[Rewrite,อ่านฟรี] Special District 9 ตอนที่ 2 การจราจล
ตอนที่ 2 การจราจล
ในหอพักตำรวจกองปราบพิเศษ
ฉินหยู่หรี่ตามองไปที่กลุ่มของหัวหน้าที่ก้าวย่างเข้ามาและตอบสั้นๆ แต่ชัดเจน “ฉันได้ยินแล้ว แต่นั่นไม่ใช่หน้าที่ของฉัน ฉันทำให้ไม่ได้”
“ทำไมวะ?! แกมีญาติผู้ใหญ่ในกรมรึไง!” พี่สามเข้ากระชากคอเสื้อฉินหยู่หิ้วขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มเหี้ยม “ฉันจะกระทุ้งแกให้ร่วง รอให้แม่แกมารับศพในไม่ช้านี้แหละ!”
“ปล่อยฉัน” น้ำเสียงฉินหยู่แข็งขึ้น แบบที่คนเก่งทั้งหลายได้ยินจะต้องเสียวสันหลังไม่มากก็น้อย
“โอ้ แกเป็นตะบองเพชรตั้งแต่เมื่อไหร่ฮะ!? ฉันจะขยี้แกให้ดู!” พี่สามยังมีร่างกายที่แข็งแกร่งอีกด้วย มือหนึ่งขยุ้มคอ แขนอีกข้างเหวี่ยงกำปั้นเข้าหาฉินหยู่ ก่อนจะถึงหน้าเขา ฉินหยู่สะบัดเอี้ยวตัวหลบหมัดพี่สาม และมือเขาทั้งสองพุ่งเข้าล็อกข้อมือกำปั้นพี่สาม และเตะขาพี่สามเบาๆ จนเขาเสียหลัก
แคล๊งงง!!! วาวววว…
พี่สามเสียหลักพุ่งเอาหัวไปกระแทกราวเหล็กของเตียงสองชั้นอย่างจัง เสียงแสบแก้วหูดังสนั่น
“กระทืบมัน!”
พี่สามตะโกนสั่งลูกน้องพร้อมกับเอามือกุมหัวอย่างมึนงง
ฉินหยู่เข้าพิงเตียง คว้าคอเสื้อพี่สามกระชากลงมาขณะที่เขายกเข่าขึ้นอย่างเร็ว กระแทกขมับพี่สามอย่างจัง!
พั้วะ!!
พี่สามหงายหลังกระเด็นไปชนกำแพงห้องดังโครม พี่สามเสียหลักและมึนงงไปเล็กน้อย แต่ยังมีแรงสั่งลูกน้องอีก
“เอามันให้ตาย! ข้ารับผิดชอบเอง!”
สิ้นเสียงคำสั่ง เหล่าลูกน้องเข้ามาล้อม ขณะที่ฉินหยู่หมุนตัวสองสามก้าวออกมาจากข้างเตียง มายืนพิงกำแพงตั้งรับอยู่ระหว่างข้างหน้าต่างกับเตียงนอน เขางอตัวเล็กน้อยเตรียมพร้อม
พี่สามลุกขึ้นไปหยิบกระบองตำรวจแบบยืดได้ที่แขวนไว้ที่กำแพง เขาสะบัดให้มันยืดออกและเดินเข้ามาหาฉินหยู่ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงต่ำเหมือนเดือดอยู่ภายใน “ไอ้เด็กอ่อนหัด มันจะคว่ำโต๊ะทุกตัว ทั้งที่เข้ามาใหม่เนี่ยนะ”
ณ ขณะนั้น ประตูห้องพักที่ไม่ได้ล็อกกลอนถูกผลักเปิดออก ผู้หญิงคนหนึ่งสวมเครื่องแบบตำรวจสีเขียวซีด ตะโกนเสียงดังเข้ามา “มีเรื่องห่าอะไรวะ!”
ทุกคนหันขวับมามองที่ประตูอย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อได้ยินเสียง
พี่สามนิ่งอึ้งไปชั่ววูบ แล้วรีบเช็ดเลือดที่หน้าผากและพูดด้วยรอยยิ้มทันที “พี่เหวิน”
“ฉันได้ยินเสียงเอะอะโวยวายในห้องของนายตั้งแต่ตรงทางเดิน พวกนายทำอะไรอยู่น่ะ หรือพยายามจะฆ่าใครอยู่หรือเปล่าหา?!” ตำรวจหญิงคนนั้นน่าจะอายุสามสิบต้นๆ เธอดูเตี้ยไปนิดเมื่อเทียบกับหญิงทั่วไปแต่เธอค่อนข้างสวย ใบหน้าทรงผลแตงโม ตากลมโตใสเหมือนหยาดน้ำค้าง
“ไม่มีอะไรครับพี่เหวิน เราแค่คุยกับเด็กใหม่สักครู่หนึ่งเท่านั้น” พี่สามตอบกลับไป
ตำรวจหญิงชำเลืองมองดูสภาพในห้อง และมองไปที่พี่สามด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายเล็กน้อย แล้วดุว่า “ทำไมนายต้องใช้ความรุนแรงขนาดนั้น แล้วเขาไปหาเรื่องนายตั้งแต่แรกเลยหรือไง?”
“เปล่า ฉันจัดตารางเข้ากะให้เขา แต่เขาไม่ยอมทำตามแล้วยังด่าคนอื่นอีก” พี่สามวางกระบองลงและกัดฟันอธิบายให้ตำรวจหญิงฟัง
“นี่นายเล่นไพ่ในเวลาปฏิบัติหน้าที่อีกแล้วใช่ไหม? ฉันเตือนนายกี่ครั้งแล้วเพราะเรื่องนี้” พี่เหวินเตือนเด็กของเธอด้วยน้ำเสียงเหมือนจะหมดความอดทน
“เข้าใจแล้วครับ พี่เหวิน” พี่สามผงกหัวรับคำซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างกลัวเกรง
พี่เหวินขี้เกียจที่จะเข้าไปในห้องพัก เธอจึงยืนที่ประตูและตะโกนเข้าไปหาฉินหยู่ “นายมาใหม่ใช่ไหม?”
“ใช่ครับ” ฉินหยู่ผงกหัวรับ
“ทำไมนายไม่ไปเอาชุดฟอร์ม?”
“ฉันเพิ่งไปมา แต่ไม่เจอใครครับ” ฉินหยู่ตอบซื่อๆ
“เหลวไหล ฉันอยู่ในห้องทำงานตลอดเวลา”
ฉินหยู่ตกใจ “อ้า! นั่นทำให้ฉันไม่เจอละมั้งครับ”
“ไปเอาชุดฟอร์มกับฉัน” พี่เหวินบอกแล้วหันเดินไป
“ครับผม” ฉินหยู่รับคำทันที และก้มไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าและเดินออกไป เขาเดินผ่านฉีหลินและพูด “นายไปกับฉัน”
ฉีหลินไม่รู้จะเผชิญหน้าพี่สามอย่างไรในขณะนี้ เมื่อเขาได้ยินอย่างนั้น ก็รีบตามฉินหยู่ไปทันที
ในหอพักกองปราบพิเศษ พี่สามนั่งเอาถุงน้ำแข็งประคบหลังและหัวของเขา และก้มหัวถุยเลือดปนน้ำลายลงพื้น
“ไอ้เด็กเวรนี่ต้องถูกลงโทษสักสองสามครั้ง ท่าทางมันมือสกปรกเข้ามา”
“พี่สาม เป็นไงบ้าง?” ลูกทีมคนอื่นถาม
พี่สามไม่ตอบ เขาล้วงโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรหาใครบางคน “เฮ้ย นายอยู่ในสำนักงานใช่มั้ย? ไม่เป็นไร ฉันว่าจะถามนาย นายมีแฟ้มของฉินหยู่เด็กใหม่ที่มาร่วมทีมกับฉันวันนี้ไหม? มันเหนือกว่าค่าเฉลี่ยเหรอ? มันมีเบื้องหลังอะไรมั้ย? …ไม่มีเหรอ? แน่ใจนะ? อ้า ใช่ ฉันรู้”
……
ระหว่างทางในระเบียงทางเดิน
พี่เหวินหันไปถามฉินหยู่ “นายฝีมือระดับท็อปเหรอ?”
ฉินหยู่ชะงัก “ไม่ครับ”
“ถ้าไม่ก็บอกมาตรงๆ สภาพแวดล้อมที่นี่ซับซ้อนมาก” พี่เหวินเตือนอย่างเย็นชา “ปกติ นายจะต้องเลี่ยงไม่พูดกับพวกชาวเมือง และนายต้องทนทานต่อการทำงานหนักมากขึ้น”
“ขอบคุณครับ พี่เหวิน” ฉินหยู่ผงกหัวรับคำ
พี่เหวินหยุดพูดและพาฉินหยู่มาที่โกดังชั้นล่าง เลือกชุดตำรวจและชุดเทรนนิ่งให้เขา รวมถึงกุญแจมือและกระบอง เมื่อเรียบร้อยแล้วเธอก็จากไป
ที่ล็อบบีชั้นล่าง ฉีหลินเหลือบมองนาฬิกาพลางคุยกับฉินหยู่ “ฉันจะต้องไปทำธุระอื่นก่อน เดี๋ยวนายกลับไปก่อนแล้วกัน นายกลับไปแล้วพูดอะไรให้มันนุ่มนวลหน่อย อย่าก่อปัญหากับพวกเขา พี่สามมีกัปตันหยวนให้ท้าย ถ้านายทำให้คนนี้ไม่พอใจ นายจะอยู่ไม่เป็นสุขไปอีกนานเลย”
“อืม ตกลง ฉันรู้แล้ว” ฉินหยู่ผงกหัวพร้อมยิ้ม “ถ้านายไม่มีอะไรทำคืนนี้ ไปหาอะไรกินกันดีกว่า”
“ฮื่อ ฉันจะไปหานาย ถ้าไม่มีเรื่องอะไรอื่นเข้ามานะ” ฉีหลินเห็นด้วยเต็มที่
ทั้งสองคุยกันเพียงครู่เดียว และฉินหยู่กลับมาที่หอพักกองปราบอีกที พร้อมกับหอบชุดฟอร์มกับอุปกรณ์ประจำตัวมาด้วยพะรุงพะรัง แต่ครั้งนี้พี่สามออกไปข้างนอกแล้ว เหลือเพียงลูกทีมอื่นสองคนอยู่ในห้อง ลูกทีมทั้งสองเหลือบมองฉินหยู่อย่างเย็นชาและคุยกันต่อไป
ฉินหยู่เหลือบมองพวกเขาเหมือนกัน และกลับไปนั่งที่เตียงของเขากับความรู้สึกราวกับโดนทิ่มแทงข้างใน เขาจัดโน่นนี่นิดหน่อย โดยไม่สนใจเสียงนกเสียงการอบตัว
……
ใกล้จะถึงหนึ่งทุ่มแล้ว ฉินหยู่จัดของเสร็จแล้ว นั่งรอสักพักแล้วไม่เห็นฉีหลินมา เขาเลยตั้งใจว่าจะเดินออกไปที่ถนน เพื่อทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมรอบๆ และหาข้าวเย็นกิน
ฉินหยู่โดดลงจากเตียง คว้ากระเป๋าคาดเอวจากใต้หมอนมาใส่แล้วเดินออกจากห้องไป
“โอ้ ขอโทษที”
ฉินหยู่เพิ่งเดินออกมาและพบฉีหลินกำลังรีบร้อนเดินมากลางทาง ทั้งคู่มองกันครู่หนึ่ง และฉีหลินอธิบายเหตุที่มาช้าให้ฟังโดยไม่ลังเล “บังเอิญมีประชุมกะทันหัน เลยช้าหน่อย นายกำลัง…?”
“ฉันคิดว่านายจะไม่มา เลยจะออกไปหาอะไรกินข้างนอกน่ะ” ฉีหลินยิ้มเห็นด้วย “เอาละ ไปหาข้าวกินกันเถอะ”
“ฉันยังมีเรื่องต้องคุยกับเพื่อนอีกคนคืนนี้ ถ้านายสะดวก เราไปด้วยกันมั้ย?” ฉีหลินถาม
“สะดวก?” ฉินหยู่อึ้งไปครู่เล็กๆ และพูด “ไม่เป็นไร ไปกันเถอะ”
“ดี”
หลังจากคุยกันไม่กี่คำ ทั้งคู่เดินลงไปชั้นล่าง และเห็นชายอีกคนรออยู่ที่ทางออกของตึกหอพักกองปราบ
เพื่อนของฉีหลินชื่อ หลี่ฟู่กุ้ย มีชื่อเล่นว่า แมวแก่ ตามเรื่องที่เล่าลือกันในวงการตำรวจ เขารู้จักกับผู้กำกับการตำรวจลี แต่ทั้งคู่จะติดต่อกันนานๆ ที ดังนั้นคนทั่วไปในวงการจะไม่รู้แน่ชัดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสอง
ยิ่งไปกว่านั้น ปกติจะไม่มีข่าวบุคคลผู้นี้ออกมาให้ได้ยินในวงการเลย สิ่งที่บ้าคลั่งที่สุดที่เขาเคยฝากผลงานเอาไว้ คือการสมัครสอบเลื่อนขั้นในกองกำกับการตำรวจในขณะที่เขากำลังเมา และเขายังยืนยันจะสอบต่อ และเพื่อนร่วมงานสองคนแอบไปบอกผู้คุมสอบว่าเขาโกงข้อสอบ สุดท้ายเขาก็สารภาพเองและถูกสั่งพักงานครึ่งเดือนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เพื่อนร่วมงานสองคนไม่รู้จักเขาดีพอเลยโชคร้าย พวกเขาถูกหลอกมอมเหล้าให้สารภาพว่ารับสินบน เลยโดนผู้ใหญ่เกลี้ยกล่อมให้ออกจากกรมตำรวจไปอย่างเงียบๆ
แม้ว่าชื่อเล่นของเขาคือแมวแก่ จะฟังดูโง่ แต่ตัวเขาค่อนข้างดูดีมาก ถ้าเปรียบว่าใบหน้าฉินหยู่มีความมุ่งมั่นและดูเป็นฮีโร่แล้ว แมวแก่ก็เป็นคนหล่อของคนหล่อเหลามากๆ เหมือนกับจ้างยี่ชานผู้โด่งดังเมื่อก่อนนี้
ทั้งสามคนพบกัน ฉีหลินแนะนำเล็กน้อย “นี่คือแมวแก่ และปกติช่วยดูแลเพื่อนๆ ของเรา นี่ฉินหยู่ ตำรวจระดับฝึกหัดเพื่อนร่วมทีมใหม่ของเรา”
“ฉันได้ยินมาว่านายแยกทางกับเจ้าสาม ตั้งแต่นายเข้ามางั้นหรือ” แมวแก่ถามทั้งยิ้มๆ อีกมือล้วงกระเป๋าอย่างผ่อนคลาย “เจ้านั่นมันค่อนข้างหัวร้อน?”
“ไม่ แค่โต้เถียงกัน” ฉินหยู่รู้สึกว่าบุคลิกของแมวแก่ค่อนข้างแปลก และพูดจาคลุมเครือ
“ฉันก็รำคาญพวกมัน ฉันถึงทำงานของฉันไป ไม่ใส่ใจมัน” แมวแก่เบะปากวิจารณ์พวกนั้น “ทีม 1 เต็มไปด้วยเด็กเหี้ยๆ พวกมันทำแต่ผลงานห่วยๆ”
ฉินหยู่พูดไม่ออกเมื่อได้ยินแมวแก่บ่น เขาหันมองฉีหลิน ซึ่งเกาหัวแกรกๆ และอธิบายให้ฉินหยู่ฟัง “แมวแก่เขาเป็นอย่างนี้แหละ นายจะพูดอะไรก็พูดไปเถอะ เขาไม่ถือ”
“จะไปกินข้าวกันที่ไหนดี?” แมวแก่ถาม
“ฉันเพิ่งมาอยู่เขตนี้ ไม่รู้ที่ไหนมีของอร่อย” ฉินหยู่กระซิบ “พวกนายนำไปเถอะ”
“ใครเลี้ยง นายรึ?” แมวแก่กะพริบตาปริบๆ
“ได้โปรด เฮะเฮะ” ฉินหยู่ยิ้ม
“อ้า ได้โปรด…” แมวแก่ทวนคำพูดและโบกมือเหมือนรู้ทัน “ไปที่ร้านพี่สาวคนรองกัน”
“อย่าไปร้านนั้น มันแพง” ฉีหลินเกลี้ยกล่อม
“แล้วนายเป็นคนจ่ายเหรอวะ?” แมวแก่หรี่ตาถามกวนๆ
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ฉันยังมีเศษสตางค์ในกระเป๋า น่าจะพอค่าอาหารนะ” ที่จริงฉินหยู่ค่อนข้างรู้สึกเป็นทุกข์ เพราะปีนี้สิ่งต่างๆ ดูขาดแคลน โดยเฉพาะผักและข้าวสาร ที่ต้องการพื้นที่กว้างในการเพาะปลูก นั่นเป็นเรื่องสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์มาก พวกเพื่อนร่วมชาติที่ถูกทิ้งไว้ในพื้นที่โครงการพัฒนา พวกเขาจะต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มาซึ่งเสบียงอาหาร เพราะฉะนั้น ครอบครัวคนจนส่วนมากจะไม่มีปัญญาออกไปกินอาหารตามร้านอาหารเลย แม้แต่แค่ปีละครั้ง
ฉินหยู่รู้สึกเป็นทุกข์ แต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่า เขาจำเป็นต้องหาเพื่อนไว้เมื่อมาอยู่ในพื้นที่ใหม่ และค่าใช้จ่ายต่อสิ่งนันทนาการเป็นสิ่งจำเป็นที่เลี่ยงไม่ได้ และอย่างน้อยเขาก็ยังมีงานที่มั่นคงอยู่
หลังจากที่พวกเขาปรึกษากันเสร็จแล้ว พวกเขาเดินไปตามถนนได้ประมาณสองกิโลเมตร ก็ถึงร้านอาหารพี่สาวคนรองที่อยู่ในอาคารโรงแรม
ฉินหยู่ยืนอยู่ข้างถนน มองไปที่ประตูของโรงแรม เขาแตะกระเป๋าเงินตนเองอย่างไม่ได้ตั้งใจ และรู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นมาอีก
“ไปกันเถอะ” แมวแก่ก้าวเดินต่อ และร้องเรียกให้ทุกคนเดินตาม
ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังแสบแก้วหูของเครื่องยนต์ ดังขึ้นใกล้คนทั้งสาม ตามด้วยรถยนต์แบบวิบากที่ดูมีสภาพเก่า แล่นเข้ามาจอดหน้าประตูโรงแรม
ทั้งสามหันกลับไปมอง แมวแก่มองและออกความเห็นด้วยความประหลาดใจ “บ้านไหนกัน ยังขับรถใช้น้ำมัน?”
ในปีนี้ รถยนต์ใช้น้ำมันที่ใช้ในการเดินทางกลายเป็นของหายากไปแล้ว เพราะพื้นที่ส่วนมากได้กลายเป็นที่ที่อยู่อาศัยไม่ได้ หรือหนาวจัด หรือมีการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสีสูง และไม่สามารถทำการขุดเจาะน้ำมันได้ ดังนั้นมันจึงกลายเป็นทรัพยากรที่หายากไปโดยปริยาย ทั้งหมดเป็นสาเหตุให้แมวแก่แปลกใจในตอนแรก
เมื่อรถยนต์ทรงวิบากจอดข้างถนนเรียบร้อยแล้ว ชายสี่คนกับหญิงสาวหนึ่งคนลงมาจากรถและพากันเดินเข้าไปที่โรงแรม
“ไป เข้าไปกันเถอะ” ฉินหยู่ได้เห็นคนบางคนมาจากเขตโครงการพัฒนา แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก เขาแค่มองที่รถอีกครู่หนึ่งและหันไปทางประตูทางเข้าหลักของโรงแรม แต่แมวแก่จ้องไปที่เด็กสาวในกลุ่มชายสี่คนอย่างไม่ไหวติง เขายิ้มยิงฟันและพูด “สวย สวย สวย!”
ฉินหยู่หันไปชำเลืองมองหลังจากได้ยินเสียงแมวแก่ครวญพร้อมกับสายตาเจ้าชู้ ฉินหยู่พูดแบบไร้จุดหมาย “ไปเถอะ เธอมากับแฟนน่ะ”
หญิงสาวในกลุ่มสี่ชาย กะพริบตาอันกลมโตสวยงามของเธอและชำเลืองมองไปรอบๆ และพูด “ฉันจะไปห้องน้ำ”
“เธอไม่อยากทำให้ยุ่งยากขึ้นใช่ไหม? รีบไปรีบมา!” ชายวัยกลางคนร่างเตี้ยพูดออกคำสั่งด้วยสำเนียงเหมือนคนญี่ปุ่น
“ไป!”
ในขณะเดียวกัน โทรศัพท์ในกระเป๋าของฉีหลินก็ดังขึ้น เขาล้วงออกมาชำเลืองดูข้อความหน้าจอ และเงยมองดูฉินหยู่ที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสายตายุ่งยากใจ
…………………………………………………………