บทที่ 84 โอดิน(4)
‘ในบรรดาอัครสาวกมีผู้ที่สามารถซ่อนพลังศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาได้ นั่นคืออัครสาวกของเดมิก็อดผู้ยิ่งใหญ่ที่เซอร์เคิลเรียกว่าอะโพคาลิปส์และลอร์ด
นั่นเป็นข้อมูลที่เขาได้รับจากริกิ
…ริกิอ้างว่าตัวเองทรยศต่อพวกเดมิก็อดแต่เฟรย์ไม่สามารถเชื่อใจได้ทั้งหมด
โดยธรรมชาติแล้วเขาเลือกที่จะเชื่อสิ่งที่ตัวเองเห็นเท่านั้น
เขาเชื่อเรื่องราวเกี่ยวกับการจำศีลของเดมิก็อดเพราะเขาได้เห็นศีรษะของอินดราที่ถูกตัดขาดด้วยตาของเขาเอง
อย่างไรก็วลีที่ริกิบอกว่า "อัครสาวกของอะโพคาลิปส์สามารถซ่อนพลังศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาได้ " นั้นต่างออกไป
เขามีเหตุผลเพียงพอที่จะสงสัย
‘อาชูร่าเรียกโอดินว่าหุ่นเชิด’
เขาไม่รู้แน่ชัดว่าเขาหมายถึงอะไร อย่างไรก็ตามมันทำให้คำถามของเฟรย์ชัดเจนโดยปริยาย
พลังที่โอดินแสดงนั้นกลับไม่มีพลังในการคุมคามเลย
ในความเป็นจริงเฟรย์ไม่เคยรู้สึกถึงภัยคุกคามใดๆต่อชีวิตของเขาตั้งแต่พบชายคนนี้
พูดอย่างตรงไปตรงมาความพยายามในการเอาตัวรอดนั่นน้อยมากเมื่อเทียบกับลุคล์
นอกจากนี้ความสามารถของเขาก็ตื้นเกินไป มันน้อยเกินไปที่เขาจะเชื่อว่ามันคือพลังแห่งความตาย
มิฉะนั้นทำไมเขาถึงเต็มใจที่จะเรียกปีศาจออกมาในขณะที่สามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้?
ทั้งหมดนี้ทำให้เขามีคำถามในใจหนึ่งข้อ
‘โอดินเป็นอัครสาวกจริงๆหรือ?’
เฟรย์เดินไปหาโอดินซึ่งแขนของเขานั่นเย็นชุ่มเหงื่อและกำลังสั่น
“อัครสาวก? แกถามว่าฉันเป็นอัครสาวก? แน่นอนสิ…! ฉันเป็นอัครสาวกของลอร์ดนอซด็อกเชียวนะ!”
“ฉันเคยได้ยินเกี่ยวกับนอซด็อกมาก่อน”
นอซด็อกเดมิก็อดที่มีพลังแห่งความตาย
มีข้อมูลเกี่ยวกับเขามีมากมายอยู่ในเซอร์เคิล
นี่เป็นเรื่องธรรมดาเพราะเซอร์เคิลเคยเผชิญหน้าเขาและผลลงโทษที่ตามมาก็คือ...ความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่
โทรว์แมนริงผู้มีพลังเทียบเท่ากับบิ๊กทรีมุ่งหน้าไปสู่ก้นทะเลหลังจากการตายของมาสเตอร์เซอร์เคิลและการเสียผู้บริหารในเซอร์เคิลสำคัญๆหลายคนและแม้ว่ามันจะเทียบไม่ได้กับโทรว์แมนริง เซอร์เคิลอื่นๆก็ได้รับความเสียหายอย่างหนักเช่นกัน
“มันไม่ใช่แค่การทำให้คนตายกลับมามีชีวิต ว่ากันว่าเขามักจะมีหมอกสีม่วงล้อมรอบร่างกายของเขา หากใครก็ตามที่ไม่แข็งแกร่งพอได้สูดดมหมอกนี้พวกเขาจะตายทันที”
“คุคุ”
“มันไม่ใช่แค่นั้นเพียงแค่สัมผัสผิวหนังและเนื้อจะถูกหลอมละลายออกจากกระดูกอย่างง่ายดายและเขายังสามารถสร้างปีศาจที่ไม่สามารถเอาชนะได้ด้วยวิธีผิดปกติ หากนายเป็นอัครสาวกแม้ว่านายจะไม่ได้มีอำนาจทั้งหมดของเขาแต่จากการวิเคราะห์ถึงพลังที่นายแสดงให้เห็นนายถือว่าอ่อนแอเกินไป”
เฟรย์มองไปที่อันเดดที่อยู่รอบตัวเขา
"ดูนี่สิ...นายลองมองไปที่อันเดดที่นายเรียกออกมาสิ นี่คือพลังทั้งหมดที่นายมีงั้นหรอ? นี่หรือคือพลังของอัครสาวกของอะโพคาลิปส์แห่งความตาย?”
“เอ่อ…”
โอดินตัวสั่น
ชายที่อยู่ต่อหน้าเขากำลังบอกว่าเขาอ่อนแอ แต่เดิมเขาคงไม่ได้คาดหวังเพียงเพราะคำพูด
แต่…เขาเริ่มที่จะรู้ว่าผู้ชายคนนี้แข็งแกร่งกว่าเขามาก
[ฉันขอโทษแต่นี่เป็นทางเลือกที่นายจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต]
คำพูดของราชาวิญญาณแห่งสายลมก่อนที่จะจากเขาไปปรากฏขึ้นในใจของเขาในทันทีนั้น
ในตอนนั้นเขาเอาแต่เยาะเย้ยคำพูดของเธอ แต่ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกไม่สบายใจราวกับว่าคำทำนายของเธอที่กำลังจะได้รับการพิสูจน์
นอซด็อกหลอกเขาจริงๆหรือ?
“นอซด็อก…ลอร์ดนอซด็อก…!”
โอดินขานเรียกชื่อของเขา
ในขณะนั้นพลังศักดิ์สิทธิ์ก็ปะทุออกมาจากตาซ้ายของเขาและควันสีม่วงก็เริ่มถูกพ่นออกมา
ชิ้ง
‘ตาเทียม? นั่นคือสื่อที่ใช่ติดต่อ?
ควันพวยพุ่งขึ้นไปในอากาศก่อนจะเกิดเป็นรูปเป็นร่าง
เฟรย์ตกตะลึง
เขาไม่คาดคิดว่าเขาจะติดต่อกับเดมิก็อดของเขาในสถานการณ์เช่นนี้ อย่างไรก็ตามโอดินไม่สามารถคิดได้อย่างตรงไปตรงมา
เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าสิ้นหวัง เขามองไปยังคนๆเดียวที่สามารถไขข้อสงสัยของเขาได้
สิ่งนั้นยืนอยู่บนฟ้าสูงราวกับยมทูตในขณะนั้น
เป็นโครงกระดูกที่มีกระดูกสีขาวบริสุทธิ์สวมเสื้อคลุมสีดำตัดกัน
แม้แต่เฟรย์ยังรู้สึกใจสั่นเมื่อมองเข้าไปในกองไฟสีเขียวที่เผาไหม้ภายในเบ้าตาของโครงกระดูก
เหงื่อเย็นๆเริ่มก่อตัวบนหน้าผากของเขา
‘นั่นคือนอซด็อก’
เขารู้ตัวทันที
พลังของสิ่งที่อยู่ตรงหน้าทำให้เขานึกถึงริกิ
เขาพบว่ามันยากที่จะหายใจเพียงแค่มองไปที่ภาพตรงหน้าซึ่งไม่ใช่แม้แต่ร่างกายหลัก
[มีอะไร?]
"ได้โปรดบอกผมด้วยลอร์ดนอซด็อก…! ผมไม่ใช่อัครสาวกของท่านจริงๆหรือ? ”
[…]
“ก็ผู้ชายคนนี้บอกว่าผมอ่อนแอเกินไป! เขาพูดความจริงหรือเปล่า? เขาต้องพูดเรื่องไร้สาระใช่มั้ย? ผม…ผมเป็นถึงอัครสาวกของลอร์ดนอซด็อกไม่ใช่เหรอ? ฮ่าฮ่าฮ่า!”
นอซด็อกมองไปที่โอดินที่กำลังหัวเราะอย่างเชื่องช้า
การจ้องมองของเขาสามารถคาดเดาได้จากการเคลื่อนไหวของไฟในเบ้าตาของเขา
ดังนั้นเมื่อนอซด็อกจ้องมองมาที่เขาเฟรย์จึงก้าวถอยหลังและเตรียมรับมือ
[ฉันไม่คาดคิดว่าตัวตนของโอดินจะถูกเปิดเผยเร็วขนาดนี้ น่าสนใจจริงๆนายรู้ได้อย่างไร?]
มันเป็นน้ำเสียงที่น่าสงสัย
เฟรย์ตระหนักดีว่านอซด็อกสงสัยว่าเขารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร
“เพราะร่องรอยที่ถูกทิ้งไว้รอบๆป่าใหญ่ไงละ”
[นายสัมผัสมันได้? นายมีเซ้นส์ที่ดีสำหรับมนุษย์ คนแบบนั้นมีเพียงไม่กี่คนแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่น่าเร็วขนาดนี้]
"นายพยายามจะพูดเรื่องอะไร?"
[ต้องมีคนทรยศ]
เฟรย์รู้สึกว่าโชคดีแล้วที่อีวานไม่ได้อยู่กับเขาในขณะนี้ มิฉะนั้นหากอีวานที่สามารถเดาทางได้ง่ายได้ยินคำพูดของนอซด็อกเขาจะมีปฏิกิริยาเหมือนกับว่าพวกเขาถูกจับได้แล้ว
แต่เฟรย์ไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องผิดพลาดแบบอีวาน
เขาเงยหน้าขึ้นมองนอซด็อกด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกราวกับจะบอกว่าเขากำลังพูดเรื่องไร้สาระ
นอซด็อกจ้องหน้าเขา
จากนั้นส่วนหัวสีขาวบริสุทธิ์ของโครงกระดูกก็เอียงไปด้านข้าง
[ถูกต้อง…ฉันคาดหวังเอาไว้แล้วว่าอีกไม่นานก็จะมีคนที่ตระหนักว่าโอดินไม่ใช่อัครสาวกของฉันจริงๆ ตามที่คาดไว้อุบายเล็กๆน้อยๆนี้จะดึงดูดความสนใจได้มากพอตัว]
‘…ไอ้นี้’
พวกอันเดดซึ่งถูกปล่อยออกมาในป่าใหญ่เรย์นอยด์เป็นเพียงเหยื่อล่อคนทรยศของเดมิก็อดเท่านั่น
ไม่ มันไม่ใช่แค่นั้น
เฟรย์มองไปที่โอดินที่จ้องมองไปที่นอซด็อกด้วยสีหน้าหวาดกลัวอีกครั้ง
"ฉันเข้าใจแล้ว"
ตั้งแต่เริ่มต้นจุดประสงค์ของการมีอยู่ของโอดินเป็นเพียงเหยื่อล่อเท่านั้น
เขาไม่แน่ใจว่ามันเป็นไปได้อย่างไรแต่เขาจะเพิกเฉยต่อโอกาสนี้ไม่ได้
ถ้าเขาสะกิดสักอีกสักหน่อยเขาอาจจะได้รับข้อมูลบางอย่างเพิ่ม
“ฉันไม่รู้ว่านายกำลังพูดถึงอะไร นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้คุยกับเดมิก็อดแต่นายพูดมากกว่าที่ฉันคาดเอาไว้”
[…]
นอซด็อกสังเกตเห็นมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าเขา
เขามีชีวิตอยู่มาหลายหมื่นปีแล้วและไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาที่จะเข้าใจความคิดของมนุษย์
หลังจากถามคำถามที่เขาตั้งใจจะเจาะลึกถึงสิ่งที่เขาอยากรู้ เขาก็จะสามารถรับรู้ความจริงได้ในทันทีจากปฏิกิริยาเพียงเล็กน้อย
นั่นคือเหตุผลที่เขาตอบสนองต่อการติดต่อของโอดินเร็วมาก
เขาแน่ใจว่าถ้ามีคนที่สามารถบังคับให้โอดินต้องจนมุมได้ถึงขนาดที่โอดินยอมเรียกตัวเขา คนพวกนั่นจะต้องเชื่อมโยงกับผู้ทรยศอย่างแน่นอน
แต่อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถอ่านใจเฟรย์ได้เลย
"ช่างน่าสงสัย"
นี่เป็นสิ่งที่นอซด็อกไม่เคยรู้สึกมานานกว่าหมื่นปี
เขาไม่สามารถบอกได้เลยว่าชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้กำลังคิดอะไร
หากเดมิก็อดคนอื่นได้ยินเขาพูดแบบนั้นพวกเขาอาจจะหัวเราะ แต่มันคือความจริง
เขาที่มีชีวิตอยู่มาหลายหมื่นปีแต่กลับไม่สามารถอ่านความตั้งใจของชายที่มีอายุไม่ถึง 100 ปีได้?
‘นั่นยิ่งทำให้น่าสงสัยเข้าไปใหญ่’
โอดินค่อยๆก้าวไปข้างหน้า
“ท่านนอซด็อก…โปรดตอบผมด้วย ผมยอมโยนทุกอย่างทิ้ง ท่านจะทำแบบนี่ไม่ได้ ได้โปรด…ผมเป็นแค่หุ่นเชิด…ไม่นะ ผมคือผม…”
[แกไม่ใช่หุ่นเชิด]
นอซด็อกส่ายหัว
เมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ดวงตาของโอดินก็สว่างขึ้น
“ท่าน…หมายความอย่างนั้นจริงๆเหรอ? แสดงว่าผมเป็น...ของท่านจริงๆ…”
[แกไม่ใช่อัครสาวกของฉัน แกเป็นเพียงแค่เหยื่อล่อเท่านั้นและ....]
นอซด็อกชี้นิ้วไปที่โอดิน
[ไม่มีเหตุผลที่จะทำให้เหยื่อมีชีวิตอยู่เมื่อมันจับปลาไม่สำเร็จ]
“เอ่อ…อ้าก…”
ร่างกายของโอดินเริ่มละลาย
อย่างแรกผมของเขาร่วงหล่น จากนั้นผิวหนังของเขาก็ไหลลงเหมือนน้ำและดวงตาของเขาก็หลุดออก
รูปร่างหน้าตาของโอดินซึ่งงดงามยิ่งกว่าเพเรียนหายไปในพริบตาเดียว
“อัก อ้าก…ฮึ…!”
เขาพยายามจับผิวหนังที่หลอมละลายของเขามาร่วมตัวกันแต่มันเป็นไปไม่ได้
มือของเขาละลายเผยให้เห็นกระดูกสีขาวของเขา
“อ๊ะ…ไม่นะ…แกกกก”
นั่นคือคำพูดสุดท้ายของโอดิน
ปุก
ร่างของเขาทรุดลงเป็นกองเลือด
เขาตายอย่างไร้ประโยชน์
เฟรย์รู้สึกว่างเปล่าเล็กน้อยภายในเพราะก่อนหน้านี่เขาเตรียมพร้อมที่จะสู้แบบเสี่ยงชีวิตกับโอดิน
เขาหันไปหานอซด็อกอีกครั้ง
อาจเป็นเพราะการตายของโอดินแต่ร่างของเขาเริ่มเบลอ
[เจ้าพวกเซอร์เคิลมันเริ่มกลายเป็นมดปลวกที่น่ารำคาญขึ้นเรือยๆ และหากผู้ทรยศตั้งใจที่จะร่วมมือกับพวกนั่น... มันก็น่ารำคาญมากยิ่งขึ้น]
เขาพึมพำเบาๆขณะที่เขาหายตัวไป
[แม้ว่ามันมีราคาที่ต้องจ่ายหากต้องการกำจัดเซอร์เคิล แต่มันก็คุ้มที่จะลบการมีอยู่ของพวกนั่นออกไป]
“…”
ด้วยคำพูดของล้างร้าย ภาพของนอซด็อกก็จางหายไปอย่างสิ้นเชิง
เฟรย์เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า มันยังคงเป็นท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด
เขาอยากเห็นพระจันทร์เสี้ยวที่ซ่อนอยู่หลังก้อนเมฆจริงๆแต่มีบางอย่างที่เขาต้องทำก่อน
“ฉันคิดว่าคุณออกมาได้แล้วละ”
“…”
หลังจากที่เขาพูดอย่างนั้นในที่สุดก็มีคนปรากฏตัวขึ้น
เฟรย์หันกลับไป
ผมสีขาวที่ดูเหมือนจะเปล่งประกายในความมืดและผิวที่ขาวยิ่งกว่านั้น
เธอยิ้มอย่างอ่อนโยนด้วยใบหน้าที่สวยงามของเธอ
สโนว์ดีพรีดิกวูดส์
ราชินีแห่งเอลฟ์และน้องสาวของโอดิน
"นายรู้ได้อย่างไร?"
“คุณกำลังหมายถึงหลังจากที่คุณเปิดเผยตัวตนของคุณโดยตั้งใจนี้นะ?”
เฟรย์ไม่ได้พูดอย่างสุภาพและสโนว์ก็ไม่ได้แสดงความไม่พอใจเพราะเหตุนั้น
แต่เธอมองเฟรย์ด้วยสีหน้าสงสัย
“อืม”
ออร่าของเธอแตกต่างจากครั้งล่าสุดที่พวกเขาพบกันมาก
ก่อนหน้านี่ร่างกายของเธอดูเหมือนจะแสดงออกถึงความสง่างามและที่ใครๆต่างก็คาดหวังจากราชินี แต่ตอนนี้มันเหมือนกับว่าเธอเป็นคนที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
ในความเป็นจริงเธอกลับดูร่าเริงมากขึ้นเล็กน้อยด้วยซ้ำ
สายตาของเธอหันไปที่ศพของโอดินซึ่งจมอยู่ในกองเลือดต่อหน้าเฟรย์
“มันจบลงแบบนี่สินะ”
“…”
"ขอบคุณ สำหรับที่ให้พี่ชายที่โง่เขลาของฉันได้พักผ่อน แต่เดิมมันเป็นสิ่งที่ฉันตั้งใจจะทำด้วยมือของฉันเอง”
…นี่คือรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเธอ?
วิธีการพูดของเธอไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่การแสดงออกของเธอนั้นแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
“คุณรู้ว่าเขาเป็นลูกน้องของเดมิก็อด?”
"ถูกตัอง"
สโนว์พยักหน้าและแตะเอวเรียวๆของเธอทำให้เฟรย์สังเกตเห็นดาบที่ซ่อนอยู่ตรงนั้น
“ยังไง? ฮรูฮิราลบอกคุณใช่ไหม?”
“ไม่ฮรูฮิราลไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับพวกเขา”
“…ถ้าอย่างนั้น”
“เขาเป็นคนเดียวกันที่บอกคุณเกี่ยวกับตัวตนของโอดิน”
ริกิ?
ริกิเป็นคนบอกเธอเองเหรอ?
'ทำไม?'
เฟรย์ยังคงไม่แสดงออกแต่ซ่อนความปั่นป่วนที่เขารู้สึกไว้ข้างใน อาจเป็นไปได้ว่าเธอกำลังโกหกเพื่อหาข้อมูลจากเขา
อย่างไรก็ตามหลังจากได้ยินสิ่งที่สโนว์จะพูดต่อไปเขาก็รู้ว่าเธอไม่ได้เป็นอย่างนั้น
“เดมิก็อดริกิมีที่พลังของดาบ มั่นใจได้เลยพ่อมดเฟรย์นายกับฉันยืนอยู่ข้างเดียวกัน”
"คุณเป็นใครกันแน่?"
“สโนว์พรีดิกวูดส์ราชินีแห่งเอลฟ์ทั้งหมด แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่นายอยากรู้ใช่ไหม?”
สโนว์หัวเราะเผยให้เห็นฟันขาวของเธอ
“สำหรับตัวตนของฉัน ฉันจะบอกนายเมื่อผู้สืบทอดของราชานักรบเวทย์มาถึง สำหรับตอนนี้เราต้องลงไปข้างล่าง มีบางอย่างที่เราต้องจัดการ”
“เราต้องจัดการกับอะไร?”
“การต่อสู้ครั้งสุดท้ายที่พี่ชายของฉันทิ้งเอาไว้”
ช่วงเวลาที่เธอยิ้มและพูดอย่างขมขื่นพลังศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มหลั่งไหลออกมาจากศพของโอดิน
‘เขาตายไปแล้วเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?’
ขณะที่เขาคิดเช่นนี้เฟรย์ก็เตรียมตัวที่จะใช้มานาของเขา
สโนว์พึมพำขณะดึงดาบออกมาช้าๆ
“ฉันพยายามฆ่าจะโอดินตอนอยู่ข้างนอกป่าใหญ่เพราะฉันกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น แต่ตอนนี้มันหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะแผนการชั่วร้ายของเขาได้ถูกเปิดโปงแล้ว”
สโนว์ชี้ไปที่ตัวของโอดิน
“นอซด็อกได้ปลูกเมล็ดพืชลงในร่างกายของโอดินในขณะที่เขาฆ่าโอดิน เขาตั้งใจที่จะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ยังคงอยู่ในนั้นเพื่อปลุกสิ่งที่ชั่วร่ายออกมา”
ชิ
เลือดของโอดินเริ่มจับตัวกันเป็นก้อน จากนั้นมันก็บินเข้าหาเฟรย์ด้วยความเร็วมหาศาล
เฟรย์ใช้บลิ้งเพื่อหลบเลือดพวกนั่น
อย่างไรก็ตามเลือดพวกนั่นยังคงบินต่อไปและตกลงมาจากต้นไม้ราวกับว่าเฟรย์ไม่ได้เป็นเป้าหมายของมันตั้งแต่แรก
“แค่นี่นะ?”
“มองลงไปแล้วนายจะเข้าใจเอง”
เฟรย์ยืนอยู่บนขอบกิ่งไม้และมองลงไปยังหมู่บ้าน