ตอนที่ 404 จุดอ่อนเพียงหนึ่งเดียว
ตอนที่ 404 จุดอ่อนเพียงหนึ่งเดียว
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารอ่านนิยายก่อนใครได้ที่ FB: ND Translate นิยายแปลไทย
เซียงลี่เป็นชายผู้ที่มีทีท่าคล้ายกับต้วนมู่เฉิง พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เป็นคนที่มีอารมณ์รุนแรง ดูเหมือนว่าเซียงลี่จะไม่สนใจอะไรคนรอบข้างอีกต่อไป คลื่นเสียงที่ได้ส่งออกไปเป็นคลื่นเสียงที่เต็มไปด้วยพลังทำลาย ตัวเขาไม่สนใจว่าจะมีใครถูกลูกหลงจากพลังลมปราณไหม เซียงลี่เลือกที่จะทำตามใจชอบไปแล้ว
เหล่านักรบที่อยู่ด้านล่างต่างก็ปิดหูตัวเองด้วยความหวาดกลัว
ในตอนนี้ความสนใจของทุกคนกำลังจดจ่ออยู่ที่รถม้าลอยฟ้า ทุกๆ คนกำลังรอการต้อนรับจากผู้ที่อยู่ด้านใน ผู้คนส่วนใหญ่มั่นใจว่าภายในรถม้าไม่มียู่เฉิงไห่อยู่ ถ้ายู่เฉิงไห่อยู่ที่นี่จริงๆ ตัวเขาก็คงจะไม่ยอมถูกล้อมจากทุกทิศทางแบบนี้หรอก?
ฮั๊วจงหยางที่กำลังจะตอบอีกครั้งก็มีเสียงอันนุ่มนวลดังออกมาจากรถศึกของหลิวปิงซะก่อน
“ลุงเซียง!”
เซียงลี่ที่ได้ฟังแบบนั้นขมวดคิ้ว ตัวเขาจ้องมองไปที่รถม้าศึกของหลิวปิง
สายตาของผู้คนที่เคยจับจ้องเซียงลี่ได้หันไปมองที่รถม้าศึกเอง เห็นได้ชัดว่าเสียงที่ได้ฟังเป็นเสียงของหญิงสาว เห็นได้ชัดว่าเสียงของหญิงสาวที่ดังขึ้นเป็นเสียงหญิงสาวผู้ทรงเสน่ห์
“หย่งหนิง?”
สตรีผู้สง่างามได้ก้าวขาออกมาจากภายในรถม้าศึก นางสวมใส่เสื้อผ้าสีแดงและมีไข่มุกเม็ดงามอยู่บนที่คาดผมของนาง ที่ดวงตาของนางสวยงามราวกับดวงดาวสุกสกาวอยู่บนท้องฟ้า หญิงสาวคนนี้ก็คือหย่งหนิง องค์หญิงแห่งดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่
...
ในอาคารแห่งหนึ่ง
เมื่อหยวนเอ๋อเห็นองค์หญิงหย่งหนิงแบบนั้น นางก็หัวเราะคิกคักก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านอาจารย์ พี่หย่งหนิงสวยมากเลยล่ะ”
ลู่โจวโบกมือของตัวเอง ในตอนนั้นพลังที่ดูเบาบางก็ได้ล้อมรอบตัวของพวกเขาเอาไว้ ลู่โจวคิดว่ามันคงจะดีกว่าที่ตัวเขาจะระมัดระวังตัวไว้ ในท้ายที่สุดแล้วที่นี่ก็เต็มไปด้วยยอดฝีมือ เหล่ายอดฝีมืออาจจะรู้ถึงการมีตัวตนของตัวเขาอยู่ก็เป็นได้
...
องค์หญิงหย่งหนิงได้เรียกเซียงลี่ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์
แม้ว่าจะเป็นท่าทางของผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ถึงแบบนั้นเซียงลี่กลับตกใจ แม้ว่าเขาจะอายุมากกว่าและยังได้รับความเคารพนับถือจากนาง แต่ถึงแบบนั้นเซียงลี่ก็ไม่กล้าพอที่จะให้หย่งหนิงคำนับตัวเขา สำหรับเซียงลี่เขาเป็นเพียงทหารองครักษ์ของจักรพรรดิเท่านั้น เซียงลี่ได้ยกฝ่ามือขึ้นก่อนที่จะขอขมาหย่งหนิง “ข้าขออภัยองค์หญิงหย่งหนิง”
องค์หญิงหย่งหนิงยิ้มจางๆ รอยยิ้มของนางเป็นเหมือนกับความอบอุ่นแรกในฤดูใบไม้ผลิ “ลุงเซียงไม่ได้ไปมณฑลยี่อย่างงั้นหรอ?”
“ข้าก็แค่ผ่านทางมา” สิ่งที่เซียงลี่ตอบฟังเป็นเหมือนข้ออ้างอย่างชัดเจน
มณฑลเหลียงอยู่ทางตอนเหนือของมณฑลยี่ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะผ่านมณฑลเหลียงก่อนที่จะไปถึงมณฑลยี่ได้
หย่งหนิงสินะ...” หัวหน้าของชาวรั่วหลี่ ฮาลั่วได้โค้งคำนับหย่งหนิงด้วยรอยยิ้ม
ในตอนนั้นเองหลิวปิงก็ได้พูดออกมา “หย่งหนิง นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดคุยเรื่องแบบนี้น่ะ”
หย่งหนิงได้ถามออกมา “พวกเราจะสู้กันจริงๆ อย่างงั้นหรอ?”
เซียงลี่ขมวดคิ้วก่อนที่จะตอบกลับมา “หย่งหนิง ถ้าหากท่านวางแผนที่จะขอร้องแทนสำนักอเวจี ท่านอย่าได้คิดจะทำแบบนั้นจะดีกว่า...ถ้าหากการต่อสู้เริ่มขึ้นมาจริงๆ ไม่มีใครดูแลท่านได้แน่”
หลิวปิงมองไปที่หย่งหนิงก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้ารู้ไหมว่าทำไมพ่อของข้าถึงอนุญาตให้พาเจ้ามาที่นี่?”
หย่งหนิงจะไม่รู้ได้ยังไงกัน? แต่ถึงแบบนั้นหย่งหนิงก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญหรือโกรธอะไร นางยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็นก่อนที่จะพูดออกมา “อย่าได้สนใจข้าเลย...” คำพูดของนางดูเหมือนจะส่งตรงไปหาหลิวปิงและผู้ที่อยู่บนรถม้าศึก
“พานางลงไปซะ!” หลิวปิงได้สั่งการออกมา แม่ทัพทั้งสองที่ได้ยินเช่นนั้นได้พาหย่งหนิงกลับไปที่รถม้าศึก
ในตอนที่เสียงของหลิวปิงจางหายไป ในตอนนั้นฮั๊วจงหยางก็เริ่มเคลื่อนไหว อวตารที่มีความสูงกว่า 80-90 ฟุตได้ปรากฏตัวขึ้น “ไป่ยู่ชิง เตรียมพร้อมต่อสู้”
“ย่อมได้!” ไป่ยู่ชิงเองก็ปลดปล่อยพลังอวตารของตัวเองออกมาเช่นกัน ทั้งสองได้พุ่งเข้าหาหลิวปิงด้วยความเร็วสูง
รถม้าศึกได้ถอยออกไป ในตอนนั้นเองสีหน้าของแม่ทัพทั้งหกก็เปลี่ยนไป พวกเขากำลังจะปะทะกับฝ่ายของสำนักอเวจีแล้วนั่นเอง
ทั้งสองฝ่ายได้ต่อสู้อย่างดุเดือด และฝ่ายต่างก็ใช้พลังจู่โจมอย่างเต็มที่
ทหารที่อยู่ด้านล่างได้ถอยห่างออกไป
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
การปะทะกันระหว่างพลังอวตารได้ดังกึกก้องไปทั่วเมือง มันเป็นการต่อสู้ที่เต็มไปด้วยประกายแสงจากพลัง
ฮาลั่วได้ใช้พลังอวตารราชาหมาป่าของตัวเองอีกครั้งก่อนที่จะหัวเราะในขณะที่จ้องมองรถม้า
“ฮาลั่ว ข้าจะเป็นคู่ต่อสู้ให้เจ้าเอง...” หยางเยียนและดีชิงได้กระโดดลงมาจากรถม้าก่อนที่จะพุ่งหาคนจากรั่วหลี่และลั่วหลาน
ในตอนนี้สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ของสำนักอเวจีได้บินออกจากรถม้าไปหมดแล้ว
ผู้ฝึกยุทธที่อยู่รอบๆ สำนักอเวจีได้รวบรวมพลังลมปราณก่อนที่จะปล่อยมันเข้าจู่โจมม่านพลังอันใหญ่ยักษ์ของสำนักอเวจี
เซียงลี่ได้หัวเราะออกมา “นี่แหละคือประสงค์ของสวรรค์ แม้แต่ลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ของเจ้าทั้งสี่ก็ยังไม่อาจปกป้องเจ้าได้! ยู่เฉิงไห่ ตายซะ!” เซียงลี่ได้ยกมือขึ้นก่อนที่จะปล่อยพลังเครื่องรางอันใหญ่ยักษ์เข้าใส่รถม้าของสำนักอเวจี
ตู๊ม!
เมื่อพลังฝ่ามือกระทบโดนรถม้า ในตอนนั้นพลังเครื่องรางก็ได้หายจางไป
“หืม?” เซียงลี่ที่เห็นแบบนั้นขมวดคิ้ว ตัวเขาได้แต่จ้องมองเขตแดนพลังที่อยู่บนรถม้าก่อนที่จะอุทานออกมาด้วยความตกใจ “นี่มันเขตแดนพลังจากสำนักเซียนสวรรค์?”
ในตอนนั้นเองหยางเยียนและดีชิงก็ได้เข้าปะทะกับชนเผ่าอื่น การต่อสู้อีกแห่งได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว บนท้องฟ้าของเมืองมณฑลเหลียงแห่งนี้เต็มไปด้วยพลังอวตารของเหล่ายอดฝีมือ
ผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในเมืองต่างก็เงยหน้ามองบนท้องฟ้า
สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่สามารถยืนหยัดต่อสู้กับกองกำลังของทั้งสองฝ่ายได้ แต่รถม้าลอยฟ้าจะสามารถต้านทานการโจมตีของยอดฝีมือผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบอย่างเซียงลี่ได้ยังไงกัน?
ในรถม้าลอยฟ้ายังคงเงียบสงบ เหล่าสาวกจากสำนักอเวจีต่างก็พยายามปกป้องรถม้าอย่างไม่ย่อท้อ สาวกทุกคนล้วนแต่เชื่อมั่นในผู้ที่อยู่ในรถม้า แม้ว่าจะต้องสละชีวิตตัวเองก็ตามแต่เหล่าสาวกก็เลือกที่จะปกป้องรถม้าพร้อมกับคนคนนั้นเอาไว้
เซียงลี่ได้พูดต่อ “ยู่เฉิงไห่ ข้ามองเจ้าผิดไปจริงๆ เจ้าวางแผนที่จะหมกตัวอยู่แต่ในรถม้านั่นตลอดชีวิตเลยสินะ?”
ไม่มีการโต้ตอบจากรถม้าเช่นเดิม
...
ภายในอาคารหลังหนึ่ง
ลู่โจวไม่ได้สนใจการต่อสู้ของสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ สิ่งที่ตัวเขาสนใจมีเพียงรถม้าลอยฟ้าของสำนักอเวจี ตัวเขายังคงสงสัยอยู่ว่ายู่เฉิงไห่จะอยู่บนรถม้าลอยฟ้าไหม มีเพียงยู่เฉิงไห่คนเดียวเท่านั้นที่จะพลิกสถานการณ์การต่อสู้นี้ได้
...
เซียงลี่ยังคงหัวเราะต่อ ตัวเขาได้ยกฝ่ามือขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่จะฟาดมันเข้าใส่รถม้าลอยฟ้า พลังเครื่องรางอันใหญ่ยักษ์ที่ส่องแสงแวววาวได้เข้าปะทะกับรถม้าอีกครั้ง
ตู๊ม!
รถม้าลอยฟ้าเริ่มสั่นสะเทือน
เขตแดนพลังที่อยู่บนรถม้าเริ่มแตกสลาย
“เป็นแบบนี้แย่แน่ ท่านเจ้าสำนัก...ข้ามาแล้ว!” ยู่ฮง ยอดฝีมืออันดับสองแห่งโถงมังกรสวรรค์ได้กระโดดขึ้นไปบนรถม้า
ในขณะเดียวกัน ฮั๊วจงหยางและไป่ยู่ชิงก็ได้กลายเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบเหล่าแม่ทัพทั้งหก ฮั๊วจงหยางเหลือบมองไปที่รถม้าก่อนที่จะพูดออกมา “ไป่ยูชิง รีบไปช่วยรถม้าซะ ข้าจะรีบมือที่นี่เอง!”
“ได้!” ไป่ยู่ชิงได้ออกจากการต่อสู้กับแม่ทัพทั้งหกก่อนที่จะพุ่งเข้าหาเซียงลี่ที่อยู่บนอากาศ
ฮั๊วจงหยางรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้นเมื่อต้องต่อสู้กับศัตรูถึงหกคนอย่างพร้อมเพรียงกัน พลังอวตารทั้งหกกำลังล้อมรอบตัวของเขาไว้
เสียงปะทะกันของการต่อสู้ได้ดังกึกก้องต่อไปโดยที่ไม่มีท่าทีว่ามันจะหยุดตัวลง
เมื่อการต่อสู้ของยอดฝีมือได้เริ่มต้นขึ้น ในตอนนี้ก็ไม่มีใครสนใจถึงสิ่งก่อสร้างรวมไปถึงเมืองอีกต่อไป เมืองแห่งนี้ได้มีพื้นที่ส่วนใหญ่กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว
ไป่ยู่ชิงพุ่งมาหาเซียงลี่จากทางด้านข้าง
เซียงลี่ที่เห็นแบบนั้นได้แต่ยิ้มเยาะก่อนที่จะพูดออกมา “ผู้ฝึกยุทธผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเจ็ดกลีบมันก็เท่านั้น...” เซียงลี่ประสานฝ่ามือก่อนที่จะปลดปล่อยพลังผนึกกว่าหลายสิบพลังพุ่งเข้าหาไป่ยู่ชิง
ไป่ยู่ชิงที่เห็นแบบนั้นตกใจ ตัวเขาได้ขยายพลังแห่งสวรรค์ของตัวเองก่อนที่จะตั้งรับการโจมตีเอาไว้
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
แม้ว่าจะเป็นยอดฝีมือเหมือนกันแต่พวกเขาทั้งคู่ก็ยังมีพลังที่แตกต่างกันอยู่ดี ไป่ยู่ชิงที่รับการโจมตีกระเด็นถอยกลับไปก่อนที่จะกระอักเลือดออกมา
“ฆ่าสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ซะ! ยู่เฉิงไห่ไม่ได้อยู่บนรถม้า!” เซียงลี่ได้พูดออกมาอย่างมั่นใจ ตัวเขารู้จักยู่เฉิงไห่ดี ถ้าหากยู่เฉิงไห่อยู่ที่นี่จริงเขาก็คงจะเข้าร่วมการต่อสู้ไปนานแล้ว ยู่เฉิงไห่จะไม่ซ่อนตัวอยู่ในรถม้าแน่
เสียงของเซียงลี่ได้ดังไปทั่วสนามรบ
ฮาลั่วที่ได้ยินแบบนั้นยิ้มเยาะ พลังอวตารราชาหมาป่าของตัวเขาได้ขยายใหญ่ขึ้น
“หยางเยียน, ดีชิง...พวกเจ้าคิดว่าผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวหกกลีบจะเป็นผู้นำทัพได้จริงๆ อย่างงั้นหรอ?”
หวืออ!
ดอกบัวทองคำที่อยู่ใต้อุ้งเท้าของพลังอวตารราชาหมาป่าได้ขยายขนาดใหญ่ขึ้น มีเสียงของอะไรบางอย่างกำลังผลิบานออกมา ท้ายที่สุดแล้วกลีบดอกบัวกลีบที่เจ็ดก็ถือกำเนิดขึ้น ไม่นานนักกลีบดอกบัวทั้งหมดก็เริ่มหมุนรอบตัวเองอีกครั้ง
ฮาลั่วในตอนนี้ดูโดดเด่นกว่าสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสองไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
หยางเยียนและดีชิงถูกพลังอวตารราชาหมาป่าขนาดใหญ่โจมตีจนกระเด็นกลับมา พวกเขาทั้งคู่ต่างก็กระอักเลือดก่อนที่ร่างพลังอวตารจะจางหายไป
เห็นได้ชัดว่าฮั๊วจงหยางไม่อาจที่จะรับมือกับสถานการณ์ได้อีกต่อไป
เซียงลี่ที่เห็นแบบนั้นพยักหน้าออกมาอย่างพึงพอใจก่อนที่จะบินไปยังรถม้าลอยฟ้าแห่งสำนักอเวจี
ตู๊ม!
เขตแดนพลังทั้งหมดที่มีได้รับความเสียหายอีกครั้ง
ตู๊ม!
ในที่สุดเขตแดนพลังก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ผู้ฝึกยุทธกว่า 1,000 คนของสำนักอเวจีไม่อาจต้านทานการโจมตีครั้งที่สองของเซียงลี่ได้
เซียงลี่ได้ร่อนลงบนรถม้าในทันที ในตอนนี้พลังลมปราณที่อยู่รอบตัวเขามันพุ่งสูงขึ้นจนเห็นได้ชัด จุดตันเถียนได้ปล่อยพลังลมปราณไปยังฝ่าเท้าของตัวเขาก่อนที่พลังนั้นจะกระจายตัวไปทั่วรถม้า ด้วยเหตุนี้เองเซียงลี่จึงกลายเป็นผู้ที่ควบคุมรถม้าลอยฟ้าของสำนักอเวจีไป
“เป็นอย่างที่คิด ว่างเปล่า” เซียงลี่ได้พูดออกมาก่อนที่จะหันไปเผชิญหน้ากับฮั๊วจงหยาง
ในทันใดนั้นเอง
พรึ๊บ!
ใครบางคนได้พุ่งเข้าหาหลังของเซียงลี่ด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า
ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกยุทธมากประสบการณ์ เซียงลี่สัมผัสได้ถึงภัยคุกคามจากทางด้านหลังได้ ตัวเขาที่รู้แบบนั้นจึงรีบใช้พลังป้องกันตัวเองอย่างรวดเร็ว
“ช้าไป!”
ตู๊ม!
เซียงลี่สะดุดไปข้างหน้า พลังประหลาดได้ทำลายพลังการป้องกันของตัวเขาไปอย่างง่ายดาย
อั๊ก!
เซียงลี่กระอักเลือดครั้งใหญ่
“ลุงเซียง!” หลิวปิงที่ลอยอยู่บนรถม้าศึกของตัวเองอุทานออกมา ตัวเขาที่เห็นภาพการโจมตีนี้ก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา สายตาของเขาได้จับจ้องไปที่รถม้าลอยฟ้าตามสัญชาตญาณ
ผู้ที่อยู่บนรถม้าไม่ใช่ยู่เฉิงไห่ แต่เขากลับเป็นศิษย์คนที่เจ็ดของศาลาปีศาจลอยฟ้า สีวู่หยานั่นเอง
สีวู่หยาได้ชักฝ่ามือตัวเองกลับไป ในตอนนั้นเองพลังเครื่องรางทั้งหลายที่อยู่รอบตัวก็ได้จางหายไปในเปลวไฟ
ยู่ฮงกระโดดขึ้นไปบนรถม้าในขณะที่ต้องทนกับความเจ็บปวดที่ร่างกายได้รับมา ยู่ฮงเป็นผู้รักษาระดับความสูงของรถม้าเอาไว้นั่นเอง
“ท่านสีวู่หยา ท่านทำสำเร็จแล้ว!”
สีวู่หยาได้เดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ พร้อมกับสีหน้าอันแสนสงบนิ่ง ตัวเขาได้เดินไปที่พังงารถม้าก่อนที่จะมองไปยังเซียงลี่ “เจ้าน่ะโชคร้ายซะจริง ข้าได้ศึกษาพลังผนึกของสำนักเซียนสวรรค์มานานแล้ว ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะมีโอกาสใช้กับเจ้าได้”
เมื่อมีจุดแข็งย่อมมีจุดอ่อน ผู้ฝึกยุทธผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบเองก็มีจุดอ่อนเช่นกัน
สีวู่หยาได้ศึกษาวิชาจากสำนักเซียนสวรรค์อย่างละเอียดลออ มันเป็นช่วงที่ตัวเขาพยายามหาวิธีที่จะคลายพลังผนึกมนตราที่ผู้เป็นอาจารย์ได้ผนึกพลังของตัวเขาไว้เมื่อไม่นานมานี้ นอกจากนี้ศิษย์พี่ใหญ่อย่างยู่เฉิงไห่ยังช่วยหาเครื่องรางจำนวนมากก็เพื่อที่จะช่วยตัวเขาคลายพลังผนึก สีวู่หยาได้ใช้เครื่องรางทั้งหมดไปในการโจมตีเพียงแค่ครั้งเดียว แม้ว่ามันจะเป็นครั้งเดียวแต่มันก็เพียงพอแล้ว
ตู๊ม!
เซียงลี่ตกลงสู่พื้น
สีวู่หยารู้ดีว่าเซียงลี่ยังไม่ตาย แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็พอใจมากแล้วที่ทำให้เซียงลี่บาดเจ็บสาหัสได้
หยางเยียน, ดีชิง และไป่ยู่ขิงได้กลับมาที่รถม้าในสภาพที่ได้รับบาดเจ็บ
ฮั๊วจงหยางเป็นคนเดียวที่ยังคงยืนหยัดต่อสู้กับศัตรูที่อยู่ตรงหน้า
สีวู่หยามองไปที่หลิวปิงก่อนที่จะพูดออกมา “หลิวปิง...ตั้งแต่ที่เจ้าใช้เท้าของตัวเองเหยียบย่ำมาที่เมืองแห่งนี้ เจ้าก็พ่ายแพ้ไปแล้ว”
“หืม?”
“เรื่องของเซียงลี่เป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายของข้าไปเล็กน้อย แต่สำหรับเจ้าที่เข้ามายังเมืองแห่งนี้ได้โดยไร้ซึ่งพลังของเขตแดนจะไม่มีใครแตะต้องเจ้าได้จริงๆ อย่างงั้นหรือ?” คำพูดของสีวู่หยาได้ทำให้คนของหลิวปิงต่างก็สบตากัน
“เจ้าจะบอกว่านี่เป็นสิ่งที่เจ้าคาดไว้อย่างงั้นสินะ?” คิ้วของหลิวปิงขมวดเข้าหากัน
“เจ้าจะพูดแบบนั้นก็ได้...แต่สำหรับข้า ตั้งแต่ไหนแต่ไรชนเผ่าอื่นก็เป็นได้แค่พวกไร้อารยธรรมป่าเถื่อนก็เท่านั้น” คำพูดของสีวู่หยาได้กระทบเข้าหูของทุกคน
เมื่อฮาลั่วได้ยินเช่นนั้น ตัวเขาก็รู้สึกโกรธมาก พลังอวตารราชาหมาป่าของเขากลับมาเปล่งแสงอีกครั้ง
และเป็นเพราะคำพูดของสีวู่หยา ได้ทำให้ผู้ฝึกเวทมนตร์คาถาทั้ง 2,000 คนต่างก็มองไปบนฟ้า พวกเขาทั้งหมดได้ปลดปล่อยพลังสีม่วงออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
พลังอวตารราชาหมาป่าได้ดูดซับควันเหล่านั้นไป มันได้ขยายขนาดใหญ่ขึ้น และใหญ่ขึ้นไปอีก
ฮาลั่วได้พูดโต้กลับมา “เจ้าคิดว่าเจ้าจำมองทุกอย่างออกจริงๆ อย่างงั้นเหรอไงกัน?”
ไป่ยู่ชิงรีบเดินไปหาสีวู่หยา “ท่านสีวู่หยา ข้าอยากที่จะให้ท่านล่าถอยกลับไปก่อน ในตอนนี้แผนการสำเร็จแล้ว ถ้าหากพวกเราถอยกลับไป ฮาลั่วจะต้องแตกคอกับหลิวปิงแน่!”
หยางเยียนและดีชิงเองก็โค้งคำนับเพื่อเป็นการขอร้องเช่นกัน
สีวู่หยารู้ว่าฮาลั่วอดกลั้นมานานแค่ไหน ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้มีตัวเขาและยู่เฉิงไห่เท่านั้นที่เข้าใจชนเผ่าอื่นมากที่สุด
ล่าถอย? ทำตามแผนต่อ?
หลิวปิงได้ออกเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ตัวเขาได้อุ้มองค์หญิงหย่งหนิงขึ้นมาก่อนที่จะลอยขึ้นไปบนอากาศ หลิวปิงไม่มีทางเลือกอื่น! “สีวู่หยา เจ้ากล้าพอที่จะหนีไปไหมล่ะ? ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าได้ผลประโยชน์จากการต่อสู้ของพวกเราที่นี่แน่”
“หย่งหนิง?” สีวู่หยาขมวดคิ้ว
สุดยอดผู้พิทักษ์สามคนได้โค้งคำนับสีวู่หยาอีกครั้ง “ได้โปรดเถอะท่านสีวู่หย่า ได้โปรดทำตามแผนของพวกเราด้วย!”
สีวู่หยามองดูหย่งหนิงที่ถูกอุ้มขึ้นไป
แม้ว่าจะถูกอุ้มขึ้นมาแต่หย่งหนิงก็ยังดูนิ่งสงบ นางไม่ได้ตื่นตระหนกหรือดิ้นรนเลย นางได้ยิ้มออกมาอย่างอบอุ่นในขณะที่มองไปที่สีวู่หยาที่อยู่บนรถม้า ทุกสิ่งทุกอย่างได้แสดงออกผ่านรอยยิ้มของนาง เพียงแค่ได้เห็นหน้าสีวู่หยามันก็เพียงพอแล้วสำหรับนาง เมื่อได้เห็นแบบนั้นหย่งหนิงก็ยกมือขวาขึ้นมาเล็กน้อย ในตอนนั้นดาบพลังงานก็ได้ปรากฏอยู่ในมือของนาง
“ได้โปรดทำตามแผนของท่านต่อไปเถอะ...” หย่งหนิงได้ใช้ดาบพลังงานที่มีแทงเข้าไปที่หน้าอกของตัวเองด้วยความเด็ดเดี่ยว
เพื่อที่จะไม่ทำให้สีวู่หยาต้องตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ท้ายที่สุดแล้วก็มีแต่ทางนี้เท่านั้นที่จะทำให้ตัวเขาทำตามแผนได้สำเร็จ
การเคลื่อนไหวของดาบพลังงานสะท้อนอยู่ในดวงตาของสีวู่หยา สีวู่หยาที่เห็นแบบนั้นก็เหมือนกับสูญเสียจิตใจไป ตัวเขาได้พุ่งไปหาหย่งหนิงอย่างไม่คิดชีวิต
“ชายหญิงชะตาอาภัพ...สีวู่หยาพลังทั้งหมดนี้จะต้องเป็นของเจ้า!” เมื่อดูดซับพลังเวทมนตร์คาถามามากพอ ฮาลั่วก็สามารถใช้พลังอวตารราชาหมาป่าดอกบัวแปดกลีบได้
พลังอวตารราชาหมาป่าได้บินไปหาสีวู่หยา
“ท่านสีวู่หยา!” ใบหน้าอันสงบนิ่งของหย่งหนิงได้หายจางไป ไม่ว่านางจะพยายามสงบสติอารมณ์มากแค่ไหนแต่เมื่อนางได้เห็นสีวู่หยาบินมาหาทาง นางก็ไม่สามารถที่จะควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป หย่งหนิงได้แต่ถามออกมา “ทำไมกัน?”
สีวู่หยามักจะมองว่าตัวเองเป็นคนที่เลือดเย็นและจะไม่หวั่นไหวกับสิ่งรอบตัว แต่เมื่อดาบพลังงานได้ปักเข้าไปที่ร่างกายของหย่งหนิง สีวู่หยาก็รู้สึกเจ็บปวดราวกับว่าหัวใจของเขากำลังถูกแทง
เลือดได้ไหลออกจากบาดแผลของหย่งหนิงมากขึ้น ท้ายที่สุดแล้วเสื้อผ้าของนางถูกย้อมเป็นสีแดง
สีวู่หยาใช้พลังฝ่ามืออย่างบ้าคลั่ง ตัวเขาสามารถที่จะผลักรถม้าศึกของหลิวปิงถอยกลับไปได้ก่อนที่จะคว้าตัวของหย่งหนิงเอาไว้ได้ทัน! แต่น่าเสียดาย พลังอวตารราชาหมาป่าได้ใช้กรงเล็บของมันโจมตีไปที่หลังของสีวู่หยาไปอย่างเต็มๆ
ตู๊ม!
เสื้อผ้าของสีวู่หยาส่วนบนขาดออก ตัวเขาที่ถูกโจมตีได้กอดองค์หญิงหย่งหนิงเอาไว้แน่นก่อนที่จะกระเด็นไปไกลและตกลงสู่ตัวเมือง
ฮาลั่วรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่โจมตีสีวู่หยาได้ ตัวเขาได้หัวเราะออกมาอย่างอึกทึก “ดูเหมือนวันนี้ข้าจะเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดสินะ!”
ตัวเขาได้โบกแขนของตัวเอง เหล่าผู้ฝึกเวทมนตร์คาถาทั้งหลายไม่สามารถที่จะเพิ่มพลังอวตารได้นานจนเกินไป ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็คลายเขตแดนเวทมนตร์คาถา ผลลัพธ์ของการต่อสู้ออกมาแล้ว ในตอนนี้สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงการเก็บกวาดปลาซิวปลาสร้อย เหล่าผู้ฝึกเวทมนตร์คาถาทั้งหลายที่ได้สัญญาณได้บินไปหาสาวกของสำนักอเวจีที่อยู่บนพื้นดินในทันที
ฮั๊วจงหยางไม่สามารถที่จะรั้งทุกคนเอาไว้ได้ และในที่สุดเขาก็ถูกแม่ทัพทั้งหกโจมตีจนกระเด็นถอยไป
...
ท่ามกลางซากปรักหักพัง...
สีวู่หยาได้พยุงองค์หญิงหย่งหนิงขึ้นมาด้วยแขนข้างเดียว สีวู่หยายังคงนิ่งเงียบ ใบหน้าของเขามันมีแต่ความมืดมน
ไม่นานนักสีวู่หยาก็กระอักเลือดออกมา ตัวเขาไม่สามารถห้ามไม่ให้เลือดลมพลุ่งพล่านได้อีกต่อไป
สีวู่หยาได้ปล่อยตัวหย่งหนิงไปก่อนที่จะใช้มือทั้งสองข้างของตัวเองพยุงตัวเองเอาไว้
เมื่อหย่งหนิงกำลังจะล้มลง สีวู่หยาก็ได้แต่พยายามที่จะลุกขึ้นก่อนที่จะจ้องมองไปยังสนามรบ
แผนทั้งหมดล้มเหลวแล้ว มันล้มเหลวก็เพราะความสะเพร่าของตัวเขาเอง
สาวกของสำนักอเวจีกว่า 1,000 คนถูกล้อมไปด้วยทหารของหลิวปิง, ผู้คนจากลั่วหลานและชาวรั่วหลี่
หย่งหนิงลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย นางได้ยกมือขวาของตัวเองที่เปื้อนเลือดก่อนที่จะคว้าแขนของสีวู่หยาเอาไว้อย่างอ่อนแรง “ทำไมกัน?”
สีวู่หยาส่ายหัว ใบหน้าของเขาซีดเซียว ตัวเขาไม่รู้คำตอบ และไม่ต้องการที่จะตอบ...สีวู่หยากำลังรู้แค่ว่าตัวของเขากำลังหนักหน่วง มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนถูกก้อนหินก้อนใหญ่ทับมาที่กลางใจ ใบหน้าของเขายังคงไร้อารมณ์และเย็นชา
ตู๊ม!
รถม้าลอยฟ้าของสำนักอเวจีถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี
“หนีไป เร็วเข้า!”
“ข้าทำไม่ได้...” สีวู่หยาส่ายหัว ตัวเขาที่ได้ยินเสียงรถม้าถูกทำลายรู้ดีว่ามันไร้ประโยชน์ที่จะหนี ถ้าหากไม่มีรถม้าลอยฟ้าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพาหย่งหนิงหนีไปด้วยได้ ในตอนนี้ตัวเขารู้สึกสิ้นหวัง ตัวเขารู้สึกผิดที่ทำให้ทุกคนต้องผิดหวัง ทั้งสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ พี่น้องสาวกทั้งหลายจากสำนักอเวจี และหย่งหนิง ทุกๆ คนเต็มใจที่จะตายแทนที่ตัวเขา...
สีวู่หยาในอดีตเป็นคนที่ภาคภูมิใจในตัวเองเสมอที่สามารถจัดการหรือรับมือกับทุกสถานการณ์ได้ แต่ในตอนนี้ตัวเขากำลังหลงทาง
เลือดของหย่งหนิงเปื้อนแขนของตัวเขา สีวู่หยาไม่อาจประเมินสถานการณ์ได้อีกต่อไป
ตัวเขาไม่เพียงแต่จะทุกข์ทรมาน แต่สีวู่หยาก็ยังไม่อาจที่จะสงบใจหรือควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้เลย
‘ข้าควรจะทำยังไง? ข้าควรจะนั่งอยู่แบบนี้และเฝ้ามองดูทุกคนตายต่อหน้าต่อตาอย่างงั้นเหรอ?’
เอี๊ยด! เอี๊ยด! เอี๊ยด!
มีชายชราคนหนึ่งปรากฏตัวข้างๆ กับสีวู่หยา
สีวู่หยาสัมผัสได้ถึงชายคนนั้น ตัวเขาได้เงยหน้าขึ้นมาอย่างช้าๆ รอบชายคนนั้นมีพลังที่สีวู่หยารู้สึกคุ้นเคยดี
ชายชราคนนั้นจ้องมองมาที่ตัวเขาอย่างไม่แยแส เขากำลังลูบเคราของตัวเองด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งกำลังไขว้หลังตัวเองเอาไว้ ที่ข้างๆ ชายชรามีเด็กสาวตัวเล็กๆ รวมไปถึงชายผู้ดูขี้กังวลวัยกลางคนยืนอยู่ด้วย
ในตอนนี้ดูเหมือนทุกอย่างในโลกจะมืดบอดไป
หลังจากนั้นไม่นานสีวู่หยาก็ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “ทะ...ท่านอาจารย์?”
ลู่โจวส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมา “ศิษย์ไม่เอาไหน...”
“ข้า...ศิษย์คนนี้...” สีวู่หยาไม่สามารถที่จะเชื่อมคำพูดของตัวเองเข้าไว้ด้วยกันได้ มันดูเหมือนกับตัวเขาในตอนนี้สูญเสียความสามารถในการพูดไปจนหมดสิ้นแล้ว
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารอ่านนิยายก่อนใครได้ที่ FB: ND Translate นิยายแปลไทย