ขุนศึกสยบสวรรค์ บทที่ 7 เจ้าเจอปัญหาใหญ่แล้ว!
บทที่ 7 เจ้าเจอปัญหาใหญ่แล้ว!
เยี่ยฉวนเดินสำรวจยอดเขาเมฆาอินทนิลหลังจ้าวต้าจื่อกลับไป อยู่ครูู่ใหญ่ คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่นเมื่อตระหนักถึงความจริงบางอย่าง
สถานการณ์แมลงวันอสูรนั้นเลวร้ายกว่าที่เขาคาดไว้
เพียงชั่วข้ามคืน สมุนไพรมากมายบนเทือกเขาเมฆาอินทนิลเหี่ยวเฉาและตายไป
ค่ายกลกักวิญญาณของสำนักหมอกเมฆานั้นมีเอกลักษณ์พิเศษเพราะถูกสร้างขึ้นเพื่อหล่อเลี้ยงและปกป้องสมุนไพร ในขณะเดียวกันพลังวิญญาณของสมุนไพรที่แผ่ออกมาจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับค่ายกลเช่นกัน จึงเกิดเป็นวงจรที่พึ่งพากันและกัน
เหล่าศิษย์ทั้งหลายรู้จักค่ายกลนี้ในชื่อ ค่ายกลวิญญาณโอสถ เยี่ยฉวนได้ก่อตั้งมันขึ้นมาและส่งมอบแก่ราชาโอสถหัตถ์วิญญาณ ผู้ส่งมอบให้กับศิษย์สายตรงของเขาจากรุ่นสู่รุ่น
แต่น่าเสียดายที่ศิษย์ของราชาโอสถหัตถ์วิญญาณไม่สามารถฝึกฝนการสร้างค่ายกลได้ ด้วยเวลาที่ผ่านล่วงเลยกว่าล้านปีทำให้บางส่วนของเคล็ดวิชาสูญหายไป
ตอนนี้ค่ายกลวิญญาณโอสถบนยอดเขามีข้อบกพร่องมากจึงทำให้แมลงวันอสูรสามารถล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่แห่งนี้ได้โดยง่าย
ปัญหาทั้งหมดในตอนนี้เกิดจากแมลงวันอสูรทั้งสิ้น พวกมันกัดกินสมุนไพรบนยอดเขาจนตายตกเกือบหมดทำให้ประสิทธิภาพของค่ายกลเสื่อมถอยและเป็นเหตุให้เหล่าศิษย์ทั้งหมดต้องฝึกฝนหนักกว่าเดิมถึงสองเท่า หากยังเป็นเช่นนี้ นอกจากจะทำภารกิจขององค์จักรพรรดิไม่สำเร็จแล้วความแข็งแกร่งของสำนักก็มีแต่จะเสื่อมถอยเช่นกัน
“กระต่ายเฒ่าเอ๋ยกระต่ายเฒ่า... ยามนั้นข้าช่วยเจ้าก่อตั้งสำนัก ยามนี้ข้าก็ยังต้องช่วยสำนักของเจ้าผ่านภัยพิบัติที่กำลังเผชิญอยู่อีกหรือ?”
เยี่ยฉวนลอบบ่นถึงสหายเก่าในใจ
หลายล้านปีก่อน แม้ว่าความแข็งแกร่งของราชาโอสถหัตถ์วิญญาณจะด้อยกว่าผู้อื่นอีกทั้งยังเงอะงะ ตะกละและบ้ากาม แต่ก็เป็นผู้ติดตามที่ภักดียิ่ง เขาคือคนแรกที่โผล่มาช่วยเหลือเยี่ยฉวนไม่ว่าจะเกิดปัญหาใดก็ตาม
หลังจากผ่านมานานหลายล้านปี เยี่ยฉวนก็หลุดออกจากสุสานเทพเจ้าและกลับมาที่สำนักหมอกเมฆาก็ไม่พบแม้แต่เบาะแสของกระต่ายเฒ่าเสียแล้ว เขาไม่รู้ว่าว่ากระต่ายเฒ่ากำลังอยู่ในสถานที่ลับเพื่อฝึกฝนอย่างสันโดษหรือสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดแห่งสวรรค์และปฐพีจนสามารถออกไปท่องโลกกว้างได้แล้ว
ในที่สุดเยี่ยฉวนก็ฟื้นคืนสติหลังจากดำดิ่งในความคิดอยู่นาน
เพียงมองปราดเดียวเยี่ยฉวนก็รู้วิธีแก้ปัญหาค่ายกลตรงหน้า แต่การซ่อมแซมนั้นต้องใช้ปราณจิตจำนวนมาก หากยังไม่ก้าวเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋าก็ไม่อาจทำได้ ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะต้องเร่งฝึกตนเสียแล้ว
เยี่ยฉวนเดินกลับมาที่ห้องของตัวเองพลางจับจ้องขวดแก้วบนโต๊ะ แมลงวันอสูรบินไปมาอยู่ในขวดแก้วอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เขาพึมพำกับตนเองครู่หนึ่งก่อนจะหยดของเหลวบางอย่างลงไป
แม้จะถูกทำให้เชื่องได้แต่เยี่ยฉวนก็ไม่ได้คิดจะฝึกมันเป็นผู้ช่วยเหลืออันแข็งแกร่งแต่อย่างใด ถึงแมลงวันอสูรจะเป็นแมลงกลายพันธ์ุแห่งดินแดนรกร้างแต่พลังจากพรสวรรค์โดยกำเนิดของมันนั้นมีจำกัด ไม่ว่าเยี่ยฉวนจะฝึกฝนมันมากเพียงใดก็ไม่อาจแข็งแกร่งไปกว่านี้ได้ คงดีกว่าหากเก็บมันไว้ทำภารกิจอื่นที่เหมาะสม
“มหันตภัยก็เหมือนพายุหมุน เมื่พายุพัดผ่านมาจะเหลือเพียงหญ้าน้อยเท่านั้นที่อยู่รอด เช่นนั้นก็ปล่อยพายุลูกนี้โหมกระหน่ำเถอะ!”
คิดได้ดังนั้น เยี่ยฉวนจึงนั่งลงและเริ่มเข้าสู่สมาธิ
เยี่ยฉวนไม่เกรงกลัวมหันตภัยใดเนื่องจากเคยเป็นมหาปราชญ์ผู้ซ่อนเร้นสวรรค์ด้วยฝ่ามือมาก่อน สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดตอนนี้คือเวลาในการซ่อนตัวในสำนักหมอกเมฆาเพื่อฝึกตนให้แข็งแกร่งเช่นเดียวกับต้นหญ้าที่ยิ่งผ่านฝนก็ยิ่งงอกงาม และเมื่อถึงเวลาสุกงอม เขาจะมองข้ามดินแดนรกร้างและทำให้โลกทั้งใบสั่นสะเทือนอยู่แทบเท้าอีกครั้ง!
เมื่อเทียบกับวันก่อนแล้ว ปราณวิญญาณพิสุทธิ์ที่แทรกซึมอยุ่ในอากาศนั้นอ่อนแอกว่าเดิมเล็กน้อย
เยี่ยฉวนปลดปล่อยขีดจำกัดพลังในร่างกายและเริ่มปล่อยเคล็ดวิชาขัดเกลาปีศาจกลืนกินสวรรค์เพื่อดูดกลืนปราณวิญญาณฟ้าดินในระยะหนึ่งกิโลเมตรเข้ามา ไม่นานก็มีรังสีเแวววาวปรากฏขึ้นบนร่างกาย มันส่องสว่างจากผิวหนังไปยังกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นจนกระทั่งปกคลุมไปทั่วทั้งร่าง ความแวววาวของแสงนี้ทวีความรุนแรงและค่อยๆ ไหลซึมเข้าไปในกระดูกหลายร้อยชิ้น ในขณะที่กล้ามเนื้อแข็งแกร่งขึ้นเส้นเอ็นและกระดูกก็กระทบกันดังลั่นทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นมีพลัง ผลึกเส้นโลหิตมังกรในรกายแผ่รังสีพลังชีวิตเข้มข้นออกมา
นี่คือการขัดเกลาไขกระดูก!
ขั้นอูเจ๋อระดับที่ห้า!
ขณะนี้เยี่ยฉวนฝึกฝนวิชาขัดเกลาปีศาจกลืนกินสวรรค์จนบรรลุไปอีกระดับขั้น…
เยี่ยฉวนโคจรเคล็ดวิชาขัดเกลาปีศาจกลืนกินสวรรค์และฝึกตนจนบรรลุไปอีกขั้น พลังปราณไหลเวียนในจุดตันเถียนขณะที่ยันต์กลืนกินสวรรค์นั้นสมบูรณ์ขึ้น!
แม้แต่เยี่ยฉวนผู้เคยเป็นมหาปราชญ์ผู้ซ่อนเร้นสวรรค์ยังรู้สึกอัศจรรย์กับเคล็ดวิชาโบราณที่ถูกฝังอยู่ในสุสานเทพเจ้านี้ ความเร็วในการฝึกตนของเขานั้นลดลงอย่างมากหลังโดนกักขังอยู่ในสุสานเทพเจ้าอีกทั้งยังมาจุติในร่างกายของมนุษย์ธรรมดา ครรภ์ธรรมดา และชีวิตธรรมดา มิฉะนั้นเขาคงฝึกฝนจนบรรลุได้เร็วกว่านี้อีกเป็นแน่
เมื่อบรรลุถึงขั้นอูเจ๋อระดับที่ห้าเยี่ยฉวนก็หยุดพักและเริ่มโคจรผลึกเส้นโลหิตมังกรเพื่อขัดเกลากล้ามเนื้อและกระดูกทันที
แม้ผู้คนจะมองว่าเยี่ยฉวนจะมีท่าทีผ่อนคลายในระหว่างการประลองกับจ้าวต้าจื่อ แต่ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าเขาต้องแบกความเสี่ยงเอาไว้! หากจ้าวต้าจื่อว่องไวกว่านี้เพียงเล็กน้อยคนที่นอนอยู่บนพื้นอาจเป็นเยี่ยฉวน
ขั้นอูเจ๋อระดับที่เจ็ดนั้นประกอบไปด้วยการขัดเกลาผิวหนัง การขัดเกลากล้ามเนื้อ การขัดเกลาเส้นเอ็น การขัดเกลากระดูก การขัดเกลาอวัยวะภายใน และการขัดเกลาโลหิต ห้าระดับแรกของขั้นอูเจ๋อคือระดับที่สำคัญที่สุดและเป็นตัวตัดสินความแข็งแกร่ง ความเร็ว และไหวพริบของผู้ฝึก หากไม่มีความอดทนและวางพื้นฐานในห้าระดับแรกไว้ไม่ดี จะไม่สามารถบรรลุจุดสูงสุดของขั้นอูเจ๋อแม้จะฝึกถึงระดับที่เจ็ดแล้วก็ตาม อีกทั้งศักยภาพของคนผู้นั้นจะถูกจำกัดหลังจากบรรลุขั้นซิวฉือ ดังนั้นเหตุผลหลักที่จ้าวต้าจื่อแพ้เยี่ยฉวนก็เพราะพื้นฐานของเขานั้นไม่หนาแน่นพอ!
เยี่ยฉวนไม่กังวลกับผลลัพธ์ด้วยความมากประสบการณ์ จึงรีบเร่งนั่งสมาธิและฝึกตนจนบรรลุขั้นอูเจ๋อระดับที่ห้า และเสร็จสิ้นในตอนเช้าตรู่วันถัดมา เขาลุกยืนพร้อมยืดคลายแขนขา เสียง ‘กึก’ ของกระดูกดังขึ้น ร่างกายสูงขึ้นหนึ่งนิ้วโดยไม่รู้ตัว
เยี่ยฉวนคว้าไม้กวาดที่มุมห้องมากวาดใบไม้แห้งบริเวณลานกว้างพลางคิดคำนึงถึงความเป็นความตายและการขึ้นลงของชีวิต สิง่นี้กลายเป็นกิจวัตรประจำวันของเขาไปเสียแล้ว
ชีวิตคนเรานั้นเปรียบได้กับเครื่องสาย มีทั้งทุกข์สุขขึ้นลงปะปนกันไป
ยามมีความสุขนั้นไม่ควรปีติเกินงามหรือลืมกำพืดของตนเพราะครั้งหน้าอาจมีภัยเข้ามาในชั่วขณะ และหากพบเจอกับความพ่ายแพ้ก็อย่าได้โศกเศร้าเกินเหตุเพราะพรุ่งนี้ชีวิตอาจพลิกผัน ดังนั้นจงมองทุกสิ่งให้กระจ่าง เป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เดินในเส้นทางผู้ฝึกตนได้ไกล
เมื่อได้กลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง เยี่ยฉวนจึงตระหนักถึงสัจธรรมของชีวิตมากขึ้นกว่าครั้งที่ยังเป็นมหาปราชญ์
“ศิษย์พี่ใหญ่ขอรับ ศิษย์พี่ใหญ่...”
เขากวาดลานกว้างไม่ทันเสร็จก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกจากด้านนอก
เยี่ยฉวนเปิดประตูออกไปดู เขาไม่คาดคิดว่าจะพบกับจ้าวต้าจื่ออีกครั้ง ทว่าครั้งนี้เขามาเพียงลำพัง ไม่มีแม้แต่เงาของจูซือเจียที่ดื้อด้านและปากร้าย
“เจ้าอ้วน ตะโกนเรียกอะไรแต่เช้า คันก้นอีกแล้วหรือ?
“ศิษย์น้องไม่บังอาจ ศิษย์พี่ใหญ่ต้องพูดเล่นเป็นแน่”
น้ำเสียงของจ้าวต้าจื่อเปี่ยมด้วยความเคารพนับถือและเรียกศิษย์พี่ใหญ่ออกมาจากใจจริง บัดนี้เขาทั้งเกรงขามและเคารพศิษย์พี่ใหญ่จึงไม่กล้าทำตัวหยาบคายต่อหน้าเยี่ยฉวนอีกแล้ว “อาวุโสสูงสุดเรียกศิษย์พี่ใหญ่ไปพบที่หอประจำสำนักเดี๋ยวนี้เลยขอรับ!”
“ได้ ไปกัน!” เยี่ยฉวนพยักหน้าพร้อมโยนไม้กวาดไปด้านข้างและเดินตามจ้าวต้าจื่อออกไป
เมื่อไม้กวาดด้ามนี้อยู่ในมือของเยี่ยฉวนนั้นเปรียบเสมือนอาวุธสังหาร ทว่าในสายตาของผู้อื่นมันเป็นเพียงไม้กวาดเก่าและสกปรกที่ไม่มีใครต้องการเท่านั้น เขาจึงโยนมันทิ้งโดยไม่กังวลว่าใครจะขโมยไป
หลังจากที่บรรลุขั้นอูเจ๋อระดับห้า ร่างกายของเยี่ยฉวนเบาขึ้นมาก เขาเคลื่อนที่ไปยังหออย่างคล่องตัวและมีความอึดทนไม่ด้อยไปกว่าจ้าวต้าจื่อที่อยู่ในขั้นอูเจ๋อระดับเจ็ดแม้แต่น้อย เมื่อเห็นเช่นนี้จ้าวต้าจื่อยิ่งเกรงกลัวอีกฝ่ายมากขึ้นเพราะไม่รู้เลยว่าเขาอยู่ในขั้นใด ในที่สุดทั้งสองก็มาถึงหอหมอกเมฆาอย่างรวดเร็วราวกับสายลม
เยี่ยฉวนประหลาดใจเมื่อพบว่าทุกคนในสำนักต่างมารวมตัวกันที่นี่ ภายในห้องโถงมีอาวุโสหลายคนนั่งอยู่ด้านบนสุด ถัดลงมาเป็นเจ้าแห่งหอต่างๆ ทั้งหมดล้วนแต่มีศิษย์ชั้นเลิศนั่งขนาบข้าง จูซือเจียและจินหัวก็นั่งปะปนอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน เมื่อนางเห็นเยี่ยฉวนเดินเข้ามา ใบหน้าของหญิงสาวบิดเบี้ยวด้วยความกระอักกระอ่วนใจ ในขณะที่จินหัวทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ เท่านั้น
“เยี่ยฉวนคารวะผู้อาวุโสทุกท่าน” เขาโค้งกายเล็กน้อยด้วยสีหน้านิ่งสงบแม้จะรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
“เยี่ยฉวน ปีนี้เจ้าอายุเท่าใดและเข้าสำนักมากี่ปีแล้ว?” ท่านผู้อาวุโสสูงสุดเอ่ยถาม
“ปีนี้ศิษย์อายุสิบห้าและเข้าสำนักมาได้สิบห้าปีแล้วขอรับ ข้าเป็นหนี้บุญคุณท่านเจ้าสำนักผู้ช่วยให้ข้าพ้นเคราะห์หลังจากเกิดมาขอรับ” เยี่ยฉวนตอบ เขาถูกท่านเจ้าสำนักพามายังสำนักหมอกเมฆาและรับเป็นศิษย์สายตรงตั้งแต่จำความได้เพราะครอบครัวของเขาทั้งหมดตายตกไปในเหตุเพลิงไหม้ ทั้งหมู่บ้านถูกเผาไหม้เป็นจุณ
“เจ้าฝึกตนถึงขั้นไหนแล้ว?” ท่านผู้อาวุโสสูงสุดถามอีกครั้ง
“ขั้นอูเจ๋อระดับห้าขอรับ” เยี่ยฉวนตอบตามจริง
“อะไรนะ?!”
ทั้งจูซือเจียและจินหัวต่างตื่นตระหนกยิ่ง ดวงตาของพวกเขาแทบจะถลนออกมาเมื่อได้ฟังคำ ห้องโถงใหญ่ที่เคยเงียบกลับตกอยู่ในความโกลาหล
เมื่อวานนี้ขณะกำลังดวลกับจ้าวต้าจื่อนั้นเยี่ยฉวนยังบรรลุเพียงแค่ระดับสี่เท่านั้น เขาจะบรรลุระดับห้าเพียงชั่วข้ามคืนได้อย่างไร?
อาวุโสสูงสุดก็ประหลาดใจกับเรื่องนี้เช่นกัน เขาเผยพลังจิตแข็งแกร่งแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของเยี่ยฉวนและตรวจสอบทุกสิ่งอย่างรวดเร็ว เพียงครู่หนึ่งก็พบว่าสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวเป็นเรื่องจริงอีกทั้งในตอนนี้ยังเริ่มขัดเกลากระดูกแล้วด้วย “เยี่ยฉวน...จะ...เจ้าทำได้อย่างไร? ท่านเจ้าสำนักกลับมาแล้วงั้นหรือ?”
การบรรลุขั้นอูเจ๋อระดับหนึ่งถึงระดับห้าภายในไม่กี่วันนั้นไม่ใช่แค่อัจฉริยะแล้ว แต่เขาคือยอดอัจฉริยะ
ใครเล่าจะรู้ว่าขีดจำกัดพลังของเยี่ยฉวนจะสูงเพียงใดหากฝึกฝนเช่นนี้ต่อไป?!
แม้การบรรลุขั้นอูเจ๋อระดับห้าจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ทว่าความเร็วในการฝึกฝนของเยี่ยฉวนต่างหากที่น่าทึ่งจนทำให้ผู้อาวุโสตกใจยิ่ง เมื่อไตร่ตรองดูแล้วการที่เจ้าสำนักกลับมาช่วยเขาฝึกตนดูจะเป็นคำอธิบายเพียงหนึ่งเดียวที่คิดได้
“ท่านเจ้าสำนักไม่ได้กลับมาขอรับ ศิษย์ไม่พบหน้าท่านเจ้าสำนักนานหลายปีแล้ว เพียงแต่ศิษย์เผลอกินผลไม้ป่าสีเขียวสดเข้าไปตอนอยู่ในสุสานเทพเจ้า เมื่อกลับมาจึงผ่านพ้นสภาวะตีบตันมาได้ขอรับ” เยี่ยฉวนกล่าวข้ออ้างที่เตรียมมา “ท่านผู้อาวุโสสูงสุดเรียกศิษย์ลงเขามามีปัญหาอะไรหรือขอรับ?”
“อืม ปัญหาใหญ่เลยล่ะ!”
อาวุโสสูงสุดมองเยี่ยฉวนตั้งแต่หัวจรดเท้าโดยไม่เอ่ยถามอันใด สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม การที่เยี่ยฉวนบรรลุขั้นอูเจ๋อระดับห้านั้นน่าประหลาดใจก็จริงแต่เทียบไม่ได้กับเรื่องนี้ อาวุโสสูงสุดถอนหายใจก่อนกล่าว “เยี่ยฉวน การประลองครั้งใหญ่ของสำนักหมอกเมฆาและอีกสองสำนักที่จัดขึ้นทุกๆ สามปีกำลังจะเริ่มในไม่ช้า ทว่าครั้งนี้สำนักเครื่องนิลและสำนักเบญจลักษณ์มีมติเอกฉันท์ให้ศิษย์พี่ใหญ่ของแต่ละสำนักเป็นผู้นำเหล่าศิษย์เข้าร่วมการประลอง”
ในเทือกเขาหมอกเมฆานั้นมีสามสำนักใหญ่ตั้งอยู่ สำนักแรกคือสำนักหมอกเมฆาที่ได้รับการสืบทอดมายาวนานและมีรากฐานที่ลึกที่สุด ทว่าสำนักหมอกเมฆานั้นกำลังเสื่อมอำนาจลงเรื่อยๆ และไม่ยิ่งใหญ่เช่นในอดีต สำนักเครื่องนิลและสำนักเบญจลักษณ์นั้นย้ายมายังเทือกเขาหมอกเมฆาในภายหลัง ทั้งสองสำนักเริ่มครอบครองดินแดนที่เคยเป็นของสำนักหมอกเมฆา โดยเฉพาะสำนักเครื่องนิลที่ขยายรากฐานอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและก้าวขึ้นเป็นสำนักอันดับหนึ่งในเทือกเขาหมอกเมฆา
การเสียหน้าในการประลองของสามสำนักนั้นถือว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือสำนักที่แพ้จะต้องเสียทรัพยากรเช่นที่ดินและโอสถจำนวนมากให้แก่ผู้ชนะ นี่คือปัญหาใหญ่ของสำนักหมอกเมฆาเพราะพวกเขาจะต้องปรุงยาด่วนให้ลุล่วงตามภารกิจที่องค์จักรพรรดิมอบหมายให้สำเร็จ
สำนักเครื่องนิลและสำนักเบญจลักษณ์มีศิษย์ยอดฝีมือจำนวนมากและรู้ดีว่าความสามารถของศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักหมอกเมฆานั้นด้อยกว่าศิษย์ทั่วไปเสียอีก พวกเขาจึงร่วมมือกันเรียกร้องให้ศิษย์พี่ใหญ่ของแต่ละสำนักเป็นผู้นำทัพในการประลอง มันคือการกลั่นแกล้งให้สำนักหมอกเมฆาขายหน้าชัดๆ!
ท่านผู้อาวุโสสูงสุดถอนหายใจด้วยความเศร้าโศก ขณะที่ผู้อาวุโสคนอื่นๆ และเจ้าแห่งหอต่างก็มีสีหน้าเหยเก พวกเขาจะปล่อยให้คนอย่างเยี่ยฉวนเป็นผู้นำเหล่าศิษย์ได้อย่างไร?
ในตอนแรกที่ได้รับข่าวการประลอง เหล่าผู้อาวุโสเตรียมการเลือกศิษย์พี่ใหญ่คนใหม่ไว้แล้วเพราะพวกเขาคิดว่าเยี่ยฉวนตายในสุสานเทพเจ้า แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะรอดชีวิตและกลับมาในช่วงเวลาคับขันเช่นนี้!
“ศิษย์เข้าใจแล้ว วางใจเถิดขอรัมันเป็นเพียงแค่การประลอง ศิษย์จัดการได้ ทีนี้ข้ากลับได้หรือยังขอรับท่านอาวุโสสูงสุด?” เยี่ยฉวนกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับมั่นใจว่าจะสามารถชนะการประลอง ผู้ที่หวังจะครอบครองตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่แทบกระอักเลือดเมื่อเห็นเขาเผยสีหน้าเช่นนั้น สถานการณ์คับขันถึงเพียงนี้เขายังจะเสแสร้งอยู่อีก ต้องการทำลายชื่อเสียงของสำนักขนาดนั้นเชียวหรือ?
“เจ้าสามารถเลือกศิษย์หกคนที่จะเข้าร่วมการประลองภายในครึ่งเดือนหลังนี้” ท่านผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวเสียงค่อย เขาต้องการให้เยี่ยฉวนสละตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่เพื่อไม่ให้สำนักหมอกเมฆาอับอายไปมากกว่านี้ แต่เยี่ยฉวนก็ไม่ได้เอ่ยออกมาด้วยตนเองเขาจึงทำอะไรไม่ได้ อย่างไรเสียชายผู้นี้ก็คือศิษย์สายตรงเพียงคนเดียวของท่านเจ้าสำนักอีกทั้งยังเข้าศึกษาในสำนักมานานที่สุดในหมู่ศิษย์รุ่นเยาว์
“เช่นนั้นข้าขอไปเลือกเคล็ดวิชาที่หอคัมภีร์สงครามได้หรือไม่ขอรับ? ข้าเข้าศึกษาในสำนักมานานหลายปีแล้วแต่ก็ยังไม่มีเคล็ดวิชาให้เลือกใช้เลย หากไม่มีวิชาที่เหมาะสมไว้ใช้ในการประลองเกรงว่าจะเอาชนะได้ยาก” ผู้คนในห้องโถงต่างพูดไม่ออกเมื่อเยี่ยชวนกล่าวถามอย่างไร้ยางอาย
“ไปเถอะ เจ้าสามารถเลือกเคล็ดวิชาทั้งหมดในชั้นที่หนึ่งและสองของหอคัมภีร์สงครามได้เลย เจียเจีย พาศิษย์พี่ใหญ่ไปส่งเถิด”
ท่านผู้อาวุโสสูงสุดโบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรงแล้วเดินจากไป
“ท่านอาวุโสสูงสุดจะทำเช่นนี้ไม่ได้นะขอรับ!”
“ท่านอาวุโสสูงสุด เลือกเคล็ดวิชาในตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเล่า? ทุกเคล็ดวิชานั้นไร้ประโยชน์ต่อให้เป็นเคล็ดวิชาขั้นเทวาลัยก็ตาม ท่านอาวุโสสูงสุด...”
ท่านผู้อาวุโสลำดับสามและห้าคัดค้านเสียงดัง แต่ท่านผู้อาวุโสสูงสุดนั้นทำหูทวนลมเสียและเดินจากไป ทุกคนจึงทำได้เพียงแค่ส่งสายตาเกรี้ยวกราดไปยังชายหนุ่ม ไม่นานในห้องโถงก็เหลือเพียงคนทั้งสอง เยี่ยฉวนแสดงท่าทีสงบนิ่งแต่จูซือเจียกลับอารมณ์พลุ่งพล่านด้วยความโกรธพลางก่นด่าตนเองที่โชคร้ายได้รับภารกิจอันขมขื่นอีกครั้ง
ไม่รู้ว่าสาเหตุใดนางถึงไม่ชอบใจเมื่อเห็นท่าทีเฉยเมยของเยี่ยฉวน เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เขาฟาดสะโพกของนางต่อหน้าธารกำนัลก็ยิ่งคับแค้นใจ การที่เขาใช้มือฟาดลงไปนั้นต่างอะไรกับการสัมผัสบั้นท้ายของนางโดยตรงเล่า! ชุดที่นางสวมในวันก่อนมีเนื้อผ้าบางยิ่ง ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าใดนางก็ยิ่งรู้สึกโมโหและอับอายมากเท่านั้น
“ไปกันเถอะ! เดินให้เร็วกว่านี้ไม่ได้หรือ? ไอ้โง่ ครั้งนี้เจ้าเจอปัญหาใหญ่แน่!” จูซือเจียหัวเราะเยาะ รู้สึกยินดีกับความโชคร้ายของเยี่ยฉวน ขณะที่เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอยู่นั้นสะโพกของนางก็โยกย้ายไปมาอย่างช่วยไม่ได้
“เจ้าก็เช่นกันนะเจียเจีย ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะพาเจ้าไปด้วย การประลองที่เต็มไปด้วยสีสันเช่นนี้จะขาดศิษย์น้องหญิงไปได้อย่างไร? เจ้าจะต้องไปให้กำลังใจและรอดูชัยชนะของศิษย์พี่ใหญ่!” เพียงแค่เยี่ยฉวนเอ่ยสองสามประโยคก็ทำให้จูซือเจียโกรธเคืองจนอยากจะกรีดร้องทันที
“ไอ้โสโครก! เจ้าอยากขายหน้าก็เป็นเรื่องของเจ้าแต่อย่าลากคนอื่นไปด้วย ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะไร้ยางอายได้ถึงเพียงนี้”
จูซือเจียขบกรามแน่นด้วยสีหน้าเย็นชา
ว่ากันว่าเด็กผู้หญิงจะเปลี่ยนไปสิบแปดครั้งระหว่างวัยเด็กและวัยสาว จูซือเจียเองก็อยากเป็นกุลสตรีเช่นเดียวกับผู้อื่นทว่านางไม่สามารถแสดงออกเช่นนั้นได้เมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยฉวน ในตอนนี้นางเกรี้ยวกราดจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงคล้ายกับเสื้อผ้าสามารถปริแตกได้ตลอดเวลาจนน่ากังวลว่ายอดอกอวบอั๋นจะระเบิดออกมา