ตอนที่แล้วขุนศึกสยบสวรรค์ บทที่ 3 ไม้กวาดด้ามนี้ก็ไม่เลวนะ!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปขุนศึกสยบสวรรค์ บทที่ 5 หนึ่งคืนนั้นแสนยาวนานสำหรับการแก้แค้นของสตรี

ขุนศึกสยบสวรรค์ บทที่ 4 เจ้ากล้าฟาดรึ?!


บทที่ 4 เจ้ากล้าฟาดรึ?!

ยอดเขาเมฆาอินทนิลสูงชันยิ่ง ยอดของมันสูงทัดเทียมเมฆ ปราณวิญญาณแห่งฟ้าดินควบแน่นลอยวนอยู่เหนือยอดเขา แม้ท่านเจ้าสำนักออกท่องยุทธภพและไม่ได้กลับมาที่สำนักนานหลายปี ทว่ายังทิ้งยอดเขาไว้เป็นสมบัติล้ำค่า ศิษย์ในสำนักผู้ทะเยอทะยานหลายรายต่างอิจฉาและต้องการยึดครองยอดเขาแห่งนี้!

จูซือเจียจากไปทันทีที่ส่งเยี่ยฉวนลงบนยอดเขาอินทนิลเรียบร้อยแล้ว

การพาอีกฝ่ายขึ้นกระบี่บินนั้นเหน็ดเหนื่อยเสียยิ่งกว่าตอนที่นางเหาะตามลำพังโดยไม่หยุดพักเป็นเวลาสามวันสามคืนเสียอีก! ยิ่งไปกว่านั้นเอว แผ่นหลังและหน้าอกของนางต่างถูกเยี่ยฉวนสัมผัสในช่วงเวลาชุลมุน!

นางจำไม่ได้ว่าหัวใจสับสนวุ่นวายและเขินอายเพียงใด แต่ความโกรธเคืองกลับเด่นชัดในความทรงจำยิ่งกว่า!

ในแต่ละวันศิษย์ชั้นเลิศแห่งสำนักต่างพากันมาล้อมหน้าล้อมหลัง แม้แต่มือนางก็ยังไม่มีผู้ใดได้สัมผัส ทว่าคนธรรมดาเช่นเยี่ยฉวนกลับฉวยโอกาสสัมผัสเรือนร่างของนางตั้งแต่หัวจรดเท้า!

“สตรีนางนี้ช่างโมโหร้ายเสียจริง!”

เยี่ยฉวนยกยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นจูซือเจียเหาะจากไปขณะที่ยังอารมณ์เสีย

นานเพียงใดแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกเช่นนี้? สิบล้านปีหรือแปดล้านปีกันนะ?

นักปราชญ์ชั้นยอดในดินแดนรกร้างแห่งนี้ต่างมีความปรารถนาที่จะเข้าไปในสุสานเทพเจ้าและสำรวจมันอย่างละเอียด ทว่าในแต่ละวันที่เยี่ยฉวนติดอยู่ในนั้นกลับมีแต่ความเบื่อหน่าย...ไม่ว่าจะมองไปทางใดก็มีแต่หลุมศพที่เย็นเยียบไร้ชีวิตชีวา

ในที่สุดเขาก็กลับมาจุติใหม่ในฐานะมนุษย์และได้สัมผัสความสดใสของโลกใบนี้อีกครั้ง!

หลังจากชำระร่างกายอย่างเร่งรีบเขาก็ใช้ชีวิตอย่างสันโดษบนยอดเขาเมฆาอินทนิลที่ไม่มีแม้แต่คนรับใช้และทหารอารักขา...แม้อยู่เพียงลำพังทว่าเขาก็รู้สึกเป็นสุข และสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือค่ายกลกักกันดวงจิตและเตาปรุงยาสามขาขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในสวนหย่อม

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีดำ เยี่ยฉวนก็ออกไปเตร็ดเตร่รอบยอดเขาพลางเก็บสมุนไพรสองสามอย่างก่อนกลับมาปรุงยาครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินออกไปสูดอากาศด้านนอกอีกครั้งและกลับมานั่งสมาธิในห้องตำราพร้อมเริ่มฝึกตนและอ่านเคล็ดวิชาวิทยายุทธอย่างเงียบเชียบ

นานมาแล้วที่เยี่ยฉวนเคยรอบรู้เคล็ดวิชาการต่อสู้มากมาย ทั้งยังมีความชำนาญในเคล็ดวิชาเหล่านี้เป็นอย่างยิ่ง ทว่าเคล็ดวิชาที่แท้จริงที่ทำให้เขาบรรลุไปถึงจุดสูงสุดของการฝึกตนคือ เคล็ดวิชาซ่อนเร้นสวรรค์ ที่ไม่มีผู้ใดบรรลุและเก่งกาจเทียบเท่า! หลังจากบรรลุวิชานี้เขาก็สามารถควบคุมสวรรค์ได้ด้วยฝ่ามือจนถูกขนานนามว่า มหาปราชญ์ผู้เชี่ยวชาญการซ่อนเร้นสวรรค์!

ทว่าในตอนนี้เคล็ดวิชาที่เยี่ยฉวนกำลังฝึกฝนนั้นไม่ใช่เคล็ดวิชาการซ่อนเร้นสวรรค์อีกต่อไป มันคือเคล็ดวิชาใหม่ที่เรียกว่า ขัดเกลาปีศาจกลืนกินสวรรค์!

เยี่ยฉวนค้นพบเคล็ดวิชานี้โดยบังเอิญขณะติดอยู่ในสุสานเทพเจ้า

สุสานเทพเจ้าเปรียบเสมือนสถานที่ลึกลับในสายตาของคนทั่วไป ทว่าความจริงแล้วมันเป็นเพียงสุสานโบราณที่ถูกล้อมรอบด้วยความเย็นเยือก มีซากพญามังกรที่ขนาดตัวใหญ่ราวกับขุนเขา ยักษ์ที่มีร่างกายเป็นมนุษย์ หางงู และเต่ายักษ์ที่ใหญ่กว่าเกาะฝังอยู่! นอกจากนี้ยังมีร่างของเทพเจ้าและปีศาจฝังอยู่ในนั้นอีกด้วย! สุสานโบราณแห่งนี้จึงมีปราการป้องกันที่แข็งแกร่งและมีผนึกที่ไม่มีทางเปิดได้...

เยี่ยฉวนค้นพบเคล็ดวิชาขัดเกลาปีศาจกลืนกินสวรรค์ในสุสานเพราะหีบที่บรรจุตำราแตกออก นอกจากนั้นเขายังได้รับโคมบงกชสีครามที่มีลักษณะแสนเรียบง่าย หลังจากท่องตำราอยู่ครู่หนึ่งก็มีโคมดวงน้อยนั้นพลันผุดออกมาจากร่างและลอยอยู่ด้านหน้าพลางเปล่งแสงนวลสว่าง  ขณะดวงวิญญาณแตกสลายลอยออกมานอกสุสานเทพเจ้า เยี่ยฉวนก็ได้นำโคมบงกชสีครามนี้ออกมาด้วย

เคล็ดวิชาการต่อสู้ของดินแดนรกร้างถูกแบ่งออกเป็นขั้นเทวาลัย ขั้นปฐพี ขั้นซวนและขั้นอำพันเช่นเดียวกับยาและของวิเศษ สำหรับศิษย์ในสำนักโดยทั่วไปแล้ว การฝึกฝนจนบรรลุเคล็ดวิชาขั้นซวนถือว่าไม่เลว ทว่าผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ฝึกตนได้ถึงเพียงขั้นอำพันเท่านั้นแม้จะใช้เวลาทั้งชีวิตก็ตาม!

เคล็ดวิชาการซ่อนเร้นสวรรค์ที่เยี่ยฉวนฝึกฝนในภพชาติที่แล้วนั้นเป็นถือวิชาการต่อสู้ขั้นเทวาลัยที่พบได้ยากยิ่ง แม้ตำราเคล็ดวิชาขัดเกลาปีศาจกลืนกินสวรรค์จะเสียหายเพราะผุพังไปตามกาลเวลา แต่ลางสังหรณ์ของเขากลับบอกว่าเคล็ดวิชานี้อาจมีระดับขั้นที่เหนือกว่าเคล็ดวิชาการซ่อนเร้นสวรรค์เสียอีก! หากเยี่ยฉวนบรรลุเคล็ดวิชาในตำนานนี้จริง...เขาอาจบรรลุถึงขั้นผู้อมตะแห่งเต๋าก็เป็นได้!

ภพชาติที่แล้ว ข้าสามารถซ่อนเร้นสวรรค์ด้วยฝ่ามือ!

แต่ในภพนี้ข้าจะขัดเกลาปีศาจแล้วกลืนกินสวรรค์ซะ!

แม้ใบหน้าของเยี่ยฉวนไม่เผยอารมณ์ใด ทว่าภายในใจกลับรู้สึกตื่นเต้นต่อเส้นทางการฝึกตนในอนาคต! ทุกๆสิ่งที่สูญเสียไปหลังติดอยู่ในสุสานเทพเจ้า เขาสาบานว่าจะเอามันกลับคืนมาให้หมด! และเหล่าคนที่ทำให้เขาติดอยู่ในสุสานจะต้องได้รับเจ็บปวดเป็นเท่าทวี!

หลังติดอยู่ในสุสานเทพเจ้านานนับล้านปี จากนักปราชญ์ผู้เก่งกาจกลายเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา หากเป็นผู้อื่นที่มีสภาพร่างกายปกติ การเติบโตไม่มีสิ่งใดผิดแปลก พลังชีวิตธรรมดา...พวกเขาคงสิ้นหวังและไม่กล้าหวังสูงเช่นนี้ ทว่าตราบใดที่เยี่ยฉวนยังมีชีวิตอยู่สิ่งเหล่านั้นมันไม่ใช่อุปสรรค! ร่างกายหรือวิทยายุทธเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งไร้ค่า มีเพียงผู้ที่ไม่พยายามเท่านั้นที่เป็นเศษสวะ!

“ช่างน่าสงสาร! เป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่แต่กลับถูกผู้อื่นกลั่นแกล้งและดูแคลน ทั้งยังถูกซุ่มโจมตีจนตายอย่างเดียวดาย ให้ข้าได้ใช้ร่างของเจ้าเถิด...ข้าจะทำให้ความฝันของเจ้าให้เป็นจริง!”

เยี่ยฉวนถอนหายใจเมื่อสัมผัสได้ถึงความคับแค้นที่ซ่อนอยู่ภายใน ร่างกายพลันสั่นเทาขณะดวงจิตและร่างกายของสองชาติภพผสานเข้าด้วยกัน…

ภพชาติที่แล้วเขาบรรลุเคล็ดวิชาซ่อนเร้นสวรรค์และมีความสามารถที่เก่งกาจ ทว่าเหล่าศัตรูที่ทำให้เขาต้องถูกจองจำในสุสานก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขา! การได้กลับมาจุติในร่างลูกศิษย์หนุ่มของสำนักหมอกเมฆาถือเป็นโอกาสอันดีในการปกปิดตัวตนที่แท้จริงและค่อยๆ ฝึกตนให้แข็งแกร่งขึ้น! หากช่วงเวลาที่เหมาะสมมาถึง...เขาจะเอาคืนคนเหล่านั้นอย่างสาสม!

ปราณวิญญาณพิสุทธิ์แทรกซึมออกจากชั้นบรรยากาศและไหลเข้าสู่ร่างกายเยี่ยฉวน ผลึกเส้นโลหิตมังกรพลันตื่นขึ้นและเปล่งรังสีของปราณวิญญาณพิสุทธิ์ทันที

ขั้นอู่เจ๋อ ระดับที่สอง…บรรลุ!

ขั้นอู่เจ๋อ ระดับที่สาม…บรรลุ!

ขั้นอู่เจ๋อ ระดับที่สี่…บรรลุ!

ทันใดนั้นรังสีของปราณวิญญาณพิสุทธิ์ก็ปกคลุมไปทั่ว ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วภายใต้การขัดเกลาจากพลังปราณวิญญาณจนบรรลุถึงขั้นอู่เจ๋อระดับที่สี่! กระแสปราณที่ควบแน่นหมุนเวียนและบิดเป็นรูปร่างต่างๆ ภายในจุดตันเถียน

ตามหลักการแล้วหลังจากฝึกเคล็ดวิชาขัดเกลาปีศาจกลืนกินสวรรค์ ไม่เพียงสามารถควบคุมสัตว์ปีศาจ ทว่ายังสามารถสร้างยันต์กลืนกินสวรรค์ได้ถึงหนึ่งแสนแปดพันชิ้น และยันต์ทุกๆ ชิ้นสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกายถึงหนึ่งหมื่นแปดพันจิน! หากฝึกตนจนถึงขั้นสูงสุดและสร้างยันต์หนึ่งแสนแปดพันชิ้นสำเร็จ...ร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งเพียงใดกัน?!

เยี่ยฉวนผู้ที่เคยซ่อนเร้นสวรรค์ด้วยฝ่ามือก็ไม่เคยสัมผัสความรู้สึกเช่นนั้นมาก่อน เขาจึงตั้งความหวังกับเคล็ดวิชานี้อย่างมาก!

ภายในดินแดนรกร้างยังมีระดับขั้นอูเจ๋อที่ที่อยู่ต่ำกว่าระดับขั้นซิวฉือที่มีแต่จอมยุทธ ขั้นอูเจ๋อถูกแบ่งออกเป็นเจ็ดระดับได้แก่ การขัดเกลาผิวหนัง กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก อวัยวะภายใน รวมไปถึงเลือดซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อร่างกายของผู้ฝึกตน หลังจากบรรลุระดับสูงสุดของขั้นอูเจ๋อแล้ว ก็จะฝึกในขั้นซิวฉือต่อไปและเมื่อบรรลุทั้งหมดจึงจะสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาต่างๆ ได้

สำหรับมนุษย์ธรรมดาที่ต้องการจะก้าวข้ามจากขั้นอูเจ๋อระดับหนึ่งไปยังระดับที่สี่นั้นต้องใช้เวลาประมาณแปดปีถึงสิบปี และพวกเขายังต้องได้รับคำแนะนำในการฝึกตนจากนักปราชญ์อีกด้วย! ทว่าเยี่ยฉวนใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วยามก็บรรลุขั้นอูเจ๋อระดับสี่แล้ว! เขาคือผู้เชี่ยวชาญที่สามารถชี้แนะตนเองได้! เนื่องจากในอดีตเขาเคยให้คำปรึกษาราชาโอสถหัตถ์วิญญาณจนขึ้นบรรลุจุดสูงสุดของการฝึกตน และในตอนนี้เขาต้องเริ่มฝึกตนใหม่อีกครั้ง จึงมีความคุ้นเคยอยู่บ้าง

ทันใดนั้นเยี่ยฉวนก็หยุดการฝึกอย่างกะทันหัน!

หากผู้ฝึกตนคนอื่นๆ รู้ว่าเขาสามารถบรรลุระดับขั้นการฝึกตนอย่างต่อเนื่องคงอิจฉาเป็นแน่! ทว่าสำหรับคนที่เคยซ่อนเร้นสวรรค์ด้วยฝ่ามือแล้วไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าเยี่ยฉวนยังฝึกต่อไปเรื่อยๆ และขัดเกลาผลึกเส้นโลหิตมังกรก็คงจะบรรลุระดับการฝึกตนไปอีกหลายขั้นจนระดับขั้นซืวฉืออยู่ใกล้แค่เอื้อม! หลายปีมานี้ผลึกเส้นโลหิตมังกรที่เจ้าสำนักผนึกไว้ไม่สามารถขัดเกลาได้ราววัวพันธุ์งามที่เดินลงสู่ทะเลลึก ทว่าในตอนนี้พลังนั้นตื่นขึ้นมาแล้ว!

ทว่าการบรรลุสามระดับขั้นภายในคืนเดียวนั้นถือเป็นเรื่องที่น่าตกใจยิ่ง เพราะเยี่ยฉวนเพิ่งออกจากสุสานเทพเจ้าไม่นานมานี้ หากก้าวหน้าเร็วเกินไปคงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก

ยิ่งไปกว่านั้นเขาตระหนักดีว่าการต้องทนทุกข์ถูกสุสานเทพเจ้าจองจำมาเป็นเวลานานหลายปี ทำให้ได้รับบทเรียนสำคัญว่าการฝึกตนจนทักษะรุดหน้าอย่างรวดเร็วนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดี...การบรรลุแต่ละระดับขั้นอย่างต่อเนื่องและวางรากฐานให้แข็งแกร่งอย่างเต็มที่ก่อนก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดเป็นวิธีที่สมควรทำอย่างแท้จริง!

ในขณะที่ทุกคนต่างต้องการบรรลุแต่ละระดับขั้นโดยเร็วทว่าเยี่ยฉวนไม่ต้องการเช่นนั้น เขาไหลเวียนปราณวิญญาณแห่งฟ้าดินเข้าสู่จุดตันเถียน ผิวหนัง กล้ามเนื้อ เส้นเอ็นและกระดูกอย่างช้าๆ

กลางดึกสายลมเย็นพัดผ่านเป็นระยะ บนยอดเขาเมฆาอินทนิลเงียบสงบ มีเพียงเสียงเห่าหอนของหมาป่าดังแว่วมาแต่ไกล

ขณะที่เยี่ยฉวนนั่งทำสมาธิอยู่บนพื้น คิ้วของเขาก็ขมวดเล็กน้อยทันทีที่เสียงกรอบแกรบดังมาจากลานกว้าง มันคือเสียงฝีเท้านั่นเอง! กลิ่นกายหอมหวานที่คุ้นเคยลอยโชยมาตามสายลมหนาว

สาวน้อย...ยับยั้งใจไม่ได้สินะ! เยี่ยฉวนยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัยและยังคงนั่งสมาธิต่อไป

ณ นอกลานกว้างปรากฏร่างชายสามหญิงหนึ่งยืนลับๆ ล่อๆ อยู่

“เร็วสิ! รออะไรกันอยู่เล่า?! ไปจับมันมัดไว้แล้วทุบตีสั่งสอนให้มันหลาบจำซะ!” จูซือเจียจ้องเขม็งไปยังลูกศิษย์หนุ่มของสำนักทั้งสามคน ยิ่งนางคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ยิ่งแค้นใจ หลังลงจากยอดเขาเมฆาอินทนิลจึงสั่งให้ชายหนุ่มทั้งสามคนขึ้นยอดเขาเมฆาอินทนิลยามวิกาลเพื่อสั่งสอนบทเรียนที่ไม่มีวันลืมให้แก่เยี่ยฉวน!

ไอ้บ้าเยี่ยฉวนฉวยโอกาสแตะต้องร่างกายนาง หากไม่สั่งสอนบทเรียนให้เขาสักครั้ง ความโกรธของนางก็คงไม่มีวันจางหาย!

“เจียเจีย...ทำแบบนี้จะดีหรือ? อย่างไรเสีย...เจ้านั่นก็เป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ หากท่านอาวุโสรู้เข้า…” ชายหนุ่มร่างอ้วนนามว่า จ้าวต้าจื่อ เตรียมตัวลงมือสั่งสอนเยี่ยฉวน ทว่าเขากลับลังเลในนาทีสุดท้าย ชายหนุ่มอีกสองคนก็เช่นกัน ก่อนหน้านี้ตกปากรับคำอย่างขึงขังแต่เมื่อถึงเวลากลับทำตัวขี้ขลาดเสียได้!

นี่ไม่ใช่การสั่งสอนศิษย์นอกสำนักแต่เป็นการลงมือกับศิษย์พี่ใหญ่ของสำนัก หากอ้างอิงจากกฎของสำนักแล้ว มันนับว่าเป็นความผิดมหันต์แน่นอน!

“พวกโง่เอ๊ย! ไม่รู้จักวิธีปลอมตัวหรืออย่างไร? หลังเสร็จงานนี้แล้วผู้ใดจะรู้ว่าเป็นฝีมือของพวกเจ้า? หากมีอะไรผิดพลาดข้าจะจัดการเอง ทำเป็นกลัวไปได้! เจ้าอ้วน...หยุดปอดแหกเสียที! ยังอยากเป็นศิษย์ในสำนักกันอยู่หรือไม่?!” จูซือเจียตะโกนข่มขู่ ภายใต้ความกดดันของนาง ชายหนุ่มทั้งสามจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้ผ้าสีดำคลุมปกปิดใบหน้าและเดินไปทางลานกว้าง

เมื่อเดินไปได้สองสามก้าว เจ้าอ้วนจ้าวต้าจื่อก็หันกลับไปถามจูซือเจีย “เจียเจีย เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ว่าศิษย์พี่ใหญ่บรรลุเพียงแค่ขั้นอู่เจ๋อระดับหนึ่ง?”

“แน่ใจสิ! ท่านปู่เป็นคนบอกกับข้าเอง” จูซือเจียตอบกลับพลางพยักหน้า

“เข้าใจแล้ว...”

จากนั้นจ้าวต้าจื่อก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ หากท่านผู้อาวุโสสูงสุดเป็นคนบอกเช่นนั้นก็คงจะไม่มีปัญหา...ใช่ไหม? ลูกศิษย์หนุ่มทั้งสามคนต่างมีระดับการฝึกตนอยู่ในขั้นอู่เจ๋อระดับเจ็ด การให้คนสามคนรุมทำร้ายคนที่อยู่ขั้นอู่เจ๋อระดับหนึ่งนั้นมันไม่ง่ายไปหน่อยหรือ?!

ชายหนุ่มทั้งสามปีนข้ามกำแพงและค่อยๆ ย่องไปทางห้องตำรา

“หึ! หลังจากนี้เจ้ายังจะกล้าทำตัวจองหองอีกหรือไม่?! คิดว่าเป็นศิษย์พี่ใหญ่แล้วจะทำเช่นไรก็ได้หรืออย่างไร?!” จูซือเจียที่คอยดูต้นทางอยู่ด้านนอกเกิดความโมโหเมื่อหวนนึกถึงสายตาโลมเลียจากเยี่ยฉวน

ผ่านไปครู่ใหญ่ ทว่าเสียงร้องโอดโอยที่คาดการณ์ไว้ยังไม่ดังออกมาจนจูซือเจียเริ่มแปลกใจ

เวลาผ่านไปครึ่งก้านธูปแล้วทว่าภายในกระท่อมยังคงเงียบสงบ จูซือเจียจึงร้อนรน หลังจากที่เจ้าอ้วนและลูกน้องทั้งสองคนปีนข้ามกำแพงก็ไม่มีเสียงใดเกิดขึ้นอีกเลยราวพวกเขาหลุดเข้าไปยังโลกอื่น...

“เจ้าอ้วน...เจ้าอ้วน...”

จูซือเจียกระซิบเรียกสองสามครั้ง...ใจนึกอยากปีนเข้าไปแล้วตรวจดูให้แน่ใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่! ทันใดนั้นศีรษะพลันหนักอึ้ง แขนขาทั้งหมดอ่อนแรงก่อนล้มลงกองกับพื้น ขณะนั้นเองเยี่ยฉวนเดินออกมาจากประตูพร้อมรอยยิ้มละไม ในพุ่มไม้ใกล้ๆ นั้นมีธูปที่ไหม้ไปแล้วครึ่งก้านจุดอยู่

“ไอ้สารเลว เจ้าวางยาข้ารึ?!” จูซือเจียขบฟันแน่นเมื่อรู้ตัวว่าตกหลุมพรางของเยี่ยฉวน

“เปล่า! ข้าเปล่าได้ใช้ยาพิษเลยนะ ศิษย์พี่ใหญ่เพียงออกมาเก็บสมุนไพรจึงจุดธูปไล่ยุงนิดหน่อยเท่านั้นเอง...พวกเจ้าโชคร้ายสูดดมเข้าไปต่างหาก”

เยี่ยฉวนหัวเราะพลางอุ้มจูซือเจียเข้าไปด้านในแล้ววางนางลงตรงแคร่ไม้ที่มีชายอีกสามคนนอนอยู่ก่อนแล้ว ทุกคนต่างนอนคว่ำหน้าทว่าบั้นท้ายกลับยกสูงขึ้น ยามนี้คนทั้งสี่ยังคงมีสติดังเดิม เพียงแต่ไม่สามารถขยับร่างกายได้เลย เมื่อเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของเยี่ยฉวน พวกเขาก็สังหรณ์ใจว่าต้องมีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นเป็นแน่!

“เจ้าจะทำอะไร?!” จูซือเจียเริ่มหวาดผวา

“ข้าเคยบอกแล้วว่าถ้าเจ้าไม่เชื่อฟัง ข้าจะตีก้นเจ้า! เวลานี้ท่านเจ้าสำนักไม่ได้อยู่ที่นี่ ศิษย์พี่ใหญ่จึงไม่มีทางเลือกนอกจากรักษากฎ!”

เยี่ยฉวนเผยรอยยิ้มร้ายกาจพลางยกไม้กวาดในมือขึ้น ขณะที่มืออีกข้างดึงกางเกงของเจ้าอ้วนลงก่อนหวดไม้กวาดฟาดลงตรงบั้นท้าย! เมื่อเสียง ‘เพียะ’ ดังขึ้น เจ้าอ้วนก็ร้องโอดโอยออกมา ตรงสะโพกมีรอยเลือดซิบ

ไม้กวาดสีดำในมือเยี่ยฉวนนั้นเป็นไม้กวาดธรรมดา ทว่าเมื่อฟาดลงมาแต่ละครั้งนั้นกลับเจ็บแสบยิ่งนัก! นี่สินะคือความรู้สึกปวดร้าวยันกระดูก!

แม้ทักษะของเจ้าอ้วนไม่เอาไหนทว่าก็ยังบรรลุขั้นอูเจ๋อระดับเจ็ด! หากเทียบกับคนธรรมดาแล้วร่างกายของเขานั้นแข็งแกร่งกว่าหลายเท่า กระบี่หรือมีดทั่วๆ ไปยังไม่สามารถทำให้เกิดรอยแผล ทว่าไม้กวาดของเยี่ยฉวนกลับทำให้เจ้าอ้วนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดราวกับหมูกำลังจะถูกเชือด! แม้แต่ปราณวิญญาณที่ฝึกไว้ใช้ปกป้องร่างกายก็ไร้ประโยชน์!

เวลาล่วงเลยไปนับล้านปีแต่ความน่าเกรงขามของไม้กวาดด้ามนี้ยังคงเดิม พลังการฟาดทะลุปราณวิญญาณของมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ  ด้วยเหตุนี้มันจึงถูกเรียกว่า ‘แส้เทวะ’ น่าเสียดายที่ไม้กวาดด้ามนั้นถูกวางตากลมฝนอยู่ด้านนอกหอศาสตราวุธนานหลายปีจนทำให้คนรุ่นใหม่ไม่รับรู้ถึงความร้ายกาจของมัน!

“อย่านะ!” จูซือเจียตะโกนออกมาด้วยความกลัวพลางยื่นมือออกไปเพื่อปิดสะโพก

เอวของจูซือเจียคอดบางทว่าสะโพกกลับผึ่งผายใหญ่กว่าสะโพกของเจ้าอ้วนเสียอีก! มือทั้งสองข้างนั้นเล็กเกินกว่าที่จะปิดบั้นท้ายผายอวบนั้นมิด...เมื่อรู้สึกได้ว่าเยี่ยฉวนยืนอยู่ด้านหลังนางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่า หัวใจเต้นรัวราวกับมันจะหลุดออกมาด้านนอก! โชคดีผ่านไปครู่หนึ่งแล้วเยี่ยฉวนก็ยังไม่ดึงกางเกงของนางลง อีกทั้งยังไม่ได้หวดไม้กวาดในมือลงมา…

‘หึ! ดูเหมือนว่าเจ้านี่ยังมีไหวพริบและรู้จักยั้งมือ! ก่อนที่จะลงโทษข้าก็ต้องดูก่อนสิว่าข้าคือใคร! หากกล้าดึงกางเกงหลานสาวสุดที่รักของท่านปู่ลง เจ้าคิดหรือว่าจะรอดไปได้?!’

จูซือเจียคิดในใจพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก การอ้างสถานะท่านผู้อาวุโสสูงสุดของท่านปู่ยังคงใช้ได้ตลอดสินะ!

“เพียะ!”

เยี่ยฉวนไม่ได้ยกไม้กวาดในมือขึ้น ทว่าเขาก็ไม่ได้เพิกเฉยต่อความผิดของจูซือเจีย เขาจึงฟาดบั้นท้ายของนางด้วยฝ่ามือ จูซือเจียสวมชุดรัดรูปสีแดงที่เผยให้เห็นรูปร่างอันเย้ายวน ผิวสัมผัสของนางนั้นไม่เลวแม้มีผ้ากั้นตรงอยู่กลางก็ยังสัมผัสได้ถึงความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ เขาฟาดมือลงไปไม่แรงมากแต่บั้นท้ายของนางก็ยังสั่นสะเทือน

ขะ...เขาตีจริงหรือ?

จูซือเจียน้ำตาคลอเบ้า ใจหนึ่งรู้สึกโกรธเคืองและอดสู และใจหนึ่งก็รู้สึกเศร้าโศก ตั้งแต่เยาว์วัยจนเติบใหญ่ไม่เคยมีผู้ใดกล้าฟาดนางเช่นนี้ ทว่าเมื่อโตเป็นสาวกลับถูกฟาดต่อหน้าผู้อื่น! น่าอับอายยิ่งนัก!

เจ้าอ้วนและคนอื่นๆ ต่างนอนคว่ำหน้าและคร่ำครวญอยู่ในใจ พวกเขาไม่คิดเลยว่าเยี่ยฉวนจะกล้าฟาดบั้นท้ายของจูซือเจีย...พวกเขาเจอกับปัญหาใหญ่เข้าแล้ว! โดยปกติแล้วหญิงสาวผู้นี้เป็นคนมุทะลุ แล้วนางจะยอมรับความอัปยศเช่นนี้ได้อย่างไร?!

เยี่ยฉวนคือศิษย์สายตรงของท่านเจ้าสำนัก อีกทั้งยังเป็นศิษย์พี่ใหญ่ จูซือเจียจะทำอะไรเขาได้?! ชีวิตของพวกเขาต้องจบลงเป็นแน่! จูซือเจียจะต้องมองพวกเขาเป็นกระโถนรองรับอารมณ์แน่นอนเหตุเพราะทำงานไม่ได้เรื่อง!

เจ้าอ้วนและพรรคพวกอีกสองต้องการตายเสียเดี๋ยวนี้เพื่อให้เรื่องทุกอย่างจบสิ้น!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด