ขุนศึกสยบสวรรค์ บทที่ 6 ศิษย์พี่ใหญ่อันธพาล
บทที่ 6 ศิษย์พี่ใหญ่อันธพาล
“หืม? ขออภัย ข้าเกือบลืมไปเลย!”
เยี่ยฉวนตบศีรษะตัวเองเบาๆ เมื่อนึกขึ้นได้
สำนักหมอกเมฆามีกฎข้อหนึ่งว่าเหล่าศิษย์จะต้องท้าประลองกันทุกๆ ห้าวั โดยไม่สามารถปฏิเสธได้ และหากผู้ใดฝ่าฝืนก็จะถูกขับออกจากสำนัก
ผู้ที่ชนะการประลองจะได้รับแต้ม ยิ่งแต้มสูงเท่าใดก็จะได้รับเบี้ยรายเดือนมากเท่านั้น ส่วนผู้ที่แพ้จะถูกหักแต้ม หากแพ้อย่างย่อยยับแม้แต่เหรียญทองแดงเหรียญเดียวก็ยังไม่ได้ ด้วยเหคุนี้ผู้แข็งแกร่งจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นและผู้อ่อนแอจะยิ่งอ่อนแอลง
แม้กฎนี้จะฟังดูไร้ความเมตตาทว่าจุดประสงค์ของมันนั้นสำคัญยิ่ง มันคือหนึ่งในวิธีกระตุ้นให้บรรดาศิษย์ฝึกตนอย่างขยันขันแข็ง
ในอดีต เยี่ยฉวนมักจะอยู่อย่างสันโดษบนยอดเขาเมฆาอินทนิลและไม่พบปะผู้ใด หลังจากที่เขาหายตัวไปในสุสานเทพเจ้าถึงสามเดือนจึงแทบจะลืมกฎข้อนี้ไปเสียแล้ว
“แซ่จินหรือ? ศิษย์น้องผู้นี้ใช่บุตรชายของท่านอาจารย์จินหัวหน้าหอแปรธาตุหรือไม่? จินหัวผู้อัจฉริยะที่มีข่าวลือว่าสามารถบรรลุขั้นอูเจ๋อระดับเจ็ดได้ตั้งแต่อายุสิบเอ็ดปี บรรลุเคล็ดวิชาขั้นเทวาลัยและขั้นปถพีตอนอายุสิบสี่ปี จากนั้นก็ก้าวสู่ขั้นซิวฉือระดับหนึ่ง?” เยี่ยฉวนประเมินดูชายชุดเขียวตั้งแต่หัวจรดเท้า
ได้ยินดังนั้น จินหัวก็แค่นเสียงออกมาอย่างวางมาด “ใช่แล้ว ข้าคือจินหัว”
“ไม่เลวนี่ ยอดฝีมือผู้มีหน้าตาหมดจด ศิษย์พี่ใหญ่อย่างข้าเชี่ยวชาญด้านการเอาชนะยอดฝีมือเสียด้วยสิ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร หากละเมิดกฎของสำนักก็ยังต้องถูกฟาดก้นอยู่ดี ดังนั้นคราวหน้าเจ้าควรจะทำตัวสำรวมต่อหน้าข้านะ!”
เมื่อครู่เยี่ยฉวนเพิ่งเอ่ยชมทำให้จินหัวเกิดลำพองใจ ทว่าเพียงชั่วพริบตาคำพูดหนึ่งประโยคของเยี่ยฉวนก็ทำให้ใบหน้าของจินหัวแดงก่ำด้วยความโกรธและอับอาย เขาเดินกระทืบเท้าไปข้างหน้า
‘เสแสร้ง! เสแสร้งต่อไปสิ! ทำตัวหยิ่งยโสต่อไป! ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะจองหองเช่นนี้ได้อีกนานเท่าไร!’ จูซือเจียคิดในใจพลางก้าวไปด้านหน้า จิตสังหารแผ่ซ่านออกมา
จูซือเจียและจินหัวเข้ามาล้อมเยี่ยฉวนเอาไว้
“ศิษย์พี่จินหัว ให้ข้าสั่งสอนเขาเถอะ! เลือกข้าสิไอ้บัดซบ!”
“ศิษย์น้องหญิง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้า! ท้าดวลข้า! แล้วข้าจะสั่งสอนเจ้าแทนศิษย์น้องหญิงเอง!”
ทุกคนก้าวไปด้านหน้าเพื่อท้าประลองกับเยี่ยฉวน เหล่าศิษย์ต่างมีอารมณ์คุกรุ่นและจ้องมองเยี่ยฉวนด้วยสายตาโกรธเกรี้ยวราวกับเขาไปลบหลู่สวรรค์เข้าจนต้องร่วมมือกันฉีกเขาให้เป็นชิ้น!
ยิ่งมีกำลังคนมากเท่าใดพลังยุทธ์ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น พลังของฝูงชนทำให้จ้าวต้าจื่อที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังกระโดดขึ้นมาโบกกำปั้นต่อหน้าเยี่ยฉวน แม้แต่ตอนนี้บั้นท้ายของเขาก็ยังระบมอยู่ เขาไม่กล้าปะทะเยี่ยฉวนแบบซึ่งหน้าแต่ขอฉวยโอกาสร่วมก่นด่าสักสองสามประโยคเพียงเพื่อระบายความแค้นก็เท่านั้น!
เจ้าอ้วนรวบรวมพลังทั้งหมดเพื่อตะเบ็งเสียงด่าเยี่ยฉวนจนดังกว่าผู้ใดในฝูงชน
ตามกฎของสำนัก ศิษย์คนหนึ่งจะสามารถท้าดวลผู้อื่นได้ทุกห้าวันและผู้ที่ถูกท้าจะปฏิเสธไม่ได้ ทว่าในรอบห้าวันนี้จะมีการประลองเพียงหนึ่งรอบ การท้าทายเยี่ยฉวนในครั้งนี้ พวกเขาไม่เพียงแค่ต้องการแสดงความสามารถต่อหน้าจูซือเจียและจินหัวแต่ยังต้องการใช้โอกาสนี้เพิ่มแต้มของตน ใครจะยอมปล่อยโอกาสดีๆ เช่นนี้ไปต่อหน้าต่อตาเล่า?
ทุกคนต่างมุ่งมั่นจะเป็นที่หนึ่ง แววตาของพวกเขาเปล่งประกายร้อนแรง
“หุบปาก! พวกเจ้าคันก้นหรือไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วกันแน่?”
เยี่ยฉวนคำรามลั่นเพื่อกลบเสียงของฝูงชนพลางกวาดสายตามองทุกคนอย่างเยือกเย็น ความหวาดกลัวและกังวลพลันก่อตัวขึ้นในจิตใจของพวกเขา
ทันใดนั้น จูซือเจียรู้สึกเหมือนตอนที่เจอกับเยี่ยฉวนครั้งแรกที่หน้าประตูสำนักหลังเขากลับมาจากสุสานเทพเจ้า
สายตาและจิตสังหารของเยี่ยฉวนในตอนนั้นทำให้จิตใจของนางสั่นสะท้าน จูซือเจียไม่เคยสัมผัสแรงกดดันมหาศาลแบบนี้มาก่อนแม้แต่จากเหล่าผู้อาวุโสในสำนัก
เคราะห์ดีที่ความรู้สึกนี้แล่นเข้ามาและหายไปในชั่วอึดใจเดียว
เยี่ยฉวนหัวเราะเจ้าเล่ห์ ทำสีหน้าลำบากใจราวกับเจอภูเขาสมบัติแต่ไม่รู้จะเลือกอัญมณีล้ำค่าชิ้นใดดี “ทุกคนในที่นี้ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือในสำนัก อืม...ข้าจะเลือกผู้ใดดี?”
“ไอ้สารเลว ช่างเสแสร้งเก่งเสียจริง! มาประลองกับข้า! หากเจ้าชนะข้าจะย้ายมาอยู่ที่นี่เพื่อเป็นผู้ช่วยของเจ้า!” ความโกรธของจูซือเจียแทบจะระเบิดออกมาเมื่อเห็นรอยยิ้มร้ายกาจของเยี่ยฉวน
ความเข้าใจผิด ต้องเป็นความเข้าใจผิดแน่ คนธรรมดาที่อยู่ในขั้นอูเจ๋อจะทำให้นางรู้สึกกดดันเช่นนั้นได้อย่างไร?!
“ไม่ เลือกข้า!”
จินหัวก้าวมาด้านหน้าอีกครั้งพร้อมกล่าวด้วยเสียงเย็นเยียบ “ข้าจะใช้เพียงมือเดียว หากเจ้าชนะข้าจะยอมเรียกเจ้าว่าศิษย์พี่ใหญ่อย่างจริงใจ และหากผู้ใดไม่ยอมเรียกเจ้าว่าศิษย์พี่ใหญ่ข้าจะช่วยเจ้าฟาดเขาเอง!
“ไม่เลว เป็นความคิดที่ดี!” เยี่ยฉวนพยักหน้า
“แต่ตอนนี้มีพวกคันก้นมากมายเหลือเกิน ข้าไม่อาจลำเอียงและสั่งสอนเพียงแค่เจ้าจริงไหม? เอาเช่นนี้แล้วกัน เพื่อความยุติธรรม มาเล่นเสี่ยงทายกันดีกว่า หากไม้กวาดด้ามนี้ตกลงพื้นแล้วปลายชี้ไปที่ผู้ใด ข้าก็จะท้าดวลผู้นั้นดีหรือไม่?” เยี่ยฉวนยกไม้กวาดขึ้นพาดบ่า
จูซือเจียและจินหัวส่งสายตาให้กันพลางสั่งให้ทุกคนถอยหลังเล็กน้อย ใช้วิธีนี้ก็ดีจะได้ไม่มีผู้ใดเสียเปรียบและจะทำให้เยี่ยฉวนแพ้ราบคาบ ตรงนี้ไม่มีผู้ใดอ่อนแอเลยสักคน แม้แต่ผู้ที่อ่อนแอที่สุดนั้นก็อยู่ในขั้นอูเจ๋อระดับหกซึ่งแข็งแกร่งกว่าเยี่ยฉวนมาก จะเป็นผู้ใดที่ได้ประลองก็ฟาดเขาปางตายได้ทั้งนั้น
เยี่ยฉวนรวบรวมพลังทั้งหมดไปที่ข้อมือขณะโยนไม้กวาดขึ้นไปในอากาศ ไม้กวาดตกลงพื้นพร้อมเสียงดัง ‘เพียะ’
จ้าวต้าจื่อที่ยังคงสบถด่าเยี่ยฉวนเบาๆ ตาเบิกโพลงเมื่อเห็นไม้กวาดตกลงพื้น ใบหน้าซีดเผือด ปลายไม้กวาดชี้มาทางเขา! มีคนอยู่ที่นี่ตั้งมากมายแต่เยี่ยฉวนกลับเลือกเขา!
จ้าวต้าจื่อรู้สึกราวกับถูกรางวัลใหญ่ แต่เมื่อสัมผัสรอยแผลเป็นตรงสะโพกก็ไม่อาจทำใจยินดีได้ ไม้กวาดของเยี่ยฉวนได้ทิ้งรอยแผลลึกไว้ในใจของเขาเสียแล้ว
“เจ้าอ้วนโชคดีจริง! ศิษย์พี่ใหญ่ยินดีด้วย!”
เยี่ยฉวนเก็บไม้กวาดขึ้นจากพื้นและใช้ปลายของมันชี้ไปทางจ้าวต้าจื่อพร้อมกล่าวยั่วยุ “มาๆ มาให้ศิษย์พี่ใหญ่ตีก้นและช่วยเจ้ารำลึกความหลังอีกสักทีเถิด แน่นอนว่าถ้าเจ้าเกิดกลัวขึ้นมาก็เรียกข้าว่าศิษย์พี่ใหญ่เสีย ข้าจะได้ปล่อยเจ้าไปและเลือกคนใหม่”
จ้าวต้าจื่อยินดียิ่งเมื่อได้ยินเยี่ยฉวนพูดเช่นนั้น เขาเกือบหลุดปากเรียกเยี่ยฉวนว่าศิษย์พี่ใหญ่ ทว่ากลับมีสายตาเย็นชาสองคู่จ้องมองเขาเสียก่อน
เมื่อมองไปยังใบหน้าเย็นเยือกของจูซือเจีย หัวใจของจ้าวต้าจื่อก็สั่นรัว ขณะที่นางมองดูอยู่นั้นเขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะหันหลังกลับ จึงขบกรามแน่นและรวบรวมความกล้าก้าวออกไปพลางชักกระบี่ที่เอวออกมา
“อะ...ไอ้ชั่ว ระวังตัวให้ดี!”
แม้รูปร่างของจ้าวต้าจื่อจะอ้วนท้วนทว่าความเร็วนั้นกลับไม่ช้าเลย แต่ถึงอย่างนั้นเยี่ยฉวนก็ยังหลบคมกระบี่ได้ เจ้าอ้วนจ้วงกระบี่ไปด้านหน้าอีกครั้งและเยี่ยฉวนก็หลบได้เช่นเดิม สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องการต่อสู้ของคนทั้งสอง
จ้าวต้าจื่อรวบรวมพละกำลังทั้งหมดแล้วจ้วงกระบี่ไปยังเยี่ยฉวนนับครั้งไม่ถ้วน เกิดเสียงหวีดหวิวและปราณดาบแผ่ซ่านออกมา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็แทงไม่โดนร่างของเยี่ยฉวนเสียที ไม่เฉียดแม้แต่ชายเสื้อด้วยซ้ำ
นี่คือศิษย์พี่ใหญ่ที่ไม่กล้าสู้หน้าผู้ใดเพราะอับอายในการฝึกตนจริงหรือ? เขาบรรลุเพียงแค่ขั้นอูเจ๋อระดับหนึ่งจริงหรือไม่?
สายตาของฝูงชนฉายแววประหลาดใจ
โดยเฉพาะจูซือเจียและจินหัวที่ไม่รู้ว่าเผลอขมวดคิ้วตั้งแต่เมื่อใด
ด้วยระดับการฝึกตนที่อยู่ในขั้นอูเจ๋อระดับหนึ่งทำให้พวกเขาเห็นกล้ามเนื้อและกระดูกของเยี่ยฉวนแวววับด้วยความมันวาวเมื่อเบี่ยงตัวหลบการจู่โจมของเจ้าอ้วน เห็นได้ชัดว่ามันคือลักษณะของคนที่บรรลุขั้นอูเจ๋อระดับสี่
สำหรับผู้ที่อยู่ในขั้นซิวฉือแล้ว การบรรลุขั้นอูเจ๋อระดับสี่นั้นไม่มีค่ามากพอให้พูดถึงด้วยซ้ำ เมื่อเยี่ยฉวนกลับจากสุสานเทพเจ้าเขาอยู่เพียงแค่ขั้นอูเจ๋อระดับหนึ่งเท่านั้น แล้วเขาบรรลุระดับสามและสี่ตั้งแต่เมื่อใด? เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาได้รับสิ่งมหัศจรรย์บางอย่างขณะที่อยู่ในสุสานเทพเจ้า?
จูซือเจียพลันรู้สึกสับสนและสังหรณ์ใจไม่ดี หากเจ้าอ้วนจู่โจมรุนแรงเช่นนี้ต่อไปคงจะพลาดท่าอย่างง่ายดายเป็นแน่
จ้าวต้าเจียโจมตีพลาดอีกครั้งดังที่คาดไว้ เขาเริ่มหอบหายใจถี่และเคลื่อนไหวช้าลงจนเผยให้เห็นช่องโหว่
“เจ้าอ้วน ระวังตัวให้ดีสิ ไม้กวาดของข้าไม่ได้มีไว้ตีคนหรอกนะ มันเอาไว้ใช้ฟาดก้นโดยเฉพาะเลยล่ะ”
เยี่ยฉวนหัวเราะพลางโคจรยันต์กลืนกินสวรรค์ในกายอย่างลับๆ หลังจากที่จ้าวต้าจื่อทำพลาดอีกครั้ง เยี่ยฉวนก็ตอบโต้ด้วยไม้กวาดของเขา!
การเคลื่อนไหวของเยี่ยฉวนนั้นไม่เร็วนัก เขาจู่โจมอย่างใจเย็นซ้ำยังยังส่งเสียงเตือนล่วงหน้า ทว่าจ้าวต้าจื่อก็หลบด้ามไม้กวาดไม่พ้น! ไม่ว่าเจ้าอ้วนจะเคลื่อนที่เร็วแค่ไหนก็ยังช้าไปครึ่งก้าว! กระบี่ของจ้าวต้าจื่อถูกเยี่ยฉวนใช้ไม้กวาดปัดจนกระเด็นออกไปเป็นอย่างแรกตามมาด้วยความเจ็บปวดที่สะโพก ขณะที่ไม้กวาดฟาดลงมาเจ้าอ้วนรู้สึกได้ว่าทั้งร่างกายอวบอัดนั้นสั่นสะท้าน แข้งขาทั้งสองอ่อนแรง
ผู้ฝึกตนขั้นอูเจ๋อระดับเจ็ดต่อสู้กับผู้ฝึกตนขั้นอูเจ๋อระดับสี่! ระดับของจ้าวต้าจื่อนั้นสูงกว่าเยี่ยฉวนถึงสามขั้นแต่กลับพ่ายแพ้อย่างราบคาบ!
ยันต์กลืนกลืนสวรรค์ที่อยู่ในร่างของเยี่ยฉวนนั้นยังไม่สมบูรณ์แต่ก็เพิ่มพลังให้แก่เขาถึงสี่พันจิน เขาจึงมีแรงเหลือเฟือที่จะหวดก้นเจ้าอ้วน!
“เฮ้อ ดูเหมือนว่ากำลังของข้ายังไม่มากพอจะฟาดเจ้าให้ตายในครั้งเดียวได้ ช่างเถอะ! วันนี้ศิษย์พี่ใหญ่อารมณ์ดี ข้าจะฟาดก้นเจ้าหนึ่งทีแล้วจะปล่อยไป แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นนะ”
เยี่ยฉวนยิ้มเจ้าเล่ห์พลางหวดไม้กวาดในมืออีกสองสามครั้ง เสียง ‘เพียะ’ ดังขึ้นจนบั้นท้ายของจ้าวต้าจื่อเต็มไปด้วยรอยแดง เขาลงไปกองหมดแรงกับพื้นอย่างไร้ทางสู้
ไม้กวาดในมือเยี่ยฉวนนั้นดูเป็นไม้กวาดธรรมดาและไม่มีความพิเศษใด แต่แท้จริงแล้วกลับมีความแข็งแกร่งสามารถทะลุปราการป้องกันของเป้าหมายได้ เมื่อฟาดลงสะโพกเพียงครั้งเดียวก็เจ็บปวดไปถึงหัวใจ แม้แต่ลูกน้องของราชาโอสถหัตถ์ปีศาจก็ยังต้องทรมานเมื่อโดนฟาดด้วยไม้กวาดด้ามนี้ แล้วเจ้าอ้วนที่ได้รับการปรนเปรอจนเสียนิสัยตั้งแต่เด็กจะทนไหวได้อย่างไร?!
“เยี่ยฉวน! ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปเช่นนี้แน่!” จูซือเจียขบกรามแน่นพลางมองเยี่ยฉวนอย่างเกรี้ยวกราด หน้าอกชูชันทั้งสองกระเพื่อมขึ้นลงจนผู้คนกังวลว่าชุดแดงของนางจะปริแตกออกมา
หลังจากรวบรวมกำลังคนในตอนเช้าตรู่แล้ว จูซือเจียก็คิดว่าตนสามารถทำให้เยี่ยฉวนอับอายและสั่งสอนเขาให้ทำตัวเหมาะสมได้โดยไม่คาดคิดว่าเยี่ยฉวนจะชนะการประลอง ศักดิ์ศรีของนางถูกเจ้าอ้วนคนไร้ประโยชน์ทำลายจนย่อยยับไปเสียแล้ว
“ดีเลยศิษย์น้องหญิงเจียเจีย ศิษย์พี่ใหญ่ยินดีต้อนรับเจ้าเสมอ ห้าวันต่อจากนี้พวกเจ้าค่อยกลับมาใหม่ก็แล้วกันแต่ศิษย์น้องหญิงสามารถมาหาข้าได้ทั้งวันทั้งคืนเลย”
เยี่ยฉวนหัวเราะ จงใจเลื่อนสายตาไปมองหน้าอกใหญ่โตของจูซือเจีย เขาพิงไม้กวาดไว้ข้างตัวพลางปรบมือทั้งสองเข้าด้วยกันพร้อมคำพูดชวนให้คิดลึก
“ไอ้อันธพาล!” จูซือเจียตะคอกด่าก่อนจะเดินตึงตังออกไป ในสายตาของนางเยี่ยฉวนได้เปลี่ยนจากศิษย์พี่ใหญ่โง่เง่าเป็นอันธพาลผู้ร้ายกาจ
“ไอ้งั่ง อย่าชะล่าใจไปหน่อยเลย สักวันเจ้าจะต้องเสียใจ”
จินหัวมองเยี่ยฉวนด้วยความโกรธแค้นและเดินตามจูซือเจียไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับทุกคน เหลือเพียงแต่จ้าวต้าจื่อที่ยังนอนอยู่บนพื้น
เมื่อเห็นเยี่ยฉวนหันมา เขาก็รีบยกมือบังบั้นท้ายและมองเยี่ยฉวนราวกับสาวน้อยไร้ทางสู้
“กินยาเม็ดสีขาวเข้าไป ส่วนยาเม็ดสีแดงให้บดละเอียดแล้วเอาไปทาแผล เจ้ากลับไปเสียเถิด แต่จงจำบทเรียนนี้ไว้และอย่าคล้อยตามผู้อื่นง่ายๆ มิฉะนั้นก็ระวังก้นเจ้าให้ดี! เฮ้อ เหล่าศิษย์น้องทำให้ข้ากังวลเหลือเกิน ต้องโทษตัวเองที่ไม่สั่งสอนพวกเจ้าให้ดี หากเป็นเช่นนี้ต่อไปศิษย์พี่ใหญ่อย่างข้าคงจะไม่กล้าสู้หน้าท่านเจ้าสำนักเป็นแน่ เฮ้อ...ช่างเป็นความกดดันที่ใหญ่หลวงยิ่ง” เยี่ยฉวนถอนหายใจด้วยสีหน้าละอายใจขณะโยนขวดยาไปตรงหน้าจ้าวต้าจื่อ
“ขะ...ขอบคุณ ศิษย์พี่ใหญ่!”
จ้าวต้าจื่อกระเสือกกระสนลุกขึ้นหยิบขวดยาแล้วรีบเดินกะเผลกออกไปด้วยความกลัวว่าหากเดินช้ากว่านี้เยี่ยฉวนอาจเปลี่ยนใจ