่ว่าเขาได้รับสมบัติที่ซุกซ่อนไว้ในแดนสวรรค์ เขาเพียงแต่โต้กลับอย่างไร้ความปรานีเท่านั้น ข่าวลือจากเจ้าอ้วนจ้าวต้าจื่อแพร่กระจายไปทั่วสำนัก ศิษย์มากมายที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งต่างคิดแผนการเพื่อลงมือทันที ตาเฒ่าเหอไท่ซวีนั้นมีชื่อเสียงย่ำแย่ กาลก่อนเขาระรานผู้อื่นโดยหลบอยู่หลังจินหัว ไม่นานนักก็มีข่าวว่าเขาถูกผู้สวมหน้ากากโจมตีราบคาบขณะออกไปเดินเตร่
ผู้คนพูดคุยถึงเรื่องนี้อย่างออกรส และในขณะที่พากันสงสัยว่าข่าวนี้เป็นความจริงหรือไม่ แขกไม่ได้รับเชิญก็มาเยือน ณ สวนเมฆาอินทนิล เขามาเพื่อรับรางวัล
“เจ้ามาที่นี่เพื่อรับรางวัลหรือ?”
เยี่ยฉวนพินิจผู้สวมหน้ากากเบื้องหน้าก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “วางใจได้ ด้วยเกียรติของศิษย์พี่ใหญ่ ข้าย่อมรักษาคำพูดเสมอ รางวัลถูกตระเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่เจ้าจะพิสูจน์อย่างไรว่าเจ้าได้สั่งสอนบทเรียนแก่ตาเฒ่าเหอไท่ซวีแล้ว?”
ทั้งร่างของบุคคลลึกลับปกคลุมด้วยเสื้อคลุมสีดำตัวโคร่ง ใบหน้าถูกซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากผ้าสีดำที่เปิดให้เห็นเพียงดวงตาคมคู่โต จิตสังหารแผ่ออกมาจากดวงตาคู่นั้น หากเป็นคนธรรมดาคงไม่กล้ามองอีกฝ่ายตรงๆ แต่ไม่ทราบว่าด้วยเหตุใด สายตาหยั่งเชิงของเยี่ยฉวนกลับทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายอยู่ภายใน “จำเป็นต้องพิสูจน์ด้วยหรือ? เจ้าจะลงเขาไปถามผู้ใดก็ได้ นั่นยังไม่เพียงพออีกหรือ?”
“ไม่เพียงพอ ข้าอาจรู้ได้ว่าเหอไท่ซวีโดนทำร้ายหรือไม่ แต่ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเจ้าคือผู้ที่ทำร้ายเขา” เยี่ยฉวนสั่นศีรษะ “เว้นแต่เจ้าจะถอดเสื้อคลุมนั่นออกเสียและแสดงให้เห็นว่าเจ้าเป็นผู้มีเกียรติเพียงใด คงเป็นวิธีพิสูจน์ที่ดีไม่น้อย”
“ฮึ่ม… เจ้าคิดจะเล่นไม่ซื่ออย่างนั้นหรือ? เชื่อหรือไม่ว่าข้า…” สายตาเบื้องหลังหน้ากากกลับเย็นเยียบ จิตสังหารพุ่งสูง
ทว่าเยี่ยฉวนกลับสงบนิ่งราวกับไม่รู้สึกถึงการคุกคามจากคนตรงหน้าแม้แต่น้อย “เอาล่ะ ศิษย์น้องหญิงเจียเจีย อย่าโวยวายไปเลย”
“ฮึ่ม บ้าจริง ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเป็นข้า?” ผู้อยู่ภายใต้หน้ากากถอดผ้าสีดำที่ปกคลุมใบหน้าออกด้วยความหงุดหงิดเผยให้เห็นใบหน้าสะสวย
“ศิษย์น้องหญิง หน้ากากของเจ้านั้นปกปิดได้ดีเยี่ยม หากเจ้าไม่ถอดออกก็คงไม่มีใครจำเจ้าได้ หากแต่หน้าอกที่ใหญ่โตราวกับ ‘ลูกกระต่าย’ นั่นต่างหาก เจ้าจะไปหลอกผู้ใดได้? ต่อจากนี้หากเจ้าจะพรางตัว เจ้าควรคำนึงถึงเรื่องนี้ให้มากขึ้น...” เยี่ยฉวนส่ายศีรษะ มองดูอกอวบใหญ่ของจูซือเจียโดยเจตนาหรือไม่เจตนาไม่อาจทราบได้ ก่อนจะเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เขารู้ตัวตนของคนผู้นี้นับตั้งแต่วินาทีที่ย่างเข้าประตูมา ไม่เพียงเพราะขนาดของหน้าอกอันน่าทึ่ง แต่ยังเป็นเพราะกลิ่นกายหอมอ่อนๆ อันเป็นเอกลักษณ์อีกด้วย
“ข้าไม่สน ไม่ว่าอย่างไรข้าก็เอาชนะเขาได้แล้ว เอารางวัลออกมาเสียที” จูซือเจียแบมือด้วยความโมโห
ในฐานะศิษย์ชั้นเลิศของหอแปรธาตุ นางไม่พึงใจตาเฒ่าเหอไท่ซวีผู้นี้มานานแล้ว เมื่อข่าวลือจากจ้าวต้าจื่อแพร่ออกไปนางจึงเป็นคนแรกที่ลงมือ นัยหนึ่งเป็นเพราะนางสามารถระบายความขุ่นข้องใจด้วยการทำร้ายเหอไท่ซวีได้ แต่อีกนัยหนึ่งนางก็สงสัยใคร่รู้ว่าเยี่ยฉวนจะมอบรางวัลแบบใดให้
“เจียเจีย รอบเดือนครั้งล่าสุดเจ้ามาเมื่อใด? ข้าจำได้ว่ารอบเดือนเจ้าหนที่แล้วดูท่าจะไม่มาตามเวลา” จู่ๆ เยี่ยฉวนก็ถามขึ้น
“มาเมื่อวาน เร็วกว่าเวลาครึ่งเดือน… ไอ้คนชั่วช้า ไอ้บ้า เจ้า...” จูซือเจียตอบไปตามสัญชาตญาณ จนได้เห็นรอยยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงนึกขึ้นได้ว่านางถูกลวง นางฟาดมือไปทางเยี่ยฉวนสุดแรงด้วยโทสะระคนอับอาย กระแสลมเร็วแรงจากฝ่ามือทลายม้านั่งใต้ร่างของเยี่ยฉวนให้แตกเป็นชิ้นๆ แต่เยี่ยฉวนเบี่ยงตัวหลบไปข้างๆ อย่างรวดเร็วราวกับปลาช่อน
“ศิษย์น้องหญิง อย่าได้ขุ่นเคืองเลย”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยฉวนยิ่งสดใสขึ้นเมื่อมองดูสีหน้าโกรธเคืองด้วยความอับอายของจูซือเจีย แต่น้ำเสียงของเขากลับจริงจัง “เจียเจีย บอกความจริงมาเสีย เจ้ากินยาอสรพิษมังกรไปเท่าใด?”
“ไม่มาก มีปัญหาอะไรหรือ?” จูซือเจียฉงน พลางเอ่ยตอบตามสัญชาตญาณ
เรื่องที่นางกินยาอสรพิษมังกรนั้นเป็นความลับ แม้แต่ท่านปู่ที่อาศัยอยู่ด้วยกันก็ไม่อาจรู้ แต่เยี่ยฉวนรู้ได้อย่างไร?
จูซือเจียงุนงง ต้องการจะโจมตีเยี่ยฉวนต่อ แต่ท่าทีจริงจังของเขาบังคับให้นางต้องหยุด
“ยาอสรพิษมังกรนั้นเป็นยาแรง ช่วยเติมเต็มพลังปราณ เพิ่มโลหิต และก่อรากฐาน ทว่าหากกินมากเกินไปก็เป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างยิ่ง เจียเจีย เหตุใดเจ้าจึงกินไปมากมายเพียงนั้น? ช่วงนี้เจ้ารู้สึกปวดท้องน้อยรุนแรงโดยไม่มีสาเหตุบ้างหรือไม่?” เยี่ยฉวนขมวดคิ้วพลางมองไปที่ร่างร้อนเป็นไฟของจูซือเจียอย่างเป็นกังวล เพียงแวบเดียวอดีตนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่เชี่ยวชาญด้านการซ่อนเร้นสวรรค์อย่างเขาก็รู้ว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับจูซือเจีย เขาจึงเตือนนางได้ทันท่วงที
“ใช่ ข้าปวดท้องน้อยหนักมากในบางครั้ง ข้า...ข้าบังเอิญพบว่ายาอสรพิษมังกรช่วยให้รอบเดือนสั้นลงได้ และเมื่อการประลองอันยิ่งใหญ่ใกล้เข้ามา ข้าอยากใช้เวลาทุกนาทีไปกับการฝึกตน ข้าจึง…” แววตาของจูซือเจียวูบไหว ตอนนี้นางเริ่มเชื่อคำพูดของเยี่ยฉวนขึ้นมาบ้างแล้ว พักหลังนางมักปวดท้องน้อยหนักโดยไม่ทราบสาเหตุ นางเอื้อนเอ่ยด้วยใบหน้าขึ้นสีเรื่อ หัวใจสั่นรัวราวกับมีลูกกวางกระโดดเข้าออก
“การประลองยิ่งใหญ่สำคัญมากก็จริง แต่ร่างกายเป็นรากฐานของทุกสิ่ง เจ้าไม่ควรให้ค่ากับเรื่องเล็กน้อยเหนือปัจจัยพื้นฐาน หากเจ้ากินยาอสรพิษมังกรมากเกินไป ผลข้างเคียงอย่างเบาจะทำให้ร่างกายเจ้าอ่อนแอลงและทำให้ปราณและโลหิตปั่นป่วน หนักไปกว่านั้นคือจะกระตุ้นจิตมารของเจ้า เจียเจีย ต่อไปนี้อย่าได้กินยาอสรพิษมังกรตามอำเภอใจอีก” เยี่ยฉวนเตือน ความคิดหนึ่งพลันผุดขึ้นในหัวเขาก่อนจะพิเคราะห์ดูจูซือเจียและยิ้มอย่างมีเลศนัย
มีอีกเรื่องที่เขาไม่ได้กล่าว การกินยาอสรพิษมังกรมากเกินไปไม่เพียงมีผลร้ายต่อร่างกาย หากแต่ยังมีผลข้างเคียงทำให้อารมณ์แปรปรวนได้โดยง่าย ในบรรดาสรรพสิ่งนับพันที่สวรรค์สร้าง ลักษณะนิสัยของมังกรและอสรพิษนั้นมากไปด้วยตัณหาและไร้กฎเกณฑ์ หากกินยาอสรพิษมังกรพร่ำเพรื่อราวกับกลืนเมล็ดแตงย่อมมีผลข้างเคียงตามมาแน่ ไม่แปลกที่จูซือเจียมีอารมณ์แปรปรวนอย่างรุนแรงในช่วงสองวันที่ผ่านมา ซ้ำยังแลดูเปล่งปลั่งและกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว คราวนี้เอารางวัลของข้าออกมาเสียที!” จูซือเจียตะคอก สีหน้านางแปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นเพื่อซ่อนเร้นความเขินอายไว้ภายใน
“ข้าชี้แนะเจ้าให้เลี่ยงการกินยาอสรพิษมังกรมากเกินไปจนเกิดจิตมาร นี่ไม่ใช่รางวัลที่ดีที่สุดหรอกหรือ?” เยี่ยฉวนสั่นศีรษะพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หากศิษย์น้องหญิงคิดว่ารางวัลนี้ไม่เพียงพอ เจ้าจะอยู่ในสวนเมฆาอินทนิลนี้ต่อไปก็ย่อมได้ ศิษย์พี่ใหญ่อย่างข้าจะชี้แนะเจ้าทุกวันและถ่ายทอดเคล็ดวิชาการฝึกตนอันไม่มีผู้ใดเทียบได้”
“ช่างหัวเคล็ดวิชาการฝึกตนอันไม่มีผู้ใดเทียบได้ของท่านเถอะ เจ้าคนขี้เหนียว ร้ายกาจ ฮึ่ม…” จูซือเจียพ่นลมหายใจไม่กี่ครั้งก่อนจะสะบัดสะโพกเพรียวจากไป นึกดูแล้วสิ่งที่เยี่ยฉวนกล่าวนั้นเป็นความจริงทุกประการ คำเตือนของเขามาถูกเวลาพอดีและมีประโยชน์นักเมื่อเทียบกับการถ่ายทอดเคล็ดวิชาการฝึกตน ไม่เช่นนั้นแล้วหากเกิดปัญหาใหญ่ในการฝึกตนคงสายเกินแก้
“ศิษย์น้องหญิง หากเจ้ารู้สึกไม่สบายจงรีบมาพบศิษย์พี่ใหญ่คนนี้ ข้ายินดีเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วย…”
เยี่ยฉวนเดินตามจูซือเจียออกไปหน้าประตู มองตามแผ่นหลังของนางก่อนจะแสยะยิ้มชั่วร้าย
จูซือเจียหันมาเห็นรอยยิ้มพิลึกบนใบหน้าของเขาพอดี นางไม่เข้าใจว่ารอยยิ้มนั้นหมายความอย่างไร แม้จะหยุดใคร่ครวญไปพักหนึ่งก็ยังไม่เข้าใจ จึงอดไม่ได้ที่จะโกรธเกรี้ยวมากขึ้นไปอีก นางหอบหายใจด้วยความฉุนเฉียวก่อนจะเร่งฝีเท้าจนบั้นท้ายส่ายไปมา ในที่สุดนางก็คว้ากระบี่แก้วอุ้มสุวรรณขึ้นมาเหยียบก่อนจะหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
“แม่สาวน้อย บัดนี้นางทั้งห้าวหาญและฮึกเหิม อีกทั้งยังน่าลิ้มลองมากขึ้นถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
เยี่ยฉวนแย้มยิ้ม ความรู้สึกของการได้มีชีวิตอีกครั้งช่างแสนวิเศษ เขาพึงพอใจชีวิตและความรู้สึกเช่นนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ในยามนี้ราชันจักจั่นทองคำบินมาเกาะที่ฝ่ามือของเขา ปีกทั้งสองบางเฉียบและแหลมคมกว่าแต่ก่อน เขาเป่าลมแผ่วเบาเพียงครั้งเดียว สหายตัวน้อยก็กลับกลายเป็นแสงสีทองบินจากไปเพื่อออกลาดตระเวนภูเขาต่อไป