ขุนศึกสยบสวรรค์ บทที่ 2 ถ้าไม่เชื่อฟังจะโดนตีก้น!
บทที่ 2 ถ้าไม่เชื่อฟังจะโดนตีก้น!
จูซือเจียผู้มีเรือนร่างเย้ายวนจัดการปัญหาต่างๆ ด้วยความกระฉับกระเฉง ในที่สุดจึงตรวจสอบพบข้อเท็จจริงอย่างรวดเร็ว!
หลักฐานต่างๆ ในตำราเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสิ่งที่เยี่ยฉวนกล่าวถูกต้องทั้งหมด!
สำนักหมอกเมฆาเชี่ยวชาญด้านการปรุงยาที่สุดในจักรวรรดิต้าฉิน ทว่ากลับละเลยรายละเอียดสำคัญ...พวกเขาสืบทอดวิธีการปรุงยาที่ผิดพลาดมาตลอด! เพราะความจริงแล้วการปรุงยาชนิดนี้จะต้องใช้ผลไม้ที่มีอสรพิษเพศเมียเลื้อยออกมาเท่านั้น!
ข่าวเยี่ยฉวนชี้แนะข้อผิดพลาดแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ผู้อาวุโสบางรายถึงขั้นเดินทางมายังห้องโถงอีกครั้งเพื่อตรวจสอบเขาด้วยตาตนเอง!
ผู้ฝึกตนที่มีทักษะสามัญเช่นเขารู้เคล็ดวิชาลับเกี่ยวกับการปรุงยาเม็ดมังกรอสรพิษได้อย่างไร?! บรรดาศิษย์ในสำนักต่างพิศวงกับเรื่องนี้ แม้แต่อาวุโสลำดับสูงสุดยังประหลาดใจยิ่ง!
เยี่ยฉวนกล่าวตอบคำถามดังกล่าวเพียงว่า อ่านจากตำรา เพื่อให้ทุกคนคลายสงสัย...
นานหลายปีแล้วที่ท่านเจ้าสำนักออกท่องยุทธภพ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดชี้แนะวิธีการฝึกตนให้เยี่ยฉวน แม้บนยอดเขาเมฆาอินทนิลจะมีตำราเคล็ดวิชามากมายแต่ก็มีจำนวนมากเหลือเกิน ท่ามกลางกองตำราเหล่านี้มีเคล็ดวิชาปรุงยาที่เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญอยู่สองสามเล่ม...เป็นไปได้ว่าเขาอาจอ่านพบเคล็ดลับการปรุงยามังกรอสรพิษจากตำราสักเล่มก็เป็นได้!
“นำกงล้อประสงค์สวรรค์ออกมา!” อาวุโสลำดับสูงสุดออกคำสั่งเสียงทุ้มขณะมองเยี่ยฉวนตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างมีความหวัง
การรอดชีวิตจากหายนะครั้งใหญ่อาจช่วยดึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวออกมาใช้และทำให้รอดชีวิตก็เป็นได้! หากเยี่ยฉวนเป็นเช่นนั้นจริง สำนักหมอกเมฆาควรบ่มเพาะทักษะการฝึกตนของเขาได้แล้ว...เพื่อตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่ของเขาจะได้ไม่ไร้ประโยชน์!
จากนั้นทหารอารักขาจึงเข็นกงล้อประสงค์สวรรค์ซึ่งเป็นของวิเศษเก่าแก่ที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นออกมา ทันใดนั้นลำแสงสีเขียวจากกงล้อนั้นส่องไปยังร่างกายของเยี่ยฉวน
พลังยุทธ์ปานกลาง ทักษะธรรมดา ครรภ์สามัญ การเติบโตปกติ ร่างกายไม่ผิดแปลกจากเดิม กระดูกอ่อนแอและเปราะบาง...
ร่างกายของเขาอ่อนแอกว่ามนุษย์ธรรมดาที่ไม่ได้เป็นผู้ฝึกตนเสียอีก!
อาจเป็นเพราะในวันนี้ร่างกายของเขาอ่อนแอความสามารถจึงลดลงจากวันก่อนๆ ด้วยทักษะการฝึกตนระดับนี้จึงยากที่จะบ่มเพาะให้มีความโดดเด่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการฝึกฝนวิทยายุทธที่ลึกซึ้ง
“เจ้าสมควรได้รับการยกย่องเนื่องจากกระทำความชอบต่อสำนัก...การแก้ไขข้อผิดพลาดในการปรุงยาเม็ดมังกรอสรพิษไม่ใช่เรื่องง่าย เจียเจีย…เจ้ายังมียาเม็ดชำระไขกระดูกอยู่หรือไม่? มอบมันให้เยี่ยฉวนเถิด จากนั้นจงส่งเขากลับยอดเขาเมฆาอินทนิล” อาวุโสสูงสุดลอบถอนหายใจที่เหล็กที่ไม่สามารถแปรเป็นเหล็กกล้า ก่อนส่ายหน้าพร้อมหมุนกายจากไป ท่านเจ้าสำนักรับเยี่ยฉวนเป็นศิษย์สายตรงเพียงผู้เดียว ทั้งยังเป็นศิษย์ที่ใช้เวลาฝึกตนในสำนักนานที่สุดเช่นกัน! ชายชราเอ็นดูเยี่ยฉวนยิ่ง ทว่าความสามารถของเขาธรรมดาเกินไปจนน่าเสียดาย...
“หึ! ทักษะธรรมดา การเติบโตปกติ ร่างกายไม่มีสิ่งใดผิดแปลก ต่อให้กินยาชำระไขกระดูกมากเท่าใดก็สิ้นเปลืองเสียเปล่า!”
อาวุโสลำดับสามแค่นเสียงพลางเดินออกไปพร้อมผู้อาวุโสลำดับห้าและบรรดาผู้ติดตามคนอื่นๆ
“หึ! เอาไปสิไอ้โง่! ช่างโชคดีเสียจริง! ไปกันได้แล้ว!” จูซือเจียล้วงขวดใสออกมาจากอกเสื้อก่อนโยนให้เยี่ยฉวนอย่างไม่เต็มใจพร้อมหมุนกายกลับ
ขวดใสนั้นเป็นของกำนัลจากท่านปู่ของนาง ภายในบรรจุยาเม็ดสีเขียวเข้ม เดิมทีนางเพียงต้องการทำให้อีกฝ่ายตกที่นั่งลำบากจนแสดงความเขลาต่อหน้าศิษย์คนอื่นๆ ไม่คาดคิดว่าสิ่งที่นางต้องการกลับไม่เกิดขึ้น หนำซ้ำยังต้องเสียยาเม็ดที่มีให้เขาอีก!
“คราหน้าให้เรียกข้าว่าศิษย์พี่ใหญ่...ไม่เช่นนั้นข้าจะตีก้นเจ้า!”
เยี่ยฉวนก้มมองยาเม็ดชำระไขกระดูกในขวดใสพลางเหลือบตามองบั้นท้ายงอนงามของจูซือเจีย ก่อนหัวเราะเบาๆ พร้อมกับสบตาหญิงสาว
แม้ระดับขั้นการฝึกตนของจูซือเจียสูงกว่า ทว่าสำหรับเขาที่เคยเป็นถึงนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตแล้ว ไม่ว่าระดับการฝึกตนจะสูงเพียงใดนางก็เป็นเพียงสตรีตัวเล็กๆ เท่านั้น!
“หึ! เจ้ากล้ารึ?! ใครจะตีก้นใครกันแน่!”
จูซือเจียแค่นเสียงพลางเดินนำไปอย่างโกรธเคืองขณะที่จิตใจเกิดความสับสน เยี่ยฉวนเคยเป็นคนขี้ขลาดและหนีปัญหา เขาพยายามหลีกเลี่ยงการพบปะกับผู้คน บัดนี้นิสัยของเขาเปลี่ยนไปราวคนละคน! เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะรู้แจ้งหลังรอดพ้นจากหายนะ! หรือเขาโกรธแค้นที่ทางสำนักไม่ส่งคนไปช่วยเหลือได้ทันเวลา...สภาพจิตใจของเขาจึงเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง?!
หญิงสาวครุ่นคิดแล้วก็ยิ่งอารมณ์เสีย ครั้นเดินออกจากห้องโถงจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นด้วยตั้งใจให้อีกฝ่ายเดินตามไม่ทันและเกิดความอับอาย ทำให้บั้นท้ายงอนงามสั่นสะเทือนเป็นจังหวะ
‘ไอ้สารเลว! วางท่าจองหองนักรึ?! ข้าจะทำให้เจ้าเดินตามไม่ทัน ในตอนนั้นข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะยังหยิ่งผยองได้หรือไม่!’
คิดเช่นนั้นแล้วนางจึงลอบกระหยิ่มยิ้มย่อง นางเป็นศิษย์ของหอแปรธาตุที่ฝึกตนอย่างหนักจนบรรลุถึงขั้นซิวฉือระดับที่หนึ่ง ทว่าเยี่ยฉวนเป็นเพียงศิษย์พี่ใหญ่ที่บรรลุเพียงขั้นอูเจ๋อระดับที่หนึ่งเท่านั้น! หากเป็นผู้อื่นที่ครอบครองตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่แต่มีทักษะต่ำต้อยเช่นนี้คงอับอายจนไม่กล้าโผล่หน้ามาให้นางเห็น...แล้วเขาเอาความหยิ่งผยองเช่นนี้มาจากไหน?!
หญิงสาวเดินเร็วมากจนไม่ทันสังเกตว่าทหารอารักขาหลายนายลอบมองหน้าอกและบั้นท้ายของนางตลอดทาง ขณะที่นางนึกกระหยิ่มใจที่ตนคิดหาวิธีทำให้เขาขายหน้าได้แล้ว นางกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ...จึงหันกลับไปมองและพบว่าเขายังยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่ด้านนอกประตู แผนการทั้งหมดของนางสูญเปล่าเพราะเขาไม่ได้ติดตามมาตั้งแต่แรก!
“ไอ้สารเลว! เจ้าไม่อยากกลับไปยังยอดเขาเมฆาอินทนิลรึ?!” นางโกรธเคืองยิ่งนักเมื่อหันกลับไปพบว่าอีกฝ่ายยืนนิ่งไม่ไหวติง ทำให้นางจำต้องเดินย้อนกลับไปหาพร้อมกระทืบเท้าจนเสียงดังคล้ายกำลังตีกลอง ใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นเต็มไปด้วยความเย็นชาราวกับจะสังหารคน!
เหล่าทหารอารักขาที่เฝ้าอยู่ด้านข้างเห็นว่าสถานการณ์เริ่มเลวร้ายจึงรีบก้มหน้า หากยังมองต่อไปเกรงว่านางจะโกรธายิ่งขึ้น!
บรรดาศิษย์ต่างรู้จักจูซือเจียในฐานะหนึ่งในศิษย์ชั้นเลิศที่เก่งกาจที่สุดในสำนักหมอกเมฆา ทั้งยังเป็นหลานสาวเพียงผู้เดียวของอาวุโสลำดับสูงสุด ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดกล้าทำให้นางขุ่นเคือง
เยี่ยฉวนไม่แสดงท่าทีโกรธเคือง ทว่ากลับระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น!
สตรีนางนี้เห็นเขาเป็นคนเช่นไรกัน?! เขาไม่มีทางลดตัวลงไปโต้เถียงกับนางเป็นแน่! “เจียเจีย...ข้าขอโทษ ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ข้าไม่มีแม้แต่อาวุธไว้ป้องกันตัว เจ้าช่วยพาข้าไปยังหอศาสตราวุธก่อนได้หรือไม่?”
“หืม?” จูซือเจียพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
“ไม่ได้รึ? หรือจำเป็นต้องมีตรารับรองจากผู้อาวุโสเสียก่อน?” เขาเอ่ยถาม
จูซือเจียยืนกอดอกก่อนกล่าวตอบ “ไม่จำเป็น! การเข้าไปในหอศาสตราวุธเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยสำหรับข้า เพียงแต่ตอนนี้ข้าเหนื่อยจนเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว…”
“อ้อ เหนื่อยงั้นรึ?!” เยี่ยฉวนผงกศีรษะพร้อมผายมือออก “เจ้ากล้าเพิกเฉยต่อศิษย์พี่ใหญ่หรือ?! ดูเหมือนว่าสาวน้อยเช่นเจ้าจะทำตัวซุกซนเกินไปเสียแล้ว ข้าคงต้องตีก้นเจ้าเป็นการลงโทษ!”
“เจ้ากล้ารึ?!”
จูซือเจียขบกรามแน่นพลางโก่งสะโพกอย่างท้าทาย “มาสิ! ตีเลย! ข้าท้าให้เจ้าตี!”
“เพียะ!”
เสียงดังคมชัดก้องไปทั่วบริเวณทำให้จิตใจของทุกคนรวมถึงจูซือเจียสะท้านอย่างฉับพลัน!
‘นี่เขากล้าตีจริงๆ หรือ?!’
เยี่ยฉวนกล้าตบบั้นท้ายบอบบางน่าหลงใหลนั้นจริงๆ! เขาใช่คนเดียวกันกับศิษย์พี่ใหญ่ผู้ขี้ขลาดและชอบหนีปัญหาอยู่เป็นนิจหรือไม่?!
ทหารอารักขาที่เฝ้าอยู่โดยรอบต่างเงยหน้าขึ้น...ดวงตาเบิกโพลงอย่างไม่เชื่อสายตา!
“ใกล้ถึงเหมันตฤดูแล้ว เหตุใดที่นี่จึงยังมีแมลงวันบินว่อนอยู่เล่า?!”
เยี่ยฉวนโคลงศีรษะพลางแบมือสะบัดซากแมลงวันออก
ทุกคนต่างถอนหายใจเฮือกใหญ่ ขณะที่ใบหูของจูซือเจียค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม เสียง ‘เพียะ’ เมื่อครู่ย้ำเตือนว่าเยี่ยฉวนกล้าใช้ฝ่ามือตีบั้นท้ายของนางจนสั่นสะเทือนจริง เห็นทีคำพูดที่ว่าหากรอดจากสถานการณ์วิกฤตสภาพจิตใจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงคงเป็นเรื่องจริงเสียแล้ว! แม้บั้นท้ายของนางจะถูกตีทว่านางไม่มีแม้แต่โอกาสจะเรียกร้องความยุติธรรมให้ตนเอง เพราะเขาเป็นศิษย์พี่ใหญ่อย่างไรล่ะ!
“เจียเจีย ฟ้าเริ่มมืดแล้ว…รีบไปกันเถิด หากเจ้ายังไม่เชื่อฟังอีก ครั้งนี้ข้าจะตีก้นเจ้าจริงๆ แล้วนะ ส่วนพวกเจ้าน่ะ! มองสิ่งใดกัน?! มีเวลาว่างคอยสอดส่องไปทั่วเช่นนี้แสดงว่าทำหน้าที่ทหารอารักขาได้แย่นัก! ศีลธรรมของพวกเจ้าถดถอยลงทุกวัน...ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดชื่อเสียงของสำนักหมอกเมฆาจึงเสื่อมเสีย!” เยี่ยฉวนส่ายหน้าพลางเดินเบี่ยงออกไปทางซ้าย
สมัยที่ราชาโอสถหัตถ์วิญญาณก่อตั้งสำนักหมอกเมฆาในยุคแรกๆ เหล่าทหารอารักขาล้วนมีภาพลักษณ์ดุร้ายราวพยัคฆ์และหมาป่า ต่อให้ท้องฟ้าถล่มทลายพวกเขาก็ไม่เผยอารมณ์ใด ช่างแตกต่างจากทหารอารักขาในยุคปัจจุบันที่ไม่สามารถหักห้ามใจให้มองบั้นท้ายหญิงสาวด้วยซ้ำ!
แม้อารมณ์จูซือเจียคุกรุ่นเพียงใด ทว่าเรือนร่างของนางยังคงเย้ายวนเช่นเดิม...
เยี่ยฉวนอมยิ้มขณะลอบมองบั้นท้ายของอีกฝ่ายพร้อมเร่งฝีเท้าเดินนำไปด้านหน้า
ท่าทางมั่นใจราวชำนาญเส้นทางของเยี่ยฉวนทำให้จูซือเจียที่เดินติดตามไปถึงกับขบกรามแน่น “นี่! เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าหอศาสตราวุธอยู่ทางนี้?!”
เยี่ยฉวนเข้าสำนักมานานที่สุดในบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ก็จริง ทว่าทักษะที่ไร้ซึ่งความโดดเด่นเพราะไม่มีผู้ใดให้คำชี้แนะ ทำให้เขามักขลุกตัวอยู่บนยอดเขาเมฆาอินทนิลจนแทบไม่เดินไปที่ใดในสำนักด้วยซ้ำ แตกต่างจากศิษย์บางรายที่แม้เข้าสำนักมาเพียงไม่กี่วันก็รู้จักเส้นทางในสำนักทั้งหมด จูซือเจียจึงอดไม่ได้ที่จะแปลกใจเมื่อเห็นเยี่ยฉวนเดินไปยังหอศาสตราวุธอย่างคล่องแคล่ว
“ข้าเพียงคาดเดาเท่านั้น และคาดเดาถูกเสียด้วย! โชคดีจริง!” เยี่ยฉวนยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ทำให้จูซือเจียแปรเปลี่ยนจากความสงสัยเป็นโกรธเคือง
“เจียเจีย เหตุใดสำนักของเราถึงเปิดรับลูกศิษย์อย่างกะทันหันเช่นนี้เล่า? กำลังคนไม่พอหรืออย่างไร?” เยี่ยฉวนเอ่ยถาม
“จักรวรรดิต้าฉินเพิ่งสถาปนาจักรพรรดิองค์ใหม่เมื่อเดือนที่แล้ว พวกเขาอ้างว่าต้องการฝึกฝนนักรบเพื่อให้อาณาจักรมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้น ทั้งยังต้องการให้สำนักของเราส่งถวายของกำนัลเป็นยาเม็ดชั้นเลิศสองหมื่นสามพันเม็ด! รวมไปถึงยาเม็ดพลังหยางบริสุทธิ์ระดับสวรรค์สามเม็ด ยาเม็ดเมฆาอินทนิลขั้นปฐพีสามร้อยเม็ด ยาเม็ดขั้นซวนห้าพันเม็ด ยาเม็ดขั้นอำพันเจ็ดพันเม็ด และต้องการให้สำนักของเราส่งยาเม็ดเหล่านี้ให้หมดภายในครึ่งปี! หากภารกิจสำเร็จ…ภูเขาทุกลูกที่อยู่ในรัศมีแปดพันลี้จะอยู่ในการครอบครองของสำนัก แต่หากไม่สำเร็จ…สำนักของเราจะถูกยึดครอง!”
จูซือเจียเบ้ปากพร้อมเผยสีหน้าเคร่งเครียดขณะบอกเล่าสถานการณ์ให้เยี่ยฉวนรับทราบ ภารกิจที่ยากลำบากเหล่านั้นทำให้จูซือเจียถึงขั้นขมวดคิ้วด้วยรู้สึกวิตกกังวลยิ่ง
“เข้าใจแล้ว...” เยี่ยฉวนพยักหน้ารับรู้ เขาหายตัวไปถึงสามเดือนเต็มจึงไม่รู้เกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้ “ระยะเวลาช่างกระชั้นชิด หากสำนักของเราไม่ต้องการตกอยู่ภายใต้อำนาจของผู้อื่นคงมีเพียงหนทางเดียวคือเฟ้นหาและเพิ่มกำลังคนเท่านั้น!”
“ฮี่ม! หากเจ้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่น่าเชื่อถือกว่าที่เป็นอยู่เพียงนิด สถานการณ์ต่างๆ คงไม่เลวร้ายเช่นนี้หรอก!”
จูซือเจียทำหน้าบึ้งพลางก้าวเดินไปด้านหน้าก่อนแสดงตราสัญลักษณ์ที่เหน็บอยู่ตรงเอวให้ทหารอารักขาดู พวกเขาจึงปล่อยให้ทั้งคู่เดินผ่านไปได้
ทั้งสองเดินเคียงกันไปจนถึงอาคารเก่าแก่ซึ่งมีรูปทรงและกลิ่นอายที่น่าสนใจ อาวุธและสมบัติล้ำค่าของสำนักหมอกเมฆาถูกเก็บไว้ภายในหอโบราณหลังนี้ บริเวณด้านนอกประตูมีหินอ่อนแกะสลักเป็นรูปของบุคคลหนึ่งที่กำลังควบม้า...คนผู้นั้นคือ ‘ราชาโอสถหัตถ์วิญญาณ’ มหาปราชญ์ผู้ก่อตั้งสำนักหมอกเมฆาแห่งนี้นั่นเอง!
ด้านหน้ารูปสลักมีธูปเทียนจุดอยู่ทำให้บรรยากาศหอมอบอวลไปด้วยกลิ่นไม้จันทน์ ขณะนั้นเองเยี่ยฉวนสังเกตเห็นไม้กวาดด้ามหนึ่งถูกวางทิ้งไว้ตรงมุมห้อง โดยปกติแล้วผู้ดูแลจะใช้ไม้กวาดด้ามนี้ปัดขี้เถ้าจากก้านธูป แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดสามารถบอกได้ว่ามันอยู่บนโลกมานานเท่าใด!
“ชั่วนิรันดร์ผ่านพ้นภายในพริบตา…แม้แต่กระต่ายเฒ่าก็ไม่อยู่ที่นี่แล้ว…”
เยี่ยฉวนถอนหายใจขณะเดินไปยังมุมห้องและหยิบไม้กวาดขึ้นมาลูบไล้เบาๆ บนโลกนี้มีเพียงไม่กี่คนที่กล้าเรียกราชาโอสถหัตถ์วิญญาณว่ากระต่ายเฒ่า ในปัจจุบันอาจไม่มีใครรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของราชาโอสถหัตถ์วิญญาณคือกระต่ายปีศาจ! เดิมทีเขานี้มักจะสร้างความวุ่นวายรอบๆ ภูเขาและขโมยพืชสมุนไพรที่ปลูกไว้ในสำนักจำนวนมากไปกินอยู่บ่อยครั้ง! ทว่าหลังถูกเยี่ยฉวนถูกปราบ...กระต่ายปีศาจก็เปลี่ยนอุปนิสัยจากหน้ามือเป็นหลังมือและก่อตั้งสำนักหมอกเมฆาขึ้น
ไม้กวาดด้ามนี้แตกต่างจากด้ามอื่น ไม้กวาดด้ามนี้เปรียบเสมือนต้นไม้ และต้นไม้ก็เปรียบเสมือนไม้กวาดด้ามนี้...
ต้นไม้ต้นนี้ถูกขุดมาจากวังเทพาอสูรหลังจากที่เยี่ยฉวนในภพชาติก่อนสังหารอสุรกายไปถึงเจ็ดสิบสองตน ต้นไม้นี้มีความสำคัญเพราะช่วยปลุกใจราชาโอสถหัตถ์วิญญาณและกลุ่มผู้พิทักษ์ให้ฝึกฝนอย่างหนัก และหากผู้ใดไม่เชื่อฟังจะใช้ไม้กวาดด้ามนี้ตีไปที่บั้นท้ายของคนผู้นั้น!
เวลาล้านปีผ่านไปเพียงชั่วพริบตา…ราชาโอสถหัตถ์วิญญาณและกลุ่มผู้พิทักษ์หายไปหมดแล้ว เหลือเพียงไม้กวาดด้ามนี้ที่วางทิ้งไว้ตากลมและฝนอยู่ตรงมุมห้อง ยามนี้นอกจากเหล่าผู้อาวุโสแล้วก็ไม่มีใครรู้ที่มาของไม้กวาดด้ามนี้อีกเลย...
“ว่าอย่างไรนะ ไอ้สารเลว?!” จูซือเจียหันไปมองเยี่ยฉวนเมื่อได้ยินเขาพึมพำบางอย่าง และแล้วจึงชะงักค้างไปชั่วขณะเมื่อเห็นใบหน้าเศร้าหมองของเขา
ไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงรู้สึกเศร้าหมองไปด้วย เขามีรูปร่างผอมเพรียวและสูงชะลูดราวกับกระบี่แหลมคม ใครจะรู้ว่าหลายปีผ่านมานี้เยี่ยฉวนต้องใช้ชีวิตในสำนักหมอกเมฆาด้วยความทุกข์ทรมานเพียงใด ยิ่งพินิจนางยิ่งรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนน่ารังเกียจ
“เปล่า…”
เยี่ยฉวนกล่าวคำออกพลางลูบจมูก “เจียเจีย เจ้ามองข้าไม่วางตาเชียวนะ...ศิษย์พี่ใหญ่หล่อเหลามากใช่หรือไม่? เจ้าสามารถย้ายไปพำนักบนยอดเขาเมฆาอินทนิลเพื่อช่วยงานข้าได้นะ!”
“ฝันไปเถิด!” จูซือเจียแค่นเสียง...ความประทับใจที่มีต่อเยี่ยฉวนพลันมลายหายไปทันที
‘ช่างเป็นหมาวัดที่อยากเด็ดดอกฟ้าเสียจริง! ให้ข้าเป็นผู้ช่วยของเจ้างั้นหรือ? เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้นแหละ! จริงๆ แล้วเจ้าอยากเอาเปรียบข้าต่างหาก! คิดว่าจะทำอย่างไรกับข้าได้ง่ายๆ อย่างนั้นสินะ!’
เมื่อจูซือเจียมองไปยังเยี่ยฉวนที่กำลังยกยิ้มเช่นนั้นก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น นางจึงหมุนตัวกลับด้วยความแค้นเคืองก่อนเดินบิดเอวเข้าไปในหอศาสตราวุธ...